วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok
<p> <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล</strong> เป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ เดิมชื่อ <strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ</strong> เริ่มจัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2527 เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และได้ดำเนินการเผยแพร่วารสารทางการพยาบาลฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Peer-reviewed journal) ต่อมาในปีพ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2 ปีที่ 35) ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล </strong>เนื่องจากมีการขยายขอบเขตการเผยแพร่บทความรวมทั้งทางด้านการพยาบาลและสุขภาพ วารสารได้มีการพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 1 (TCI 1) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตั้งแต่การประเมินรอบที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (รอบที่ 5 พ.ศ. 2568 – 2572)</p> <p> วารสารรับพิจารณาบทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านการพยาบาล การศึกษาพยาบาล วิชาชีพด้านสุขภาพ ระบบสุขภาพและสุขภาพของประชาชน โดยมีกำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li class="show">เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้และระสบการณ์ทางการพยาบาล การศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นแหล่งเสนอผลงานวิชาการของบุคลากรสุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขตของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพ </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข รวมทั้งระบบสุขภาพ นโยบายทางด้านสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ และการดูแลสุขภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน</li> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านพยาบาล </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านการพยาบาลและการศึกษาพยาบาล รวมทั้งนโยบายทางด้านการพยาบาล การบริหารการพยาบาลมาตรฐานการพยาบาล ผลลัพธ์ทางการพยาบาล แนวปฏิบัติการพยาบาล หลักฐานเชิงประจักษ์ทางการพยาบาล นวัตกรรมทางการพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การพยาบาลเฉพาะสำหรับบุคคล ครอบครัว และชุมชน และกรณีศึกษาทางการพยาบาล</li> </ol> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>บทความวิจัย (</strong><strong>Research article)</strong> เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการรายงานการศึกษาวิจัยทางการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ผู้นิพนธ์เป็นผู้ดำเนินการวิจัย หรือศึกษาค้นคว้า ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมถึงการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systemic review) </li> <li class="show"><strong>บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic article)</strong> เป็นบทความที่ผู้นิพนธ์เขียนเรียบเรียงสาระความรู้วิชาการทางด้านการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเแล้วนำมากลั่นกรอง วิเคราะห์ และหรือสังเคราะห์โดยผู้นิพนธ์ หรือการเขียนวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบข้อความรู้เพื่อให้เกิดความกระจ่าง (Review article) รวมทั้ง การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางด้านการพยาบาลหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขต (</strong><strong>Scopes) ที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>องค์ความรู้ ด้านการพยาบาล สาธารณสุข ระบบสุขภาพ และการศึกษาพยาบาล หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer</strong><strong>-Review</strong><strong>ed Process</strong><strong>) </strong></p> <p>บทความที่ผู้นิพนธ์ส่งมาพิจารณา ถ้าดำเนินการตามคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับและมีมาตรฐานเพียงพอ จะได้รับการประเมินแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (Double-blind review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน</p> <p>ISSN 2697-5041 (Online)</p> <p>ISSN 2730-1893 (Print)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>การตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล กำหนดให้ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <table style="height: 64px;" width="263"> <tbody> <tr> <td class=""><strong>บทความภาษาไทย</strong></td> <td><strong>4,000 บาท</strong></td> </tr> <tr> <td><strong>บทความภาษาอังกฤษ</strong></td> <td><strong>6,000 บาท</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับการประเมินเบื้องต้น </span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">จากกองบรรณาธิการแล้วว่าสามารถตีพิมพ์ได้ </span></p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"><strong>หมายเหตุ:</strong> ทั้งนี้ทางวารสารไม่การันตีว่าบทความของท่านจะได้รับการตีพิมพ์ เเละหากไม่ได้รับการตีพิมพ์</span><span class="OYPEnA text-decoration-underline text-strikethrough-none">เมื่อชำระเงินแล้ว วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์การคืนเงินให้ผู้นิพนธ์ทุกกรณี</span></p>
Boromarajonani College of Nursing, Bangkok
th-TH
วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
2730-1893
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) ไม่สามารถนำไปตีพิมพ์ซ้ำในวารสารฉบับอื่น</p>
-
การตีตราทางสุขภาพจิต: บทบาทของพยาบาลชุมชน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/279664
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ปัญหาสุขภาพจิตเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ในประเทศไทยมีผู้ประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตกว่า 13.4 ล้านคน แต่เข้าถึงการรักษาได้เพียงบางส่วน สาเหตุสำคัญเกิดจากการตีตรา การลดการตีตราจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดทางสู่การรักษาด้านสุขภาพจิต พยาบาลที่ให้การดูแลประชาชนในชุมชนจึงมีบทบาทสำคัญในการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เพื่อลดการตีตราและส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาอย่างเหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับการตีตราทางสุขภาพจิตและบทบาทของพยาบาลชุมชนเพื่อป้องกันและลดการตีตราทางสุขภาพจิตในชุมชน</p> <p><strong>ประเด็นสำคัญ</strong>: การตีตราทางสุขภาพจิต เป็นลักษณะความเชื่อและทัศนคติที่มีต่อความเจ็บป่วยทางจิตในเชิงลบ เป็นอุปสรรคต่อการรักษาทางจิตเวช จำแนกตามแหล่งอิทธิพลที่ก่อให้เกิด คือ ภายนอกตัวบุคคลและภายในตัวบุคคล ส่งผลกระทบด้านลบต่อบุคคลและสังคมในหลายมิติ การแก้ปัญหาการตีตราทางสุขภาพจิตอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เน้นการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจและยอมรับอย่างแท้จริง พยาบาลชุมชนมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อลดการตีตราทางสุขภาพจิต เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงและมีความเข้าใจบริบทของชุมชน</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> บทบาทของพยาบาลชุมชนในการป้องกันและลดการตีตราทางสุขภาพจิต เน้นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพจิต ให้การพยาบาลด้วยความเข้าใจ ปราศจากอคติและไม่เลือกปฏิบัติ ส่งเสริมโอกาสในการแสวงหาความช่วยเหลือทางสุขภาพจิตและเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสม</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: บุคลากรที่ให้การดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน สามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนที่เผชิญกับการตีตราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง <strong> </strong></p>
นิภาวรรณ ศรีโยหะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
227
238
-
การพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน ในผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อตามหลักฐานเชิงประจักษ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278712
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน ในผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในหอผู้ป่วยวิกฤต และส่งผลกระทบต่ออัตราการเสียชีวิต และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ แนวทางการพยาบาลเพื่อป้องกัน AKI จำเป็นต้องยึดหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อพัฒนาการพยาบาลที่ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อ</p> <p><strong>ประเด็นสำคัญ</strong><strong>: </strong>การสังเคราะห์ข้อมูลพบว่า แนวทางสำคัญในการพยาบาลเพื่อป้องกัน AKI ได้แก่ การประเมินปัจจัยเสี่ยง และคัดกรองผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น NEWS และ qSOFA การเฝ้าระวังและวินิจฉัย AKI ตามเกณฑ์ KDIGO 2012 การจัดการสารน้ำและควบคุมความดันโลหิตอย่างเหมาะสม การลดการใช้ยา Nephrotoxic Agents การติดตามการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง และการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการป้องกัน AKI</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการป้องกัน AKI ในผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อควรเริ่มตั้งแต่การประเมินและเฝ้าระวังตั้งแต่แรกรับเข้าโรงพยาบาล โดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน ร่วมกับการจัดการสารน้ำและความดันโลหิตตามแนวทาง KDIGO 2012 การหลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อไต และการติดตามการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อส่งเสริมการดูแลตนเองและลดความเสี่ยงระยะยาว</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรพัฒนาคลินิกแนวปฏิบัติทางการพยาบาลโดยอิงหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมการฝึกอบรมบุคลากรและการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการดูแลที่เป็นระบบและยั่งยืน</p>
เชษฐาภรณ์ จันทร์เลิศฤทธิ์
จุรี แสนสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
216
226
-
บทบรรณาธิการ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/282056
โสภา รักษาธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพื่อเตรียมความพร้อมด้านความรู้และทักษะในการปฏิบัติการพยาบาลเด็ก ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276558
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้งนี้ผลของการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานต่อความมั่นใจในความรู้และทักษะในการปฏิบัติการพยาบาลเด็กยังมีอยู่อย่างจำกัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านความรู้ และทักษะในการปฏิบัติการพยาบาลเด็ก</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนามี 4 ขั้นตอน คือ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ 2) การพัฒนารูปแบบ 3) การทดลองใช้รูปแบบ และ 4) การประเมินประสิทธิผล โดยแบบประเมินความมั่นใจในการทำหัตถการทางการพยาบาลเด็กและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าเฉลี่ยดัชนีความตรงตามเนื้อหาทั้งฉบับได้เท่ากับ .71 และ 1 ตามลำดับ และผ่านการตรวจสอบความเที่ยงด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบากได้เท่ากับ .87 และ .86 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาล จำนวน 55 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านความรู้และทักษะในการปฏิบัติการพยาบาลเด็ก ประกอบด้วย 1) การฝึกทักษะแบบประสานเวลา 2) การศึกษาจากวิดีโอ 3) การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 4) การประเมินผลระหว่างและภายหลังจากจัดการเรียนรู้ 5) การจัดเตรียมเอกสารเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ ภายหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยความมั่นใจในการทำหัตถการทางการพยาบาลเด็กและคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.20, SD = .47 และ M = 4.26, SD = .39) ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านความรู้และทักษะในการปฏิบัติการพยาบาลเด็กสามารถเสริมสร้างความมั่นใจด้านทักษะและมีผลทางบวกต่อความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ทางการพยาบาล ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กได้</p>
จุฑารัตน์ คงเพ็ชร
ทัชมาศ ไทยเล็ก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
1
12
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีการรับประทานอาหารต่อการควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือด และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านท่าขัว จังหวัดลำปาง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276187
