https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/issue/feed ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ 2025-12-07T10:14:39+07:00 ดร.ธิดารัตน์ คณึงเพียร l Dr.Thidarat Kanungpiarn thidarat@bcnsurin.ac.th Open Journal Systems <p><strong>ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์</strong></p> <p>ISSN 2985-2900 (Online)</p> <p>ISSN 1906-6813 (print) (ยกเลิก)</p> <p>ISSN 2730-2342 (online) (ยกเลิก)</p> <p><strong>กำหนดออก:</strong> 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์: </strong> วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการด้านการพยาบาล การสาธารณสุข และการศึกษา</p> <p><strong>ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566</strong></p> <p> </p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278936 ความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นหญิง 2025-06-22T13:02:01+07:00 ชัชฎาพร จันทรสุข shutchadaporn@bcnsurin.ac.th กุสุมล แสนบุญมา kusumon@bcnsurin.ac.th <p>การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นหญิง กลุ่มตัวอย่างคือ วัยรุ่นหญิงในชุมชนเขตนอกเมือง จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 98 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรสำหรับวัยรุ่นหญิง ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ การสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของตนเองการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง และพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร หาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ ได้ค่า 0.89, 0.95, 0.96, 0.85, 0.92, 0.96 และ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติความสัมพันธ์ และสถิติสมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพ การสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ และการจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของตนเอง มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>&lt; .001 ส่วนการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>&lt; .01 โดยความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพ และการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้ร้อยละ 36.1 (R<sup>2</sup>=0.361, F=26.820, <em>p</em>=.000) จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องควรจัดกิจกรรมหรือโปรแกรมโดยเน้นส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพและการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร</p> <p> </p> 2025-12-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278869 ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองของประชากรเพศหญิง อำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ 2025-06-11T22:46:58+07:00 อรุณี ขุมทอง arunee.k@kkumail.com กฤติยาณี ธรรมสาร arunee.k@kkumail.com <p>โรคมะเร็งเต้านมพบบ่อยในเพศหญิง รักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น การศึกษาวิจัยแบบเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ประชากรคือประชาชนเพศหญิงที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม อาศัยอยู่ในอำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป จำนวน 5,392 คน กลุ่มตัวอย่างคือหญิงอายุ 30–70 ปี สุ่มตัวอย่างอย่างง่าย จำนวน 836 ราย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคมะเร็งเต้านม และแบบสอบถามพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ด้วยวิธีการคลำเต้านมตนเองย้อนหลัง 6 เดือน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาได้ค่า ระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 ตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ หาค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบาค ได้ค่า 0.96 เก็บข้อมูลเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการถดถอยลอจิสติกพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม โดยรวมอยู่ในระดับดีขึ้นไป ร้อยละ 75.72 พฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ร้อยละ 84.45 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) ได้แก่ อายุ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพประจำปี การเคยได้รับการตรวจเต้านมจากบุคลากรทางการแพทย์ การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม และระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ และความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรค ข้อเสนอแนะ หน่วยงานสาธารณสุขควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ สนับสนุนการออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพ เพื่อกระตุ้นให้สตรีมีพฤติกรรมตรวจเต้านมด้วยตนเองมากขึ้น</p> 2025-12-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278677 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความสุขสบายต่อความปวด และภาวะท้องอืด ในมารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง 2025-06-11T22:11:02+07:00 อนุตร์ธิดา ศรีศักดิ์นอก meaw_cha@hotmail.com อุมาภรณ์ กั้วสิทธิ์ umapron.k@msu.ac.th กชพร สิงหะหล้า umapron.k@msu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่ม วัดผลหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความสุขสบายต่อ ความปวด และภาวะท้องอืด ในมารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยเป็นมารดาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง จำนวน 118 ราย แบ่งออกเป็น กลุ่มควบคุม 59 คน และกลุ่มทดลอง 59 คน เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความสุขสบายมารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ประกอบด้วย แผนการส่งเสริมความสุขสบายด้านร่างกาย ด้านจิตวิญญาณ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และคู่มือส่งเสริมความสุขสบายหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบบันทึกความปวด 3) แบบประเมินภาวะท้องอืด ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า 0.84, 0.80, 0.92 ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบประเมินภาวะท้องอืด ได้ค่า .87 ทดสอบการวัดซ้ำของแบบบันทึกคะแนนความปวดได้ .80 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียความปวดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติทีอิสระ</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความปวด คะแนนเฉลี่ยภาวะท้องอืด 24 และ 48 ชั่วโมงต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; .001) ข้อเสนอแนะ พยาบาลในหอผู้ป่วยหลังคลอดควรนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้ในการดูแลมารดาหลังผ่าตัดคลอด เพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด และเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> 2025-12-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278400 ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปาก ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ 2025-06-11T20:56:24+07:00 ชูชัย ชื่นบาน ohm_chuchai@hotmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัย แบ่งออกเป็น 1) เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพและทันตสุขภาพ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรม และแบบสอบถาม ได้ค่า 0.92, 0.86 ตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคได้ค่า 0.76 เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพและทันตสุขภาพ สูงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.001) ค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีสภาวะเหงือกค่าน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยสะสม (HbA1C) ต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.001) ค่าน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยสะสม (HbA1C) กลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.05) การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปากมีประสิทธิผลในการส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและพัฒนาสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จึงควรบูรณาการโปรแกรมดังกล่าวในหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ พร้อมติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินความยั่งยืนของพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วย</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278605 ผลของชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่และการพัฒนาสมรรถนะแห่งตน ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่และครอบครัวปลอดบุหรี่ของนักศึกษาพยาบาล 2025-07-13T16:05:27+07:00 อรทัย รุ่งวชิรา orathairung.vachira@gmail.com พีรยา สุธีรางกูร suteerangkul2516peraya@gmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ และการพัฒนาสมรรถนะแห่งตน ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่และครอบครัวปลอดบุหรี่ของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกโดยการสุ่มแบบง่ายด้วยการจับฉลาก เป็นนักศึกษาพยาบาล 52 คน และผู้สูบบุหรี่ในครอบครัว 52 คน เครื่องมือวิจัย แบ่งออกเป็น 1) เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ ชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยใช้หลัก 5A, 5R, และ 5D ในการช่วยเลิกบุหรี่ และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินพฤติกรรมการสูบบุหรี่ แบบประเมินติดตามครอบ ครัวปลอดบุหรี่ และแบบสอบถามความเชื่อในสมรรถนะแห่งตนฯ ตรวจสอบความตรงเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง .67-1.00 หาความเชื่อมั่นแบบสอบถามความเชื่อในสมรรถนะแห่งตนฯ ได้ .94 แบบประเมินพฤติกรรมการสูบบุหรี่ โดยใช้แบบประเมินระดับความรุนแรงการติดนิโคตินของ Fagerstrom test for Nicotine Dependence ฉบับมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทีคู่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าหลังทดลอง ทุกครอบครัวมีการออกกฎงดสูบบุหรี่ มีการติดสัญลักษณ์ครอบครัวปลอดบุหรี่ คิดเป็นร้อยละ 100 มีผู้เลิกสูบบุหรี่สำเร็จ ร้อยละ 9.6 ผู้สูบบุหรี่ในครอบครัวมีคะแนนเฉลี่ยระดับการติดนิโคติน ต่ำกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>&lt; .05 และนักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในสมรรถนะแห่งตนฯ สูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>&lt; .05 สรุปได้ว่า ชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยใช้หลักการ 5A, 5R, และ 5D ในการช่วยเลิกบุหรี่ และการพัฒนาความเชื่อในสมรรถนะแห่งตนของนักศึกษาพยาบาล ส่งผลให้พฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลงและมีครอบครัวปลอดบุหรี่เพิ่มขึ้น</p> <p> </p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278017 ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศทางจริยธรรมในที่ทำงาน ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของ หัวหน้าหอผู้ป่วยกับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลตติยภูมิภาคใต้ 2025-04-03T09:22:31+07:00 สุวิดา โชติสุวรรณ suwida2015.c@gmail.com ศศิธร ลายเมฆ suwida2015.c@gmail.com ปรัชญานันท์ เที่ยงจรรยา suwida2015.c@gmail.com <p>การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศทางจริยธรรมในที่ทำงาน และภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของหัวหน้าหอผู้ป่วยกับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลตติยภูมิภาคใต้ กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลตติยภูมิภาคใต้ จำนวน 120 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดพฤติกรรมเชิงจริยธรรม แบบวัดบรรยากาศทางจริยธรรม และแบบวัดภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม ตรวจสอบความตรงด้านเนื้อหา ได้ค่า 0.91, 1.00 และ 0.98 ตามลำดับ และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ได้ค่า 0.95, 0.96 และ 0.98 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมเชิงจริยธรรมของพยาบาลวิชาชีพอยู่ในระดับดี (<em>M</em> = 4.13, <em>SD</em> = 0.25) โดยด้านที่มีคะแนนสูงสุดคือการซื่อสัตย์ (<em>M</em> = 4.20, <em>SD </em>= 0.43) ขณะที่บรรยากาศทางจริยธรรมในที่ทำงานอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.07, <em>SD</em> = 0.28) และภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับสูง (<em>M </em>= 4.11, <em>SD</em> = 0.23) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า บรรยากาศทางจริยธรรมในที่ทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมในระดับต่ำมากอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.10, <em>p</em>=.23) ขณะที่ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของหัวหน้าหอผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมในระดับต่ำมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.18, <em>p</em>=.04) ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้กำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมให้หัวหน้าหอผู้ป่วยควรเป็นแบบอย่างด้านจริยธรรมในการบริหารและการทำงานร่วมกับทีม สนับสนุนการอบรมด้านจริยธรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน</p> 2025-12-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278431 ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ อายุ ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกเป็นตราบาป และสัมพันธภาพในครอบครัว กับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยจิตเวช 2025-05-21T09:17:14+07:00 อำไพ โพธิ์คำ ampai.pou@student.mahidol.edu มาลาตี รุ่งเรืองศิริพันธ์ malatee.run@mahidol.ac.th โสภิณ แสงอ่อน malatee.run@mahidol.ac.th <p>การวิจัยเชิงบรรยายแบบหาความสัมพันธ์ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ อายุ ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกเป็นตราบาป และสัมพันธภาพในครอบครัวกับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยจิตเวช กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่มารับบริการที่แผนกูผู้ป่วยนอก โรงพยาบาวลจิตเวชแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้า จำนวน 212 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ ประกอบด้วย 5 แบบประเมิน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินสัมพันธภาพในครอบครัว แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยไทย แบบสอบถามการรับรู้ตราบาป หาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าเท่ากับ .95, .94 และ .73 ตามลำดับ และแบบสัมภาษณ์ทางคลินิกชนิดมีโครงสร้างอย่างย่อ ชุดภาวะฆ่าตัวตาย หาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีแบ่งครึ่งแบบทดสอบ เท่ากับ .70 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพอยท์ไบซีเรียล และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เพศหญิงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>pb</sub> = .14, <em>p</em> &lt; .05) ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกเป็นตราบาป มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub> = .57, <em>p </em>&lt; .05; r<sub>s </sub>= .34, <em>p</em> &lt; .05 ตามลำดับ) อายุและสัมพันธภาพในครอบครัว มีความสัมพันธ์ทางลบกับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub> = -.34, <em>p</em> &lt; .05; r<sub>s </sub>= -.40, <em>p</em> &lt; .05 ตามลำดับ) ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยจิตเวชต่อไป</p> 2025-12-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์