วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp <p>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ เป็นวารสารวิชาการและการวิจัย ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการทางสุขภาพและที่เกี่ยวข้องของนักวิชาการ พยาบาล บุคลากรทางสุขภาพ และทางการศึกษา รวมทั้งนักวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา และองค์กรสุขภาพทั่วประเทศ</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์&nbsp; ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์&nbsp; และคณาจารย์ท่านอื่นๆ ในวิทยาลัยพยาบาลฯ&nbsp; ความรับผิดชอบเกี่ยวกับบทความแต่ละเรื่องผู้เขียนจะรับผิดชอบของตนเอง</p> journal@bcnsp.ac.th (ดร.สาดี แฮมิลตัน) journal@bcnsp.ac.th (นางสาวสิรภัทร โจมสติ) Mon, 06 Oct 2025 10:58:25 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิดของหอผู้ป่วยพิเศษ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ 4 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/280084 <p>การระบุตัวตนผู้ป่วยช่วยให้สามารถตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการให้ยา การวินิจฉัย หรือการทำหัตถการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทารกแรกเกิดที่ไม่สามารถสื่อสารได้ การพัฒนาสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิดครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด และ2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิดแบบเดิมและนวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด โดยดำเนินการ 5 ขั้นตอน คือ 1) การทำความเข้าใจปัญหา (Empathize) 2) ตีความปัญหา (Define) 3) การระดมจินตนาการ (Ideate) 4) สร้างต้นแบบ (Prototype) และ5) การทดสอบต้นแบบ (Test) กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ที่ให้การพยาบาลทารกแรกเกิด แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน และผู้ปกครองของทารกแรกเกิด แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือประกอบด้วย 1) นวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด ตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน และ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพสายผูกรัดข้อมือทารก ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ได้ค่าความตรง เท่ากับ 1 และหาความเที่ยง ได้ค่าครอนบารคแอลฟ่าเท่ากับ .89 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> เมื่อนำนวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิดที่ผลิตจากผ้าขูดขนไปทดลองใช้พบว่า มีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t (43.76) =-9.17, <em>p</em> &lt; .01; t (45.82) = -30.98, <em>p</em> &lt; .01) ตามลำดับ โดยผู้ปกครองและพยาบาลกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า กลุ่มควบคุม (Mean = 4.64, 4.78 S.D. = 0.50, 0.20 ตามลำดับ) สำหรับประสิทธิภาพการใช้สายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิดด้านการระบุตัวตนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t (39.90) =-5.28, <em>p</em> &lt; .01; t (51.02) = -21.83, <em>p</em> &lt; .01) ตามลำดับ โดยผู้ปกครองและพยาบาลกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 4.63, 4.90, S.D. = 0.61, 0.31 ตามลำดับ) ควรส่งเสริมให้พยาบาลได้มีการนำแนวคิดเชิงออกแบบไปใช้ในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับผู้ป่วยเนื่องจากแต่ละขั้นตอนมีการใช้ความคิดที่เป็นระบบ เพิ่มการคิดวิเคราะห์ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้ผู้รับบริการอย่างตรงจุด ทำให้เกิดการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องต่อไป</p> วิไลวรรณ ปาสีโล , พรรณวดี บูรณารมย์, มนชยา ก้างยาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/280084 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการพยาบาลเพื่อการดูแลและลดความเครียดของผู้ป่วย ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีผ่านการบูรณาการ การมีส่วนร่วมของทีมพยาบาลและครอบครัว https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/278383 <p>ผู้ป่วยห้องฉุกเฉินมักเผชิญความเจ็บป่วยรุนแรง การรอคอย และสภาพแวดล้อมที่กดดัน ซึ่งก่อให้เกิดความเครียดและส่งผลต่อการรักษา การบูรณาการการมีส่วนร่วมของทีมพยาบาลและครอบครัวจึงเป็นแนวทางสำคัญในการสื่อสารและสนับสนุนด้านจิตใจ เพื่อส่งเสริมการดูแลแบบองค์รวม การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินโปรแกรมการพยาบาลเพื่อลดความเครียดของผู้ป่วยห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก่ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ 7 คน ผู้ป่วยและญาติ 323 คน และกลุ่มทดลองผู้ป่วย 30 คน การวิจัยประกอบด้วย 5 ระยะ ได้แก่ R1 ศึกษาสถานการณ์และความต้องการจำเป็น D1 พัฒนาโปรแกรม R2 ทดลองใช้ D2 ปรับปรุงโปรแกรม และ R3 ประเมินผลการใช้จริง เครื่องมือวิจัยมีความเชื่อมั่นเหมาะสม (IOC = 0.66–1.00, α = 0.80–0.85) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนา ค่าดัชนี Priority Needs Index (PNI) และ One sample t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า ปัญหาความเครียดหลัก ได้แก่ ความล่าช้าและความแออัด การขาดข้อมูล และภาระด้านจิตใจและเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ PNI ระบุความต้องการสำคัญ ได้แก่ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การผ่อนคลายอารมณ์ การบูรณาการครอบครัว และระบบสนับสนุนจิตใจ โปรแกรมที่พัฒนามี 4 ขั้นตอน คือ การประเมิน วางแผน ดำเนินกิจกรรม และติดตามผล ได้รับการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ระดับมาก (Mean = 4.34, 4.40) ภายหลังทดลองใช้พบระดับความเครียดและความกังวลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = 2.46, <em>p</em> = .045) อยู่ในระดับน้อย (Mean = 2.15) และเมื่อประยุกต์ใช้จริง โปรแกรมช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของครอบครัว เสริมประสิทธิภาพการทำงานของทีมพยาบาล และลดความเครียดของผู้ป่วยได้อย่างเป็นรูปธรรม สรุปได้ว่า โปรแกรมนี้มีประสิทธิภาพและสามารถประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลชุมชนอื่นเพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินแบบองค์รวม</p> มาริสา การุณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/278383 Mon, 24 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/280849 <p>ความสุขในการทำงานของพยาบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการและความผูกพันต่อองค์กร การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มวัย บรรยากาศองค์การ และความฉลาดทางอารมณ์กับความสุขในการทำงาน และ 3) ศึกษาปัจจัยที่สามารถทำนายความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลวิชาชีพจำนวน 124 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถาม 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ความสุขในการทำงาน บรรยากาศองค์การ และความฉลาดทางอารมณ์ โดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence: IOC) มีค่าความสอดคล้องของส่วนที่ 2–4 มีค่า IOC อยู่ในช่วง 0.6-1.00 และค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha) เท่ากับ .88, .94 และ .93 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาการทดสอบแบบเอ็กแซกต์ของฟิชเชอร์-ฟรีแมน-ฮอลตัน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า 1) พยาบาลวิชาชีพมีระดับความสุขในการทำงานอยู่ในระดับสูง 2) กลุ่มวัยไม่มีความสัมพันธ์กับความสุขในการทำงาน ขณะที่บรรยากาศองค์การและความฉลาดทางอารมณ์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสุขในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) บรรยากาศองค์การและความฉลาดทางอารมณ์สามารถร่วมกันทำนายความสุขในการทำงานได้ร้อยละ 50.8 สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของปัจจัยทั้งสองต่อความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ ข้อเสนอแนะคือควรส่งเสริมบรรยากาศองค์การที่สนับสนุนการทำงาน และพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ของบุคลากร เพื่อยกระดับความสุขในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรอย่างยั่งยืน</p> วนารัตน์ ชิณพันธ์, เรณุการ์ ทองคำรอด, เปรมฤทัย น้อยหมื่นไวย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/280849 Thu, 04 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/279704 <p>สถานการณ์ปัจจุบันที่มีการบุหรี่ไฟฟ้าเริ่มแพร่หลายโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ด้วยความเชื่อจากโฆษณา ไม่มีนิโคติน ไม่มีอันตรายต่อตนเองและคนรอบข้าง ทำให้มีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ภาพสะท้อนนำมาสู่อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาชั้นปีที่ 1-6 ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 375 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งหมดเฉลี่ยเท่ากับ 0.85 ด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาสหสัมพันธ์แบบเพียรสัน และการทดสอบไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่า ความรู้เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 5.39, S.D. = 2.92) ทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้า อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 1.83, S.D. = 0.46) และ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า อยู่ในระดับต่ำ (Mean = 2.39, S.D. = 1.68) มีความสัมพันธ์ทางบวก ได้แก่ ปัจจัยด้านเพศ มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำมากกับความรู้ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ปัจจัยด้านอายุ ปัจจัยด้านรายได้และปัจจัยด้านการมีเพื่อนสูบบุหรี่ มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับพฤติกรรม การสูบบุหรี่ไฟฟ้า ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ส่วนปัจจัยด้านครอบครัวและสื่อโฆษณา ไม่มีความสัมพันธ์กับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการศึกษานี้สามารถใช้ในการพัฒนาแนวทางการให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้า การควบคุมการเข้าถึงของเยาวชนรวมถึงการป้องกันและลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธันยพร พิมพ์การ , ณัฐนิดา จำรัสแนว , ทัมมพัชร์ คู่แก้ว , ธนัชญา แสงตระการ , ธนัญญา บุญสม , ธนากร หินอ่อน, ธวัลรัตน์ ชมจันทร์ , ธัญจิรา จันทะสอน, สมปอง พะมุลิลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/279704 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700