<p><strong>บทนำ: </strong>การปรับเปลี่ยนวิถีการรับประทานอาหารในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อเปรียบเทียบระดับน้ำตาล ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนก่อน-หลัง และประเมินผลลัพธ์หลังใช้โปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีการรับประทานอาหารกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>วิจัยแบบผสานวิธีมี 2 ระยะ 1) วิจัยกึ่งทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อน-หลังในผู้ป่วยเบาหวาน 27 ราย 2) วิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง 10 ราย เครื่องมือคือโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีการรับประทานอาหาร แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก แนวคำถามการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยก่อน-หลังด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Rank Test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ภาพรวมค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารและน้ำตาลสะสมในเลือดหลังเข้าร่วมโปรแกรม มีแนวโน้มลดลงแต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) ปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนมีเพียงไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และดัชนีภาวะดื้ออินซูลินเท่านั้นที่ดีขึ้นกว่าก่อนเข้าโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ความดันโลหิต คอเลสเตอรอลชนิดดี ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอวไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) ผลลัพธ์หลังเข้าโปรแกรม คือ 1) ความท้าทายในการปฏิบัติตามโปรแกรม 2) กลวิธีบรรลุความสำเร็จของโปรแกรม 3) คุณค่าของการปฏิบัติตามโปรแกรม</p> <p><strong> สรุปผล:</strong> โปรแกรมนี้สามารถลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดการภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ในบางปัจจัย</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>แม้จะศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่น้อยและไม่มีความแตกต่างในเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแต่สามารถเป็นแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานได้</p>
ยงยุทธ แก้วเต็ม
ไกรศร วงศ์ธิดา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
13
25
-
ประสบการณ์การปรับตัวของนิสิตโรคซึมเศร้าในช่วงการระบาดของโควิด 19
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276773
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การระบาดของโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อนิสิตมหาวิทยาลัยที่เป็นโรคซึมเศร้าอย่างมาก หากนิสิตไม่สามารถปรับตัวได้อาจทำให้มีอาการซึมเศร้ารุนแรงขึ้นและอาจฆ่าตัวตายได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงประสบการณ์การปรับตัวในช่วงการระบาดของโควิด 19 จึงมีความสำคัญ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาถึงประสบการณ์การปรับตัวของนิสิตมหาวิทยาลัยที่เป็นโรคซึมเศร้าในช่วงการระบาดของโควิด 19</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพแบบพรรณนา ผู้ให้ข้อมูลเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยที่เป็นโรคซึมเศร้ามารับการรักษาที่ คลินิกสุขภาพจิต โรงพยาบาลสุทธาเวช จังหวัดมหาสารคาม เลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนดเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก ระหว่างเดือนมกราคม ถึงมิถุนายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบข้อมูลอิ่มตัวที่จำนวนผู้ให้ข้อมูล จำนวน 20 ราย ประสบการณ์การปรับตัวของนิสิตที่เป็นโรคซึมเศร้าในช่วงการระบาดของโควิด 19 ประกอบด้วย 6 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1) การปรับตัวด้านอารมณ์ 2) การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ 3) การปรับตัวต่อการไปตรวจตามนัดที่โรงพยาบาล 4) การปรับตัวด้านสังคม 5) การปรับตัวด้านความคิดและพฤติกรรม และ 6) แรงสนับสนุนที่ทำให้สามารถปรับตัวผ่านช่วงการระบาดของโควิด 19 ได้</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ในช่วงการระบาดของโควิด 19 นิสิตมหาวิทยาลัยที่เป็นโรคซึมเศร้ามีการปรับตัวด้านอารมณ์ การเรียนแบบออนไลน์ การไปตรวจตามนัดที่โรงพยาบาล ด้านสังคม ด้านความคิดและพฤติกรรม และมีแรงสนับสนุนที่ทำให้สามารถปรับตัวผ่านช่วงการระบาดของโควิด 19 ได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ผลการวิจัยทำให้เข้าใจการปรับตัวของนิสิตมหาวิทยาลัยที่เป็นโรคซึมเศร้าในช่วงการระบาดของโควิด 19 และสามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนดูแลและส่งเสริมให้นิสิตมหาวิทยาลัยที่เป็นโรคซึมเศร้าปรับตัวได้อย่างเหมาะสม</p>
ชนกพร ศรีประสาร
กองกาญจน์ จันทน์จารุสิริ
น้ำทิพย์ คตภูธร
ธาณัฐดา สิริโสนแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
26
37
-
ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในชุมชนเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276817
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ความสำคัญในการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารในปัจจุบัน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในชุมชนเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในชุมชนเขตอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 440 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม พ.ศ. 2567 ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพมีความสัมพันธ์ระดับมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ 1) ทักษะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ 2) การเข้าใจข้อมูลสุขภาพ 3) การประเมินข้อมูลและบริการด้านสุขภาพ และ 4) การประยุกต์ใช้ข้อมูลและบริการสุขภาพ (r = .79, r = .78, r =.77, r = .75, p < .01) <br />พฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมการปฎิบัติอยู่ในระดับพอใช้ (M = 1.23, SD = .59) ซึ่งผลการศึกษานี้สามารถนำข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีได้</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในชุมชน เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ผลการศึกษานี้สามารถนำข้อมูลให้ความรู้แก่กับประชาชนทั่วไปเพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนมีพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีได้</p>
ศิริลักษณ์ สุวรรณวงษ์
จิตรประภา รุ่งเรือง
จารินี คูณทวีพันธ์
สาวภา ดงหงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-27
2025-08-27
41 2
38
49
-
การพัฒนารูปแบบการสื่อสารความเสี่ยงทางสุขภาพในการป้องกันอันตราย จากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ในชุมชนเขตพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/277214
<p><strong>บทนำ: </strong>การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ป้องกันตนเองส่งผลให้เกษตรกรเสี่ยงต่ออันตรายทางสุขภาพจำเป็นต้องส่งเสริมการรับรู้ร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างความตระหนักและพฤติกรรมป้องกันที่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการสื่อสารความเสี่ยงทางสุขภาพ ในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรโดยใช้การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) การพัฒนารูปแบบการสื่อสารโดยใช้เทคนิค A-I-C (Appreciation–Influence–Control) และ 2) การประเมินผลการนำรูปแบบไปใช้กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย เกษตรกรกลุ่มเสี่ยง 30 คน และภาคีเครือข่าย 8 คน รวม 38 คน คัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสนทนากลุ่ม แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม และแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาและมีค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบากเท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> รูปแบบการสื่อสารความเสี่ยงทางสุขภาพพัฒนาจากองค์ประกอบของผู้ส่งสาร เนื้อหา ช่องทางและผู้รับสาร โดยจัดทำเป็นชุดกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์เกษตรกร ได้แก่ การใช้สื่อสะท้อนผลกระทบสุขภาพการใช้ชุดป้องกันอันตรายส่วนบุคคล การพัฒนานวัตกรชุมชน และการฝึกปฏิบัติแบบมีส่วนร่วม ส่งผลให้เกษตรกรเกิดความตระหนักรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันอย่างเหมาะสม ไม่พบระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในระดับเสี่ยงและมีความพึงพอใจในระดับสูง</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> รูปแบบการสื่อสารความเสี่ยงทางสุขภาพ ทำให้เกษตรกรเกิดความตระหนักรู้และมีพฤติกรรมการป้องกันสุขภาพจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ขยายผลการใช้รูปแบบสู่ชุมชนอื่นเพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช</p>
บุญยงค์ บุคำ
ศรัณยู เรือนจันทร์
พงษ์ศักดิ์ อ้นมอย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
50
61
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ ของพนักงานขับรถพยาบาล ภาคเอกชน กรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276499
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุการบาดเจ็บทุพพลภาพและเสียชีวิต ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิตอย่างมหาศาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ของพนักงานขับรถพยาบาล ภาคเอกชน กรุงเทพมหานคร</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปริมาณแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ โดยใช้ทฤษฎี PRECEDE Framework เก็บข้อมูลจากประชากรทั้งหมด 211 คน ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พนักงานขับรถพยาบาลมีพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 92.40 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลอัตราความเร็วที่ใช้ (β = .174, p = .009) ระดับการศึกษาสูงสุด (β = -.221, p < .001) การสูบบุหรี่ (β = -.184, p = .006 ประสบการณ์การขับรถพยาบาล (β = .153, p= .020) โดยตัวแปรทั้งหมดสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ ได้ร้อยละ 13.20 ปัจจัยนำ การรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันอุบัติเหตุ (β = .363, p < .001) การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ (β = .172, p = .016) การรับรู้ประโยชน์การป้องกันอุบัติเหตุ (β = .165, p = .033) และปัจจัยเสริม การได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อนร่วมงานและบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน (β = .158, p = .017) โดยตัวแปรทั้งหมดสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ ได้ร้อยละ 56.90</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการขับขี่ ได้แก่ อัตราความเร็วที่ใช้ ระดับการศึกษาการสูบบุหรี่ การรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันอุบัติเหตุ การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ การรับรู้ประโยชน์การป้องกันอุบัติเหตุ และการสนับสนุนจากสังคม</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมการรับรู้ การสนับสนุนทางสังคมโดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น จำกัดความเร็วตามกฎหมายกำหนดและการจัดโปรแกรมเลิกบุหรี่</p>
รัตติยากร ถือวัน
พรรณี บัญชรหัตถกิจ
ทัศพร ชูศักดิ์
เฌอลินญ์ สิริเศรษฐ์ภพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
62
73
-
การศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานบริการปฐมภูมิ พ.ศ. 2566 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจของกระทรวงสาธารณสุข
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276589
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นนโยบายหนึ่งของรัฐบาลเพื่อช่วยให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้าถึงบริการทางสุขภาพ อย่างไรก็ตามคุณภาพการให้บริการหลังจากใช้นโยบายนี้ยังไม่ได้มีศึกษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานบริการปฐมภูมิ พ.ศ. 2566 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจของกระทรวงสาธารณสุข ระหว่าง 3 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น ปราจีนบุรี และสุพรรณบุรี</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษาภาคตัดขวางเก็บข้อมูลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 144 แห่งใน 3 จังหวัด โดยใช้แบบประเมินคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2566 ของสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ กระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบครัสคัล<strong>-</strong>วอลลิส</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ค่าเฉลี่ยผลการประเมินคุณภาพมาตรฐานบริการปฐมภูมิของทั้ง 3 จังหวัด ทั้ง 8 ส่วน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติใน 4 ส่วน ได้แก่ 1) ด้านระบบบริหารจัดการ 2) ด้านการจัดบุคลากรและศักยภาพในการให้บริการ 3) ด้านระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ มีระดับความแตกต่างทางสถิติที่ p < .001 และ 4) ด้านระบบห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีระดับความแตกต่างทางสถิติที่ p < .05</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ด้านระบบบริหารจัดการ ด้านการจัดบุคลากรและศักยภาพในการให้บริการ ด้านระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ และด้านระบบห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขมีความแตกต่างกันใน 3 จังหวัด</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> หน่วยบริการปฐมภูมิควรนำผลการประเมินไปปรับใช้ในการพัฒนาการให้บริการให้บรรลุเป้าหมายครอบคลุมการให้บริการทุกด้าน รวมถึงผู้บริหาร รพ.สต. ควรทำการวิเคราะห์อัตรากำลังและนำเสนอต่อ อบจ. เพื่อวิเคราะห์ในภาพรวม อันจะนำไปสู่การกำหนดกรอบอัตรากำลัง และจัดสรรให้กับ รพ.สต. อย่างเพียงพอ</p>
ลภัสรดา หนุ่มคำ
กันตาภัทร บุญวรรณ
กิตติยาภรณ์ โชคสวัสดิ์ภิญโญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
