วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok <p> <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล</strong> เป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ เดิมชื่อ <strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ</strong> เริ่มจัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2527 เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และได้ดำเนินการเผยแพร่วารสารทางการพยาบาลฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Peer-reviewed journal) ต่อมาในปีพ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2 ปีที่ 35) ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล </strong>เนื่องจากมีการขยายขอบเขตการเผยแพร่บทความรวมทั้งทางด้านการพยาบาลและสุขภาพ วารสารได้มีการพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 1 (TCI 1) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตั้งแต่การประเมินรอบที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (รอบที่ 4 พ.ศ. 2563 – 2567)</p> <p> วารสารรับพิจารณาบทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านการพยาบาล การศึกษาพยาบาล วิชาชีพด้านสุขภาพ ระบบสุขภาพและสุขภาพของประชาชน โดยมีกำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li class="show">เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้และระสบการณ์ทางการพยาบาล การศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นแหล่งเสนอผลงานวิชาการของบุคลากรสุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขตของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพ </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข รวมทั้งระบบสุขภาพ นโยบายทางด้านสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ และการดูแลสุขภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน</li> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านพยาบาล </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านการพยาบาลและการศึกษาพยาบาล รวมทั้งนโยบายทางด้านการพยาบาล การบริหารการพยาบาลมาตรฐานการพยาบาล ผลลัพธ์ทางการพยาบาล แนวปฏิบัติการพยาบาล หลักฐานเชิงประจักษ์ทางการพยาบาล นวัตกรรมทางการพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การพยาบาลเฉพาะสำหรับบุคคล ครอบครัว และชุมชน และกรณีศึกษาทางการพยาบาล</li> </ol> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>บทความวิจัย (</strong><strong>Research article)</strong> เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการรายงานการศึกษาวิจัยทางการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ผู้นิพนธ์เป็นผู้ดำเนินการวิจัย หรือศึกษาค้นคว้า ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมถึงการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systemic review) </li> <li class="show"><strong>บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic article)</strong> เป็นบทความที่ผู้นิพนธ์เขียนเรียบเรียงสาระความรู้วิชาการทางด้านการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเแล้วนำมากลั่นกรอง วิเคราะห์ และหรือสังเคราะห์โดยผู้นิพนธ์ หรือการเขียนวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบข้อความรู้เพื่อให้เกิดความกระจ่าง (Review article) รวมทั้ง การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางด้านการพยาบาลหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขต (</strong><strong>Scopes) ที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>องค์ความรู้ ด้านการพยาบาล สาธารณสุข ระบบสุขภาพ และการศึกษาพยาบาล หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer</strong><strong>-Review</strong><strong>ed Process</strong><strong>) </strong></p> <p>บทความที่ผู้นิพนธ์ส่งมาพิจารณา ถ้าดำเนินการตามคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับและมีมาตรฐานเพียงพอ จะได้รับการประเมินแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (Double-blind review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน</p> <p>ISSN 2697-5041 (Online)</p> <p>ISSN 2730-1893 (Print)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>การตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล กำหนดให้ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <table style="height: 64px;" width="263"> <tbody> <tr> <td class=""><strong>บทความภาษาไทย</strong></td> <td><strong>4,000 บาท</strong></td> </tr> <tr> <td><strong>บทความภาษาอังกฤษ</strong></td> <td><strong>6,000 บาท</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับการประเมินเบื้องต้น </span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">จากกองบรรณาธิการแล้วว่าสามารถตีพิมพ์ได้ </span></p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"><strong>หมายเหตุ:</strong> ทั้งนี้ทางวารสารไม่การันตีว่าบทความของท่านจะได้รับการตีพิมพ์ เเละหากไม่ได้รับการตีพิมพ์</span><span class="OYPEnA text-decoration-underline text-strikethrough-none">เมื่อชำระเงินแล้ว วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์การคืนเงินให้ผู้นิพนธ์ทุกกรณี</span></p> Boromarajonani College of Nursing, Bangkok th-TH วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) 2730-1893 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) ไม่สามารถนำไปตีพิมพ์ซ้ำในวารสารฉบับอื่น</p> บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276125 ยุพาภรณ์ ติรไพรวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-24 2024-12-24 40 3 การประเมินและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความเปราะบางทางศัลยกรรม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271377 <p><strong>บทนำ:</strong> ความเปราะบางทางศัลยกรรมในระยะก่อนผ่าตัดเป็นการลดลงของความสามารถในการรักษาดุลยภาพร่างกายเมื่อต้องเผชิญสิ่งเร้าที่เป็นการผ่าตัด ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาสมดุลของระบบอวัยวะเสียไป ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังผ่าตัดและมีผลลัพธ์การรักษาไม่ดี ดังนั้นพยาบาลจึงควรประเมิน<br />ความเปราะบางทางศัลยกรรมเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนและให้การพยาบาลเพื่อแก้ไขก่อนผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อนำเสนอความรู้ ผลกระทบ การประเมิน และการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความเปราะบางทางศัลยกรรมในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุก่อนเข้ารับการผ่าตัด</p> <p><strong>ประเด็นสำคัญ</strong>: การพยาบาลผู้ป่วยที่มีความเปราะบางทางศัลยกรรม ประกอบด้วยการประเมินและกิจกรรมการพยาบาล ซึ่งมุ่งเน้นในการจัดการภาวะโภชนาการ การส่งเสริมการออกกำลังกาย การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ และการป้องกันความบกพร่องการรู้คิด การให้การพยาบาลในประเด็นดังกล่าวก่อนเข้ารับการผ่าตัด จะช่วยให้ผู้ป่วย<br />มีผลลัพธ์หลังการผ่าตัดดี</p> <p><strong>สรุป:</strong> ผู้ป่วยที่มีความเปราะบางทางศัลยกรรมก่อนเข้ารับการผ่าตัดมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพหลังผ่าตัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องประเมินความเปราะบางทางศัลยกรรมและดูแลให้ได้รับกิจกรรมการพยาบาล ได้แก่ การจัดการและแก้ไขภาวะโภชนาการ การส่งเสริมการออกกำลังกายก่อนการผ่าตัด รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านจิตใจและการรู้คิด <br />การแก้ไขภาวะสุขภาพตั้งแต่ในระยะก่อนเข้ารับการผ่าตัด ช่วยส่งเสริมให้มีการฟื้นหายที่ดีหลังการผ่าตัด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ความพิการและเสียชีวิต</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: พยาบาลควรประเมินความเปราะบางทางศัลยกรรมก่อนผ่าตัดเพื่อช่วยให้สามารถนำข้อมูลมาวางแผนกิจกรรมการพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความเปราะบางทางศัลยกรรมในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดในกลุ่มโรคและชนิดการผ่าตัดที่แตกต่างกัน</p> เขมรัฐ ปั้นหลุย นภาภรณ์ กวางทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 223 236 การจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัว ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/275450 <p><strong>บทนำ: </strong>การส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมสามารถจัดการตนเองได้นั้น ครอบครัวมีความสำคัญในการให้การสนับสนุนผู้ป่วยให้สามารถจัดการตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พยาบาลจำเป็นต้องส่งเสริมให้ครอบครัวมีส่วนร่วมช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถจัดการตนเองและบรรลุเป้าหมายสุขภาพที่วางไว้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อนำเสนอแนวคิดของทฤษฎีการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวและบทบาทพยาบาล ในการใช้ทฤษฎีการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม</p> <p><strong>ประเด็นสำคัญ: </strong>การใช้ทฤษฎีการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม พยาบาลจะต้องจัดเตรียมความรู้และส่งเสริมให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเชื่อที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย พัฒนาทักษะการควบคุมตนเองของผู้ป่วยโดยให้ครอบครัวมีส่วนช่วยเหลือสนับสนุน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถจัดการภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมได้อย่างเหมาะสม สามารถบรรลุผลลัพธ์สุขภาพที่คาดหวัง</p> <p><strong>สรุป: </strong>จุดมุ่งเน้นของทฤษฎีการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัว คือ การนำครอบครัวเข้ามาช่วยส่งเสริมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โดยอาศัยสัมพันธภาพของผู้ป่วยและครอบครัว</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ทฤษฎีการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวสามารถนำไปช่วยส่งเสริมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมได้หลากหลายมิติและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการดูแลตนเองอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลาย</p> ศิรินันท์ ฉลวยแสง อภิญญา เวชประดิษฐ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 237 246 ผลของการใช้โปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะการดูแล ของผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่บ้าน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/266621 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ต้องมีผู้ดูแล การรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลจะช่วยสร้างความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่บ้าน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง 2 กลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอายุ 18 - 59 ปี จำนวน 70 ราย โดยการสุ่มอย่างง่าย แบ่งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 35 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ส่วน 1) โปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะการดูแลของผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่บ้าน 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ดูแล แบบทดสอบความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และแบบประเมินทักษะเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ตรวจสอบความเที่ยง วิเคราะห์ความเชื่อมั่น KR-20 = .76 และสัมประสิทธิ์ครอนบาคแอลฟาเท่ากับ .82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติทีแบบอิสระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและทักษะเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมนี้สามารถเพิ่มความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรสนับสนุนให้พยาบาลที่ปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพ นำโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนไปใช้ เพื่อให้ผู้ดูแลมีความสามารถในการดูแลให้มีประสิทธิภาพโดยการมีต้นแบบสอนและฝึกการหายใจ การไอ การออกกำลังกาย ทำให้ผู้ดูแลมีความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้สมรรถภาพปอดของผู้ป่วยดีขึ้น</p> นงคลักษณ์ วงศ์พนารัตน์ อรอุมา แก้วเกิด ไพรวัลย์ โคตรตะ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 1 10 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272621 <p><strong>บทนำ:</strong> ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ยับยั้งไม่ได้ส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและภาวะทุพพลภาพในทารกแรกเกิด การส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของหญิงตั้งครรภ์มีความสำคัญต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดที่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental design) แบบ 2 กลุ่ม จับคู่กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง (Matched pairs) วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest - posttest design) กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 ราย และกลุ่มควบคุม 30 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีค่า CVI เท่ากับ .96 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดมีค่า CVI เท่ากับ .98 และค่าความเที่ยงสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .82 ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Paired t – test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: กลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดหลังทดลอง สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) </p> <p><strong>สรุปผล</strong>: โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนสามารถช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดมีพฤติกรรมป้องการกันคลอดก่อนกำหนดที่เหมาะสมมากขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรนำโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนมาประยุกต์ใช้ดูแลหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมป้องการกันคลอดก่อนกำหนดอย่างเหมาะสมและช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้</p> วาริศรา พงค์ชยุดา นิตยา พันธ์งาม สุทิน ชนะบุญ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 11 23 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271684 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> คุณภาพชีวิตของนักศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ในการส่งเสริมเพื่อให้นักศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดี อาศัยหลายปัจจัย ได้แก่ ด้านสุขภาพกาย จิตใจ สัมพันธภาพทางสังคม และสิ่งแวดล้อม </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักศึกษา</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิดภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จำนวน 363 คน เก็บข้อมูลในเดือนกันยายน 2566 – มกราคม 2567 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลและภาวะสุขภาพ ปัจจัยด้านการเรียนการสอน ความภาคภูมิใจในตนเอง <br />ความต้องการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกษา และแบบวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย (WHOQOL - BREF – THAI) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติ การถดถอยพหุโลจิสติก</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>นักศึกษาส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตในระดับปานกลาง ร้อยละ 49.59 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อคุณภาพชีวิตของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ต่อเดือน (p &lt; .001, OR = 2.52; 95% CI = 1.49 - 4.25) ความภาคภูมิใจในตนเอง (p = .037, OR = 3.01; 95%CI = 1.07 - 8.51) และการอยากเปลี่ยนสาขาวิชาที่เรียน (p &lt; .001, OR = 0.38; 95%CI = .24 - .61)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ระดับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ ความภาคภูมิใจในตนเอง และการอยากเปลี่ยนสาขาวิชาที่เรียน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ส่งเสริมนักศึกษาให้มีความภูมิใจในตนเอง แก้ปัญหาการอยากเปลี่ยนสาขา และส่งเสริมสนับสนุนทุนการศึกษา การส่งเสริมการหารายได้ระหว่างเรียนอย่างเหมาะสม เพื่อให้นักศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นได้</p> ชลวิภา สุลักขณานุรักษ์ อูน ตะสิงห์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 24 34 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ของผู้สูงอายุในพื้นที่มลพิษข้ามแดน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272930 <p><strong>บทนำ:</strong> ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นภัยคุกคามสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเปราะบางสูง การศึกษาพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ในผู้สูงอายุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาแนวทางส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษา 1) ระดับการแสวงหาข้อมูลสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ในผู้สูงอายุ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การแสวงหาข้อมูลสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ กับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองนครพนม จำนวน 213 คน สุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi - square test และ Pearson's correlation coefficient</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>1) ผู้สูงอายุมีการแสวงหาข้อมูลสุขภาพระดับปานกลาง (M = 2.40, SD = 1.06) ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ระดับน้อย (M = 1.91, SD = 1.12) และพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ระดับไม่ดี (M = 1.83, SD = .98) 2) ระดับการศึกษา (= 7.11, p &lt; .001) การแสวงหาข้อมูลสุขภาพ (r = .371, p &lt; .01) และความรอบรู้ด้านสุขภาพ (r = .921, p &lt; .01) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนเพศ รายได้ และภาวะสุขภาพ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในระดับต่ำ ซึ่งสัมพันธ์กับระดับการศึกษา การแสวงหาข้อมูล และความรอบรู้ด้านสุขภาพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ และปรับปรุงวิธีการสื่อสารข้อมูลสุขภาพให้เข้าถึงได้ง่าย เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันที่เหมาะสมในกลุ่มผู้สูงอายุ</p> จรินทร โคตพรม ณฐมน โจมแพง ประภากร ศรีสง่า ณัติยา พรหมสาขา ณ สกลนคร Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 35 45 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268584 <p><strong>บทนำ:</strong> การฝึกปฏิบัติการพยาบาลเป็นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเครียดแก่นักศึกษาพยาบาล ซึ่งความเครียดระดับสูงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนักศึกษาและอาจนำไปสู่การเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาระดับความเครียดและปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดของนักศึกษาพยาบาลระหว่างการฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี <sup> </sup>จำนวน 47 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบวัดความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลสำหรับนักศึกษาพยาบาล ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาและค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 และ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> นักศึกษามีความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลแผนกฝากครรภ์และหลังคลอดโดยรวมในระดับปานกลาง เกรดเฉลี่ยมีความสัมพันธ์ในทางลบกับความเครียดในด้านอาจารย์และพยาบาล (r = -.359, p &lt; .05) ขณะฝึกปฏิบัติที่แผนกฝากครรภ์ และความเครียดด้านการดูแลผู้ป่วย (r = -.285, p &lt; .05) กับด้านงานที่ได้รับมอบหมาย (r = -.285, p &lt; .05) ขณะฝึกปฏิบัติที่แผนกหลังคลอด ภูมิลำเนาไม่มีผลต่อระดับความเครียด โรงพยาบาลแหล่งฝึกที่ต่างกันมีผลต่อความเครียดโดยรวมของนักศึกษาขณะฝึกปฏิบัติที่แผนกฝากครรภ์ (F = 3.93, p &lt; .05) การฝึกที่แผนกหลังคลอดมีความเครียดโดยรวมสูงกว่าการฝึกปฏิบัติงานในแผนกฝากครรภ์ (t = -2.42, p &lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> <sup> </sup>นักศึกษามีความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลแผนกฝากครรภ์และหลังคลอดโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยเกรดเฉลี่ย