https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/issue/feed วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ 2025-10-12T16:51:44+07:00 ผศ.ดร.อรัญญา นามวงศ์ journal@bcnpy.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ (ISSN 2985-1343 (Online)) ดำเนินการโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พะเยา เป็นวารสารที่ได้รับการรับรองจากศูนย์ดัชนีวารสาร (TCI) เผยแพร่ทุก 4 เดือน (ปีละ 3 ฉบับ) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ ของนักวิชาการ และนักวิจัย ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความปริทัศน์ ในสาขาการพยาบาล การศึกษาพยาบาล และสาขาสุขภาพอื่นๆ รวมทั้งการทบทวนวรรณกรรมอยางเป็นระบบ การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาล กรณีศึกษา และนวัตกรรมทางการพยาบาลและสุขภาพผู้นิพนธ์ต้องยืนยันว่า นิพนธ์ต้นฉบับที่ส่งมาเพื่อรับการพิจารณาตีพิมพ์ ในวารสารฉบับนี้ ไม่เคยได้รับตีพิมพ์เผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น นิพนธ์ต้นฉบับแต่ละเรื่องจะได้รับการประเมิน โดยกองบรรณาธิการ และและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยจำนวน 3 ท่าน แบบปกปิด 2 ทาง</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/view/278846 ผลของโปรแกรมการสนับสนุนต่อความรู้และพฤติกรรมของผู้ดูแลในการดูแลทารกที่ผลการตรวจคัดกรองการได้ยินผิดปกติ 2025-08-12T22:23:42+07:00 สมพิศ ชัยดรุณ sompitbenz@gmail.com พรทิพย์ ปาอิน* porntip.pa@up.ac.th ภักดี ห่อเพชร porntip.pa@up.ac.th สุนารักษ์ คนต่ำ porntip.pa@up.ac.th <p style="font-weight: 400;">การสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสาร การตรวจคัดกรองแต่กำเนิดเพื่อเข้ารับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสนับสนุนต่อความรู้และพฤติกรรมของผู้ดูแล ในการดูแลทารกที่ผลการตรวจคัดกรองการได้ยินผิดปกติ กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงจำนวน 20 ราย เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการสนับสนุน 2) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลของผู้ดูแลและเด็ก 3) แบบประเมินความรู้ของผู้ดูแลเรื่องการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิด หาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีคูเดอร์-ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ .75 และ 4) แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลทารกแรกเกิดที่ผลการตรวจคัดกรองการได้ยินผิดปกติ มีค่าสัมประสิทธ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .76 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าทีแบบจับคู่ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้และพฤติกรรมในการดูแลทารกสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.001) และ (<em>p</em>&lt;.05) ตามลำดับ ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการสนับสนุนช่วยส่งเสริมให้ผู้ดูแลทารกที่มีความรู้และพฤติกรรมในการดูแลทารกที่ผลการตรวจคัดกรองการได้ยินผิดปกติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม</p> 2025-12-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/view/277936 ผลของโปรแกรมป้องกันการหกล้มต่อการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน 2025-07-28T19:41:25+07:00 นงคราญ ใจเพียร* nongkranchaipian@hotmail.com สัณห์สิรี อินต๊ะสาร nongkranchaipian@hotmail.com <p>ภาวะหกล้มเป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะ การบาดเจ็บ กระดูกหัก ภาวะทุพพลภาพ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมป้องกันการหกล้มต่อการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุจำนวน 40 ราย สุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมป้องกันการหกล้มเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตนเองตามปกติ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมป้องกันการหกล้ม 2) แบบสอบถามการรับรู้การหกล้ม และ 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม แบบสอบถามการรับรู้การหกล้มและแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .78 และ .79 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ การทดสอบทีแบบอิสระต่อกันและแบบจับคู่ ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมป้องกันการหกล้มมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em>=4.36 <em>p</em>&lt;.001; <em>t</em>=5.58, <em>p</em>&lt;.001 ตามลำดับ) เมื่อเปรียบเทียบในกลุ่มทดลอง พบว่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em>=-10.42, <em>p</em>&lt;.001; <em>t</em>=-8.53, <em>p</em>&lt;.001 ตามลำดับ) แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมป้องกันการหกล้มมีประสิทธิผลในการส่งเสริมการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน จึงสามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนได้ ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันหกล้มสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.001) และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันหกล้มของกลุ่มทดลองพบว่าสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.001) โปรแกรมป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนสามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมและป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเพิ่มระดับการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันหกล้ม ดังนั้นผู้ให้บริการสุขภาพที่ปฏิบัติงานในชุมชนสามารถนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันหกล้มให้กับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงในการหกล้มในชุมชนต่อไป</p> 2025-10-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