74
84
-
การปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็ก ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/277978
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็กที่มารักษาในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยเฉพาะการให้คำแนะนำเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมของผู้ปกครองในการให้ยาปฏิชีวนะแก่เด็กได้อย่างถูกต้อง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล ในผู้ป่วยเด็กที่มารักษาในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานใน รพ.สต. จังหวัดพะเยา จำนวน 180 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล ในผู้ป่วยเด็กที่มารักษาใน รพ.สต. มีความตรงตามเนื้อหาและค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .82 และ .90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Point bi-serial correlation</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> การปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็กมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.58, SD = .41) และประสบการณ์ปฏิบัติงาน ประสบการณ์ตรวจรักษาโรคเบื้องต้น การผ่านการอบรมเฉพาะทางเวชปฏิบัติทั่วไปและการอบรมเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลมีความสัมพันธ์การปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็ก (r = .434, r = .504, r = -.606, r = -.66; p < .01) </p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยเด็กอยู่ในระดับมากที่สุดและมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ปฏิบัติงานและ ประสบการณ์ตรวจรักษาโรคเบื้องต้น การอบรมเฉพาะทางเวชปฏิบัติทั่วไปและการอบรมเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> รพ.สต. ควรส่งเสริมให้พยาบาลมีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลอย่างต่อเนื่อง</p>
ณัฐติพร อ้นด้วง
พร บุญมี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
85
96
-
ปัจจัยทำนายการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ ในเขตกรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278023
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>กรุงเทพมหานครมีความชุกของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่มากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ การศึกษานี้ประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีการปรับตัวของรอย เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา <br /><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ ในเขตกรุงเทพมหานคร<br /><br /><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยภายใน 6 เดือน และอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 242 คน สุ่มตัวอย่างตามสัดส่วนของประชากร เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบไคสแควร์ สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br /> <br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการปรับตัวอยู่ในระดับสูง (M = 96.70, SD = 1.0) พบว่า มีการปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่มากที่สุด ร้อยละ 83.10 และจากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนพบว่า แรงสนับสนุนทางสังคม การเข้าถึงบริการสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี ความรู้เรื่องโรคของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และภาวะซึมเศร้า สามารถร่วมกันทำนายการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ ได้ร้อยละ 49.40 (R<sup>2 </sup>= .494) <br /><br /><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม การเข้าถึงบริการสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี ความรู้เรื่องโรคของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และภาวะซึมเศร้า สามารถร่วมทำนายการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่ได้ <br /> <br /><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>การวางแผนจัดระบบการบริการ และเป็นข้อมูลพื้นฐานให้แก่หน่วยงานผู้รับผิดชอบด้านการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในการดูแลและส่งเสริมการปรับตัว เพื่อวางแผนปรับปรุงและพัฒนาการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพระบบบริการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ต่อไป</p>
พรชนก บุญชม
อาภาพร เผ่าวัฒนา
ลลิตา แก้ววิไล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
97
107
-
เปรียบเทียบประสิทธิผลการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงกับการใช้สื่อปฏิสัมพันธ์ ในการพยาบาลผู้ป่วยหัวใจวายต่อความรู้และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278110
<p><strong>บทนำ:</strong> การใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงและการใช้สื่อปฏิสัมพันธ์เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ในการส่งผลให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงกับการใช้สื่อปฏิสัมพันธ์ในการพยาบาลผู้ป่วยหัวใจวายต่อความรู้และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาล </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ จำนวน 80 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 40 คน กลุ่มที่ 1 ได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง กลุ่มที่ 2 ได้รับการเรียนรู้โดยใช้สื่อปฏิสัมพันธ์ในการพยาบาลผู้ป่วยหัวใจวาย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจ ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1 และ .89 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .82 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบ T-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>คะแนนเฉลี่ยความรู้ในการพยาบาลผู้ป่วยหัวใจวายของนักศึกษาพยาบาลกลุ่มที่ 1 หลังทดลอง (M = 7.33, SD = 1.76) สูงกว่าก่อนทดลอง (M = 4.53, SD = 1.61) กลุ่มที่ 2 หลังทดลอง (M =7.48, SD = 1.43) สูงกว่าก่อนทดลอง (M = 4.78, SD = 1.66) โดยทั้งสองกลุ่มมีคะแนนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 แต่เมื่อทดสอบความรู้หลังทดลองระหว่างกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน คะแนนความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลกลุ่มที่ 1 หลังทดลองสูงกว่ากลุ่มที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 2.46, p < .05)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงและการใช้สื่อปฏิสัมพันธ์ช่วยพัฒนาความรู้ของนักศึกษาพยาบาลในการพยาบาลผู้ป่วยหัวใจวาย</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรส่งเสริมวิธีการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงและการใช้สื่อปฏิสัมพันธ์ในหัวข้ออื่น ๆ ที่มีความซับซ้อน เพื่อให้นักศึกษาบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้</p>