โรงพยาบาลและแผนกที่ฝึกปฏิบัติส่งผลต่อความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษา</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรมีการประเมินความเครียดระหว่างการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาทุกสาขาวิชาและลดสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเครียดรวมทั้งส่งเสริมการจัดการกับความเครียดที่เหมาะสมแก่นักศึกษา</p> ศรีวรรณ ทองศรี ดาริน บัวหาญ วรรณี เดียวอิศเรศ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 46 57 การพัฒนานวัตกรรมเตียงไฟฟ้าชนิดปรับท่านั่งหลังตรงต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272924 <p><strong>บทนำ: </strong> ผู้ป่วยติดเตียงต้องทุกข์ทรมานกับการที่ไม่สามารถลุกนั่งหรือยืนได้ ทำให้เกิดปอดอักเสบติดเชื้อและผู้ดูแลอาจเกิดการบาดเจ็บที่กระดูกและกล้ามเนื้อจากการยกหรือขยับให้ผู้ป่วยติดเตียงลุกนั่ง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อพัฒนานวัตกรรมเตียงปรับท่านั่งไฟฟ้าต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียง และประเมินคุณภาพนวัตกรรมเตียงปรับท่านั่งไฟฟ้าต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียงจากผู้ใช้งาน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยนี้ แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการพัฒนานวัตกรรมเตียงปรับท่านั่งไฟฟ้าต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียง โดยการทบทวนเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกับฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญ การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนทดสอบนวัตกรรมเตียงต้นแบบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Solidworks และหุ่นจำลอง ระยะที่ 2 ทดลองใช้นวัตกรรมเตียงต้นแบบและประเมินความคิดเห็นของผู้ใช้ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ อุปกรณ์ทำเตียง แบบประเมิน ความเหมาะสมความเป็นไปได้ของแบบร่างนวัตกรรม โปรแกรม Solidworks หุ่นจำลอง และแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับนวัตกรรมเตียงต้นแบบ ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาและความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความคิดเห็น เท่ากับ .70 และ .71 ตามลำดับ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาสาสมัครที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล 45 ราย และอาสาสมัครที่ทำหน้าที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง 45 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่า นวัตกรรมเตียงไฟฟ้าปรับท่านั่งหลังตรงต้นแบบ มี 3 ส่วน แต่ละส่วนสามารถปรับระดับได้ และมีอุปกรณ์พยุงศีรษะ เข็มขัดนิรภัย และที่พักแขนพับได้ เป็นเตียงสำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนักถึง 120 กิโลกรัม และได้รับอนุสิทธิบัตรแล้ว นอกจากนี้ คะแนนประเมินความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับเตียงต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียงของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด (M = 4.56, SD = .41)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>นวัตกรรมเตียงไฟฟ้าปรับท่านั่งหลังตรงตรงต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียงใช้ง่าย สะดวก ปลอดภัยควรนำไปศึกษาในสถานการณ์จริงทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้านผู้ป่วยติดเตียง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิผลของเตียงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ปอดของผู้ป่วย และความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง</p> ดวงพร ปิยะคง ณภัคลชา ผลอนันต์ ปัญญาวัณ ลำเพาพงศ์ พรพิศุทธิ์ วรจิรันตน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 58 69 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์และผลลัพธ์การตั้งครรภ์: การศึกษาย้อนหลัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272742 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> เบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นโรคทางอายุรกรรมอันดับหนึ่งในสตรีตั้งครรภ์ และจะส่งผลกระทบที่สำคัญทั้งต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และศึกษาผลลัพธ์การตั้งครรภ์ทั้งในมารดาและทารก </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน มาคลอด ณ โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร ในระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2565 จำนวน 273 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและระบบบันทึกของโรงพยาบาล โดยใช้แบบบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย และการทดสอบ Chi - square</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 32.97 ปี (SD = 5.93 ) ส่วนมากเป็นเบาหวานที่พบขณะตั้งครรภ์ครั้งแรก ร้อยละ 91.40 ฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์คุณภาพ 5 ครั้ง ร้อยละ 66.60 เป็นเบาหวานชนิด A1 ร้อยละ 68.80 ผลลัพธ์การตั้งครรภ์พบทารกน้ำหนักแรกเกิด 4000 กรัม ขึ้นไป ร้อยละ 35.80 คลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ ร้อยละ 22.50 และผ่าท้องคลอดร้อยละ 60.50 ทั้งนี้ชนิดของเบาหวานมีความสัมพันธ์กับอายุครรภ์เมื่อคลอด และน้ำหนักของทารกแรกเกิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?_{X}2^{}" alt="equation" />= 8.850, p = .005) และ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?_{X}2^{}" alt="equation" />= 9.134, p = .005) ตามลำดับ และมีความสัมพันธ์กับการฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์คุณภาพอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?_{X}2^{}" alt="equation" />= 5.922, p = .039)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อผลลัพธ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะหากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ และทารกแรกเกิด</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ควรนำผลการวิจัยไปพัฒนาแนวทางการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน โดยเน้นการคัดกรอง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในมารดาและทารก </p> สายฝน อำพันกาญจน์ สุฑารัตน์ ชูรส นลินี บัวพุ่ม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 70 81 ความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาชักนำคลอดกับผลลัพธ์ทางคลินิก: การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/273118 <p><strong>บทนำ:</strong> การชักนำการคลอดเป็นหัตถการทางสูติศาสตร์ที่สำคัญและใช้แพร่หลาย แม้จะมีประโยชน์แต่ก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะด้านระยะเวลาที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์การคลอด การศึกษาผลของระยะเวลาการชักนำต่อผลลัพธ์ของมารดาและทารกในบริบทไทยยังมีจำกัด จึงทำการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแนวทางการดูแลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาการชักนำการคลอดกับภาวะแทรกซ้อนของมารดาและทารกแรกเกิดในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิแห่งหนึ่ง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลังนี้วิเคราะห์ข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ของสตรีตั้งครรภ์ครบกำหนด 160 ราย ที่เข้ารับการชักนำการคลอดระหว่าง 1 มกราคม 2565 - 31 กรกฎาคม 2566 โดยวัดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มให้ยาจนถึงการคลอด กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มเลือกแบบง่ายตามเกณฑ์คัดเข้า ด้วยกำลังการทดสอบ .90 ระดับนัยสำคัญ .05 และขนาดอิทธิพล .30 ข้อมูลเก็บรวบรวมด้วยแบบบันทึกที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา และความเที่ยงระหว่างผู้เก็บข้อมูล วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติ Spearman rank correlation ที่ระดับนัยสำคัญ &lt; .01</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างระยะเวลาการชักนำกับการผ่าตัดคลอด (r = .41, p &lt; .01) ระยะเวลานอนโรงพยาบาล (r = .70, p &lt; .01) การตั้งครรภ์ครั้งแรก ดัชนีมวลกายสูง (p &lt; .01) ที่สำคัญ ไม่พบความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนรุนแรง (p &gt; .01)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ระยะเวลาชักนำการคลอดนานขึ้น เพิ่มโอกาสผ่าตัดคลอดและนอนโรงพยาบาลนานขึ้น แต่ไม่สัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนรุนแรง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรพัฒนาแนวทางการชักนำที่คำนึงถึงปัจจัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ครั้งแรกและดัชนีมวลกายสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้น</p> สุกัญญา คำนวน นัฏยา พรมาลัยรุ่งเรือง ปภัสรา คำสนาม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 82 93 ผลการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/273895 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง การพัฒนาระบบตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนถึงโรงพยาบาล จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาและประเมินผลการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนาระบบ 3) ติดตามและประเมินผล เก็บข้อมูลแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และผู้ดูแลหลัก จำนวน 194 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและควบคุม กลุ่มละ 97 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรือผู้ดูแลหลัก ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และสหสาขาวิชาชีพ รวม 40 คน เครื่องมือเป็น แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม ความรู้ ทัศนคติ ความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา Independent t - test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่า สถานการณ์ปัญหาการทำงาน คือ มีการใช้บริการ 1669 น้อย ขาดการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาและส่งต่อเพื่อการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ระบบ“Stroke - Smart COC: Udon Model” ที่พัฒนาขึ้นทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าถึงความรู้และบริการมากขึ้น หลังการใช้ระบบ กลุ่มทดลองมีความรู้และทัศนคติ ต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) ความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันดีขึ้น อยู่ในระดับไม่พึ่งพากลุ่มทดลองและผู้ให้บริการมีความพึงพอใจต่อระบบในระดับมาก (M = 4.01, SD = .61 และ M = 3.93, SD = .51ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: ผลการพัฒนาระบบ ทำให้ผู้ป่วยได้เตรียมความพร้อม เมื่อมีเหตุฉุกเฉินสามารถเข้าถึงช่องทางด่วนมีระบบการดูแลต่อเนื่องที่บ้านที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรมีการขยายผลและนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย นวัตกรรมในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p> กรรณิการ์ ฮวดหลี กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง พิชญ์สินี มงคลศิริ ดาราวรรณ ทรพีสิงห์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 94 105 การพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดล เพื่อการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272630 <p><strong>บทนำ:</strong> การส่งเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยโดยใช้ระบบภูมิสารสนเทศตามแนวคิด สบช. โมเดล จะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดี ลดภาวะแทรกซ้อน </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดล ไปใช้เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยการมีส่วนร่วมของ อสม. และศึกษาประสิทธิผลของระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ ฯ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักวิชาการ พยาบาลวิชาชีพ บุคลากรสาธารณสุข 10 คน และ อสม. จำนวน 88 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แนวคำถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก ระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ คู่มือการใช้ระบบ GIS แบบประเมินประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังตามแนวคิด สบช. โมเดล และแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้ระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ ฯ</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ระยะ 1 ศึกษาสถานการณ์ พบว่า ระบบข้อมูลที่ใช้เดิมยังไม่ตอบโจทย์การมีส่วนร่วมของชุมชน ข้อมูลที่จำเป็นในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ประกอบด้วย พิกัดบ้านของผู้ป่วย ข้อมูลการจำแนกระดับ แนวทางการให้คำแนะนำตามแนวคิด สบช. โมเดล ระยะ 2 พัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ ใช้ชื่อว่า “GIS Samokhae” ระยะ 3 นำระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ พบว่า ประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังตามแนวคิด สบช. โมเดล รายด้าน ได้แก่ ด้านการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และด้านการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ สูงกว่าก่อนการทดลองทั้งรายด้านและโดยรวมที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และความพึงพอใจโดยรวมของ อสม. อยู่ในระดับมาก (M = 31.79, SD = 4.70)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การนำระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดล เพื่อการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปใช้ เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีศักยภาพในการดูแลตนเอง ส่งผลดีต่อการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรนำระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดลที่พัฒนาขึ้นขยายการดำเนินงานในกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง เพื่อการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ</p> วิภาพร สิทธิสาตร์ จิตตระการ ศุกร์ดี อิศราวุธ เกษามูล นสหชม เอโย่ว ณัฐพร ชาญธัญกรรม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 106 120 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/274516 <p><strong>บทนำ: </strong>โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทยได้เผชิญความท้าทายในการยกระดับคุณภาพการให้บริการท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรม การส่งเสริมพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพจึงมีความสำคัญ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ คุณภาพการดูแลผู้ป่วย และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันขององค์กร</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่ร่วมทำนายพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การศึกษาความสัมพันธ์เชิงทำนาย กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 210 คน ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ 3 แห่ง เก็บข้อมูลออนไลน์ผ่านทาง Google form โดยใช้แบบสอบถามการเรียนรู้ตลอดชีวิต แบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม แบบสอบถามบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์การ และแบบสอบถามพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรม มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (CVI = .88 - .94) และความเที่ยง (α = .88 - .97) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติถดถอยพหุคูณ <strong> </strong></p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (M = 3.49, SD = .76) การเรียนรู้ตลอดชีวิต ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม และบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรม (r = .683, .524 และ .499 ตามลำดับ, p &lt; .05) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่าปัจจัยทั้งสามสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมได้ร้อยละ 54.30 (R² = .543, p &lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การเรียนรู้ตลอดชีวิต ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม และบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์การมีผลต่อการเกิดพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>การวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลในการกำหนดนโยบายและจัดโครงการส่งเสริมให้พยาบาลมีพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมเพิ่มขึ้น</p> ฐิติพร สุรินธรรม วาสินี วิเศษฤทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-13 2024-12-13 40 3 121 131 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดชัยนาท https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272950 <p><strong>บทนำ:</strong> ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังพบปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น การส่งเสริมสุขภาพจิต จะทำให้ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังมีการปรับตัวและสุขภาพจิตดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>1) เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดชัยนาท 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง 3) เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ (1) แบบประเมินสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ฉบับสั้น 15 ข้อ (Reliability α = .84) (2) รูปแบบส่งเสริมสุขภาพจิต ประกอบด้วย 4 ระยะ คือระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดชัยนาท ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง ระยะที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง ระยะที่ 4 สรุปผลรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การใช้ค่าสถิติ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติทดสอบ t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> 1) ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังโดยรวมอยู่ในเกณฑ์เท่ากับคนทั่วไป เท่ากับ 47.93 (SD = 5.85) ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์เท่ากับคนทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 48.06 สุขภาพจิตต่ำกว่าคนทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 31.64 และสุขภาพจิตดีกว่าคนทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 20.30 2) รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตด้วยการสร้างความสุข 5 มิติ ประยุกต์ทฤษฎีความต้องการขั้นพื้นฐานของมาสโลว์ จำนวน 5 กิจกรรม 3) ค่าเฉลี่ยคะแนนสุขภาพจิตโดยรวมของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง หลังการเข้าร่วมการใช้รูปแบบส่งเสริมสุขภาพจิต (M = 44.60, SD = 3.66) สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิต (M = 38.60, SD = 5.03) อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตสามารถส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรังได้ดี </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> พยาบาลควรนำรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตไปใช้ในการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง</p> จารุวรรณ ก้านศรี นภัสสร ยอดทองดี ประกาศิต พูลวงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-20 2024-12-20 40 3 132 146 การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพาหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272366 <p><strong>บทนำ: </strong>แผลกดทับในผู้ป่วยภาวะพึ่งพามักเกิดขึ้นได้ การพัฒนาความสามารถในการป้องกันของผู้ดูแล สามารถลดการเกิดแผลกดทับได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยภาวะพึ่งพา หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลสูงเม่น จังหวัดแพร่</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยและพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะ 1) ศึกษาสภาพการณ์ 2) พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยภาวะพึ่งพา 3) ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 1) ทีมสหวิชาชีพ จำนวน 12 คน 2) ผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพา จำนวน 27 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แนวคำถามในการสนทนากลุ่ม 2) โปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยภาวะพึ่งพา 3) แบบประเมินผู้ดูแลเกี่ยวกับความรู้ การปฏิบัติ และทักษะ มีค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 88 .78 และ .84 ความเชื่อมั่นเท่ากับ .77, .72 และ .90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired sample t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ระยะที่ 1 พบปัญหาอัตรากำลังมีไม่เพียงพอและขาดการดูแลต่อเนื่อง ระยะที่ 2 โปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลมี 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) ประเมินผู้ป่วยและความสามารถของผู้ดูแล 2) ให้ความรู้ในการดูแล 3) พัฒนาทักษะการป้องกันแผลกดทับ 4) ประเมินผู้ป่วยและผู้ดูแลก่อนกลับบ้าน ระยะที่ 3 การศึกษาประสิทธิผล พบว่า ความรู้ การปฏิบัติ และทักษะการปฏิบัติของผู้ดูแลหลังทดลองสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; .01) ระดับคะแนน M = 12.52 SD = 1.65, M = 49.40 SD = 2.65 และ M = 51.37 SD = 3.69 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>โปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยภาวะพึ่งพา สามารถป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยภาวะพึ่งพาได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรมีการนำโปรแกรมส่งเสริมผู้ดูแลไปใช้ในหอผู้ป่วยที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน</p> นิชาภา มณีกาศ กัญญาณัฏฐ์ สาธกธรณ์ธันย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 147 160 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิต ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272714 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ต้องดูแลตนเองและการจัดโปรแกรมการจัดการตนเองให้เหมาะสม จะทำให้ผู้ป่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ กลุ่มละ 30 คน คือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามก่อนและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ด้วยสถิติ Paired sample t - test และ Independent sample t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่าหลังการเข้าร่วมโปรแกรม พฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน พฤติกรรมการบริโภคอาหารเค็ม พฤติกรรมการออกกำลังกายและพฤติกรรมการจัดการความเครียดของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) ส่วนพฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมัน และพฤติกรรมการรับประทานยาหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน ส่วนกลุ่มทดลองความดันโลหิตตัวบน ก่อนและหลังการทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) และความดันโลหิตตัวล่างก่อนและหลังการทดลอง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> โปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ มีประสิทธิภาพในการลดระดับความดันโลหิตได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงให้มีพฤติกรรมควบคุมความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องและสามารถนำโปรแกรมการจัดการตนเองนี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละบุคคล</p> ธีรนุช ชละเอม ณัฐนันท์ วรสุข รุ่งนภา ประยูรศิริศักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 161 171 การศึกษาภาวะสุขภาพและแนวทางการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายชุมชนโนนสูง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271005 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การประเมินภาวะสุขภาพและศึกษาแนวทางการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุที่เหมาะสมจะสามารถวางแผนส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีและลดภาวะพึ่งพิงในอนาคต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาภาวะสุขภาพผู้สูงอายุและแนวทางส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ชุมชนโนนสูง จังหวัดอุดรธานี</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ศึกษาภาวะสุขภาพผู้สูงอายุ จากกลุ่มตัวอย่าง 320 คน คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย และกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดแนวทางการส่งเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ จำนวน 30 คน คัดเลือกแบบเจาะจง รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม ถึงเมษายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบประเมินภาวะสุขภาพผู้สูงอายุแบบองค์รวม แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นแอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .86 และแบบสอบถามปลายเปิดแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลโดย สถิติพรรณนา และวิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ภาวะสุขภาพผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัวเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง มีภาวะสมองเสื่อม มีภาวะข้อเข่า การมองเห็นผิดปกติ ข้อค้นพบแนวทางส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุคือ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุตรวจสุขภาพประจำปี ร่วมกิจกรรมทางสังคม การออกกำลังกายที่เหมาะสม ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุและ ครอบครัวเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อรับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ สร้างความเข้าใจแก่ครอบครัวผู้สูงอายุเรื่องความเสื่อมถอยของผู้สูงอายุ เพื่อให้ดูแลได้อย่างเหมาะสม จัดกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว ส่งเสริมให้ได้รับทราบสิทธิประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ ด้านสาธารณสุขและด้านสังคม ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพและการขอรับความช่วยเหลือ ให้ชุมชนมีโครงการเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นในการดูแลผู้สูงอายุที่ ติดสังคม ติดบ้าน ติดเตียง ให้แก่ทีมดูแลครอบครัวผู้สูงอายุที่บ้าน</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>นำแนวทางการส่งเสริมสุขภาพวางแผนส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุเพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดี</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>นักวิจัยสามารถนำแนวทางการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุที่เหมาะสมไปต่อยอดพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในอนาคต</p> ชลการ ทรงศรี รุ่งนภา ประยูรศิริศักดิ์ จิตตานันท์ ศรีสุวรรณ์ พรพิมล โคตรณรงค์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 172 184 ประสิทธิผลการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อโรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271312 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินให้ได้รับการดูแลแบบไร้รอยต่อไปยังสถานพยาบาลที่มีศักยภาพและเหมาะสมจะป้องกันการเสียชีวิตและได้รับความปลอดภัย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อประเมินประสิทธิผลการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อและประเมินความพึงพอใจ ของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ โรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนดโดยเป็นพยาบาลวิชาชีพ 203 คน ตอบแบบสอบถามการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ และความพึงพอใจต่อการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อโรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัยวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผลการดูแลผู้ป่วยหลังนำแนวทางการส่งต่อไปใช้ 1) พบอุบัติการณ์ผู้ป่วยเสียชีวิตขณะส่งต่อร้อยละ 1.26 2) ความสำเร็จในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ร้อยละ 94 และ 3) การเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ขณะนำส่งผู้ป่วย ร้อยละ 24 นอกจากนี้ พยาบาลวิชาชีพมีการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ อยู่ในระดับดี (M = 2.82, SD = .36) และความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งต่อ ในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (M = 3.74, SD = .81)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> แนวทางการส่งต่อช่วยให้เกิดความรวดเร็ว ปลอดภัย เป็นประโยชน์ต่อการดูแลผู้ป่วยส่งต่อโรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย และทำให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพของงาน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>บุคลากรทางการแพทย์สามารถนำแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยไปประยุกต์ใช้ในการส่งต่อที่แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาล และเป็นแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลเพื่อการส่งต่อผู้ป่วยที่ปลอดภัย</p> วรรัชต์ ระย้า พนารัตน์ เจนจบ ศรินยา พลสิงห์ชาญ ณัฎฐวรรณ คำแสน เกศราภรณ์ ชูพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 185 197 ประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขในการดูแลผู้สูงอายุ บนเทคโนโลยีสุขภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272028 <p><strong>บทนํา: </strong>การพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) อย่างเป็นระบบในการดูแลผู้สูงอายุบนเทคโนโลยีสุขภาพเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญให้เท่าทันสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อประเมินประสิทธิผลรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ อสม. ในการดูแลผู้สูงอายุบนเทคโนโลยีสุขภาพ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนาประกอบด้วย 1) ค้นหาวิธีการและกิจกรรมพัฒนาสมรรถนะ อสม. แบบปรับปรุงทักษะเดิม - เติมทักษะใหม่ในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล 2) ทดลองรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ อสม. 3) เปรียบเทียบสมรรถนะก่อนและหลังทดลอง 4) สรุปรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างเป็น อสม. 600 คน ในจังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เครื่องมือวิจัยเป็นแนวสัมภาษณ์เชิงลึก แนวคำถามในการประชุมปฏิบัติการ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และ Wilcoxon signed - rank test</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>รูปแบบสังเคราะห์พบ PBRU DIAMOND Health model โดย P (Participation of health network), B (Based on communal area), R (Reinventing continuity of care), และ U (University as a cluster of allied health science) รูปแบบประกอบด้วย 1) ระบบบริหารจัดการพัฒนาสมรรถนะ อสม. ในการดูแลผู้สูงอายุ 2) หลักสูตรอบรมระยะสั้น คือ หลักสูตรสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุและหลักสูตรจัดการสุขภาพผู้สูงอายุ 3) แพลตฟอร์มดิจิทัลการดูแลผู้สูงอายุที่มีระบบปฏิบัติการ 12 ระบบ แบบครบวงจร ผลเปรียบเทียบสมรรถนะหลังทดลองรูปแบบพบว่า ร้อยละ 72.33 ผ่านเกณฑ์ประเมินความรู้ ทักษะและเจตคติ แผนเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุครบ 3 ครั้ง และมีคุณภาพตามเกณฑ์ ร้อยละ 58.30 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ อสม. ด้านความสามารถบันทึกข้อมูลผู้สูงอายุ ความง่ายต่อการบันทึกและใช้ข้อมูลดูแลผู้สูงอายุ และความปลอดภัยการจัดเก็บข้อมูลผู้สูงอายุสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>PBRU DIAMOND Health model เป็นต้นแบบระบบบริหารจัดการที่พัฒนาให้ อสม. มีสมรรถนะหลักและสมรรถนะเชิงพัฒนาทั้งคุณลักษณะเฉพาะ ความรู้ ทักษะปฏิบัติ อัตมโนทัศน์และแรงจูงใจ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> หน่วยงานการศึกษา หน่วยงานสุขภาพ และหน่วยงานท้องถิ่นนำรูปแบบไปขยายผลในตำบลใกล้เคียงและจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้</p> วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย กิติศักดิ์ รุจิกาญจนรัตน์ เบญจวรรณ ดุนขุนทด Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 198 211 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะเปราะบาง แบบมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในชุมชนเมือง เขตเทศบาลนครอุบล จังหวัดอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272601 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในภาวะที่ไม่มีอาการแบบจำเพาะเจาะจงที่มีความสำคัญ ในผู้ที่มีสภาวะเปลี่ยนผ่านจากสภาพแข็งแรงสู่ภาวะอ่อนแอ (Vulnerability) สามารถป้องกันและส่งเสริมสุขภาพให้ฟื้นคืนได้ก่อนเข้าสู่ภาวะทุพพลภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลลัพธ์ของรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพและแก้ไขปัญหาภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ภาวะเปราะบาง ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะเปราะบางแบบมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุชุมชนเมือง 122 คน เครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามภาวะเปราะบาง ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา และความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .81 และ .98 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติพรรณนา เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรตามโดย Paired sample t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> สถานการณ์ภาวะเปราะบาง มีการเกิดภาวะเปราะบาง ร้อยละ 23.05 เริ่มมีภาวะเปราะบาง ร้อยละ 56.70 รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุแบบผสมผสาน โดยใช้ตาราง 9 ช่อง ยางยืด และกะลายางยืด ผลลัพธ์ของรูปแบบ ใช้ Time up and go test ประเมินโดยการจับเวลา พบว่า มีค่าเฉลี่ยเวลาที่ใช้ในทดสอบการเดินลดลงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม ฯ (M = 14.42 และ M = 8.54) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .1)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุส่งผลทำให้การทรงตัว และการเดินดีขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>นำรูปแบบรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุไปใช้ขยายผลในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุชุมชนอื่น ๆ</p> กุลธิดา กุลประฑีปัญญา นิพพาภัทร์ สินทรัพย์ สำราญ พูลทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2024-12-23 2024-12-23 40 3 212 222