วิดาพร ทับทิมศรี
อุบล สุทธิเนียม
จันทร์เพ็ญ นิลวัชรมณี
ปฐมาภรณ์ ทองเติม
ศรีสุนทรา เจิมวรพิพัฒน์
นันทิวา นันทกรพิทักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
108
118
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถคิดบริหารจัดการตนของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/275932
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ความสามารถในการคิดบริหารจัดการตนเป็นหน้าที่เชิงบริหารของสมองที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักศึกษาพยาบาลที่ต้องเผชิญกับความเครียดจากการเรียนและการฝึกปฏิบัติ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาระดับความสามารถในการคิดบริหารจัดการตนของนักศึกษาพยาบาล และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความสามารถในการคิดบริหารจัดการตนของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 – 4 จากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 260 คน โดยคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie & Morgan และสุ่มแบบโควตา เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความเครียดของกรมสุขภาพจิต และแบบประเมินหน้าที่เชิงบริหารของสมอง ซึ่งเครื่องมือวิจัยมีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหารายข้ออยู่ระหว่าง .89 – 1.00 และค่าดัชนีความตรงเนื้อหาทั้งฉบับเท่ากับ .98 มีความเที่ยงโดยใช้ค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบาก เท่ากับ .94 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>นักศึกษาพยาบาลมีความสามารถในการคิดบริหารจัดการตนโดยรวมอยู่ในระดับสูง (M = 58.50, SD = 3.32) โดยคะแนนสูงสุดในด้านการควบคุมพฤติกรรม รองลงมาคือการควบคุมอารมณ์ และการควบคุมการรู้คิดตามลำดับ นอกจากนี้พบว่าระดับชั้นปีการศึกษามีความสัมพันธ์กับความสามารถในการคิดบริหารจัดการตนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> นักศึกษาพยาบาลมีความสามารถในการคิดบริหารจัดการตนในระดับดี โดยเฉพาะด้านการควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> ควรส่งเสริมกิจกรรมหรือโปรแกรมที่เน้นการฝึกทักษะการควบคุมการรู้คิด เพื่อพัฒนาศักยภาพ ในการเรียนรู้ การใช้ชีวิต และการปฏิบัติงานวิชาชีพพยาบาลในอนาคต</p>
รัฐกานต์ ขำเขียว
วัฒนีย์ ปานจินดา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
119
130
-
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยก่อนเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276080
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง จะสนับสนุนให้ผู้ดูแลมีความรู้และพฤติกรรมที่ถูกต้องส่งผลให้เด็กวัยก่อนเรียนมีพัฒนาการสมวัย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>1) พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยก่อนเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด 2) ศึกษาผลของรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยก่อนเรียน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มี 3 ระยะ คือ 1) ศึกษาสถานการณ์พัฒนาการสมวัยของเด็กวัยก่อนเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด 2) พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยก่อนเรียน 3) ศึกษาผลลัพธ์การใช้รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพโดยครอบครัวเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยก่อนเรียน เครื่องมือที่่ใช้ คือ แบบประเมินพัฒนาการ DSPM แบบประเมินความรู้และพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการเด็กของผู้ปกครอง รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพและพัฒนาการเด็กวัยก่อนเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Independent t-test และการทดสอบ Chi-squre.</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>เด็กวัยก่อนเรียนมีความเสี่ยงต่อการเกิดพัฒนาการล่าช้า ร้อยละ 38 ผู้ปกครองมีความรู้ด้านสร้างเสริมสุขภาพเด็กวัยก่อนเรียนในระดับต่ำ ร้อยละ 36 มีพฤติกรรมสร้างเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในระดับต่ำ ร้อยละ 39 ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ปกครองหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม และหลังทดลองเด็กวัยก่อนเรียนกลุ่มทดลองมีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพเด็กวัยก่อนเรียนโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางสามารถส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> พยาบาลควรนำรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางไปใช้ในการส่งเสริมเด็กที่มีพัฒนาการเด็กล่าช้า</p>
ทิพย์ภารัตน์ ไชยชนะแสง
ลําพงษ์ ศรีวงค์ชัย
มาลี ล้วนแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-26
2025-08-26
41 2
131
143
-
อุบัติการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อภาวะความดันโลหิตต่ำในผู้ป่วยกระเพาะอาหารทะลุ ที่มารับการผ่าตัดโดยวิธีการให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276819
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> กระเพาะอาหารทะลุเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม รักษาด้วยการผ่าตัดเย็บปิดรอยรั่วด้วยการให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย หากไม่รักษาทันท่วงที ทำให้มีการเสียน้ำไปอยู่ในช่องว่างระหว่างเซลล์ ปริมาตรเลือดไหลเวียนลดลงเกิดความดันโลหิตต่ำ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิตต่ำในผู้ป่วยกระเพาะอาหารทะลุที่ผ่าตัดด้วยการให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างคือข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยกระเพาะอาหารทะลุที่รับการผ่าตัดและได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 - 2565 จำนวน 150 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square tests, Fisher’s exact test, Independent t-tests, และ Binary logistic regression</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>1) อุบัติการณ์การเกิดความดันโลหิตต่ำในผู้ป่วยกระเพาะอาหารทะลุที่ผ่าตัดด้วยการให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย ร้อยละ 43.30 2) เพศหญิงมีโอกาสเกิดความดันโลหิตต่ำมากกว่าเพศชาย 28.41 เท่า (p = .014) อายุที่เพิ่มขึ้น 1 ปี มีโอกาสเกิดความดันโลหิตต่ำ ถึงร้อยละ 4 (p = .002) และผู้ป่วยที่มีไข้มีโอกาสเกิดความดันโลหิตต่ำมากกว่าผู้ที่ไม่มีไข้ 2.48 เท่า (p = .05) ทั้งสองปัจจัยสามารถร่วมกันทํานายโอกาสเกิดความดันโลหิตต่ำหลังได้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย ร้อยละ 21.90</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> อายุและไข้เป็นปัจจัยส่งเสริมให้ผู้ป่วยกระเพาะอาหารทะลุมีโอกาสเกิดความดันโลหิตต่ำหลังได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>วิสัญญีพยาบาลควรประเมินระดับความเสี่ยงการเกิดความดันโลหิตต่ำในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และจัดทำแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยกระเพาะอาหารทะลุที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อป้องกันความดันโลหิตต่ำ ทั้งการประเมินก่อนผ่าตัด การเตรียมความพร้อมก่อนให้ยาระงับความรู้สึก และการติดตามหลังผ่าตัด</p>
วิลาวรรณ เสวกจันทร์
ดาราวรรณ รองเมือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
144
155
-
การศึกษาเปรียบเทียบพลังสุขภาพจิตก่อนและหลังการฝึกปฏิบัติ การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/277698
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> พลังสุขภาพจิตหรือความเข้มแข็งทางใจ คือ ตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้สูญเสียสุขภาพจิต เป็นเสมือนภูมิคุ้มกันทางจิตใจในการรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อเปรียบเทียบพลังสุขภาพจิตของนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ก่อนและหลังการฝึกปฏิบัติการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อเปรียบเทียบพลังสุขภาพจิตของนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ก่อนและหลังขึ้นฝึกปฏิบัติรายวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 รุ่น 14 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินพลังสุขภาพจิต เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ กิจกรรมสร้างเสริมพลังสุขภาพจิต ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบพลังสุขภาพจิตของนักศึกษาก่อนและหลังการทดลอง ด้วยสถิติวิเคราะห์ Paired Sample T-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>1) ระดับพลังสุขภาพจิตในภาพรวมและรายด้านของนักศึกษาก่อนและหลังการฝึกปฏิบัติ การพยาบาลอยู่ในเกณฑ์ปกติ 2) พลังสุขภาพจิตด้านความมั่นคงทางอารมณ์ กำลังใจ และการจัดการกับปัญหาของนักศึกษาพยาบาลมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นภายหลังการฝึกปฏิบัติการพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) พลังสุขภาพจิตของนักศึกษาพยาบาลหลังการฝึกปฏิบัติการพยาบาลสูงกว่าก่อนการฝึกปฏิบัติฯ อย่างมีนัยสำคัญ<br />ทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> พลังสุขภาพจิตช่วยให้นักศึกษาพยาบาลจัดการกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเผชิญปัญหาได้ดียิ่งขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรเพิ่มกิจกรรมที่เสริมสร้างพลังสุขภาพจิตในการพัฒนานักศึกษาเพื่อเป็นพลังในการฟื้นฟูจิตใจให้เข้มแข็งดำเนินชีวิตต่อไปได้ในทุกสถานการณ์</p>
เมวดี ศรีมงคล
พัทรินทร์ บุญเสริม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
156
167
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการถูกกระทำรุนแรงของวัยทำงานเจเนอเรชั่นแซด ในเขตกรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278230
<p><strong>บทนำ: </strong>วัยทำงานเจเนอเรชั่นแซดเป็นกลุ่มแรงงานรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มเผชิญความรุนแรงในที่ทำงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความรุนแรงทางจิตใจและทางเพศ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพในการทำงาน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาความชุกของความรุนแรง และวิเคราะห์ปัจจัยที่สามารถทำนายการถูกกระทำรุนแรงในวัยทำงานเจเนอเรชั่นแซดในเขตกรุงเทพมหานคร</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานเจเนอเรชั่นแซด อายุระหว่าง 21 - 27 ปี ทั้งเพศชายและเพศหญิง จำนวน 235 คน ที่ปฏิบัติงานในเขตกรุงเทพมหานคร คัดเลือกโดยวิธีการแบบลูกโซ่ (Snowball sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติวิเคราะห์ไคสแควร์และสถิติถดถอยโลจิสติกทวิ</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>กลุ่มตัวอย่างถูกกระทำรุนแรงทางจิตใจมากที่สุด ร้อยละ 77 รองลงมา คือ ทางเพศ ร้อยละ 40 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการถูกกระทำรุนแรง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ได้แก่ อายุ สัมพันธภาพในที่ทำงานและค่านิยมในการใช้ความรุนแรงโดยพบว่า อายุ (β = 1.39, p = .01) และค่านิยมในการใช้ความรุนแรง (β = 3.53, p = .01) สามารถร่วมกันทำนายการถูกกระทำรุนแรงได้ร้อยละ 31 (Nagelkerke R² = .31)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>อายุ และค่านิยมในการใช้ความรุนแรง เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำนายความเสี่ยงต่อการถูกกระทำรุนแรงในกลุ่มวัยทำงานเจเนอเรชั่นแซด</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ผู้บริหารองค์กร ภาครัฐ และผู้กำหนดนโยบาย ควรกำหนดมาตรการป้องกันความรุนแรงในกลุ่มวัยทำงานรุ่นใหม่ โดยเน้นการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น ค่านิยมที่เอื้อต่อความรุนแรง และการขาดสัมพันธภาพในองค์กร รวมถึงส่งเสริมการสนับสนุนทางสังคมและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย</p>
กวิตา เลิศกีรติ
นฤมล เอื้อมณีกุล
อาภาพร เผ่าวัฒนา
ลลิตา แก้ววิไล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
168
179
-
ปัจจัยทำนายการถูกกลั่นแกล้ง ของเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศในเขตกรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/277913
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> เยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ มีอัตราการถูกกลั่นแกล้งที่สูงกว่าเยาวชนกลุ่มที่ไม่มีความหลากหลายทางเพศ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งในกลุ่มนี้ยังไม่ชัดเจน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถทำนายการถูกกลั่นแกล้งของเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศในเขตกรุงเทพมหานคร</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาเชิงภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร อายุ 18 - 25 ปี สุ่มแบบลูกโซ่ 488 คน เก็บข้อมูล 12 สัปดาห์ โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติวิเคราะห์ไคสแควร์และวิเคราะห์หาปัจจัยทำนายด้วยสถิติถดถอยโลจิสติกทวิ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างถูกกลั่นแกล้งโดยรวม ร้อยละ 79.30 จำแนกตามรายด้าน พบว่า ถูกกลั่นแกล้งทางด้านเพศมากที่สุด ร้อยละ 67.80 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการถูกกลั่นแกล้ง (p < .05) ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การไม่ยอมรับเรื่องเพศในครอบครัว (OR = 4.05) รูปแบบการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ (OR = 2.08) ปัจจัยป้องกัน ได้แก่ รูปแบบการเลี้ยงดูแบบตามใจ (OR = .48) และการถูกตีตราทางเพศ (OR = .58) ปัจจัยทำนาย ได้แก่ การไม่ยอมรับเรื่องเพศในครอบครัว (Exp(b) = 4.049) รูปแบบการเลี้ยงดูแบบตามใจ (Exp(b) = .539) และการเปิดเผยเพศสภาวะต่อสังคม (Exp(b) = 1.704) (Nagelkerke R<sup>2 </sup>= 10.8)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การไม่ยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศในครอบครัว รูปแบบการเลี้ยงดูแบบตามใจ และการเปิดเผยเพศสภาวะต่อสังคม สามารถร่วมทำนายการถูกกลั่นแกล้งของเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: สนับสนุนนโยบายและพัฒนาโครงการเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งในกลุ่มเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความเข้าใจและการยอมรับความหลากหลายทางเพศภายในครอบครัว ส่งเสริมรูปแบบการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่อย่างเหมาะสม และกระตุ้นการยอมรับความแตกต่างทางเพศในสังคม</p>
วสุพร พันธ์สาย
นฤมล เอื้อมณีกุล
อาภาพร เผ่าวัฒนา
ระพีพันธ์ จอมมะเริง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
180
191
-
ประสิทธิผลของแอปพลิเคชันที่ใช้การฝึกสติ ในการเลิกสูบบุหรี่: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/274730
<p><strong>บทนำ:</strong> การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก การเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงดังกล่าวได้ ปัจจุบันมีการใช้แอปพลิเคชันที่อิงแนวคิดการฝึกสติเพื่อช่วยเลิกสูบบุหรี่ แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิผลที่เกิดขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลของแอปพลิเคชันที่ใช้การฝึกสติในการเลิกสูบบุหรี่</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษานี้รวบรวมบทความวิจัยที่ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2567 โดยเลือกจากการวิจัยที่ใช้แอปพลิเคชันฝึกสติทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ค้นหาข้อมูลใน 6 ฐานข้อมูล ได้แก่ CINAHL Complete, PubMed, Embase, Scopus, Google Scholar และ ThaiJo โดยใช้สถิติพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวน 295 เรื่อง มีงานวิจัยตรงตามเกณฑ์คัดเข้าจำนวน 6 เรื่อง พบว่า แอปพลิเคชันฝึกสติที่ใช้ในการเลิกสูบบุหรี่มีองค์ประกอบหลัก คือ การรับรู้ความรู้สึกทางกาย ความเมตตาต่อตนเอง การรับรู้ถึงลมหายใจ และเทคนิค RAIN พร้อมด้วยฟีเจอร์ติดตามพฤติกรรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โปรแกรมส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลา 22 – 30 วัน โดยฝึกวันละ 5 – 15 นาที ช่วยลดระดับความเครียดและความวิตกกังวลอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มโอกาสในการเลิกสูบบุหรี่ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การสังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแอปพลิเคชันฝึกสติในการเลิกสูบบุหรี่ ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ในระยะสั้น โดยโปรแกรมที่มีประสิทธิผลใช้เวลา 5 – 15 นาทีต่อวัน ต่อเนื่อง 22 – 30 วัน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของแอปพลิเคชันที่ใช้การฝึกสติในการเลิกสูบบุหรี่ที่มีการออกแบบอย่างเป็นระบบ โดยใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดมาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดความหลากหลายของข้อมูลและสามารถวิเคราะห์อภิมานในอนาคตได้</p>
วีระชัย เขื่อนแก้ว
ณัฐธิรา ทิวาโต
วินัย รอบคอบ
วรภรณ์ ทินวัง
ศรีประไพ อินทร์ชัยเทพ
พิชญ์สินี มงคลศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
192
204
-
ผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจต่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดในระยะเตรียมจำหน่าย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/276869
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ปัญหาทางพฤติกรรมและความเสี่ยงของผู้ป่วยจิตเวชที่มีภาวะการใช้สารเสพติดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสังคมและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การรักษาในโรงพยาบาลทั่วไปมักมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาการนอนรักษา ส่งผลให้การบำบัดทางจิตสังคมไม่เพียงพอและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับไปใช้สารเสพติดซ้ำ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจที่มีต่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันการเสพซ้ำในผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดระยะเตรียมจำหน่าย</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดซ้ำ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดในระยะเตรียมจำหน่าย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 46 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 23 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจ และ 2) แบบวัดความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรมฯโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเฉลี่ย IOC อยู่ระหว่าง .67-1 แบบวัดความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาก .87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงเปรียบเทียบ Paired sample t- test และ Independent sample t – test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ค่าเฉลี่ยคะแนนความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกลุ่มทดลองหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง และระยะติดตามผลสูงกว่าระยะหลังทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) และกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ทั้งในระยะหลังทดลองและในช่วงติดตามผล 2 สัปดาห์</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>โปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจ มีประสิทธิภาพในการสร้างแรงจูงใจเพื่อการเปลี่ยนแปลงการกระทำที่มาจากความตั้งใจอย่างแน่วแน่และตระหนักรู้ในปัญหา สำหรับผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดระยะเตรียมจำหน่าย</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> หน่วยบำบัดสารเสพติดควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้บำบัดผู้ป่วยในระยะฟื้นฟูเพื่อสร้างความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเสพติด</p>
ศริญญา ชาญสุข
กชนิภา ขวาวงษ์
ณัชมนพรรณ ปลื้มรุ่งโรจน์
คณิวรรณ ภูษา
เมธาวี ปัญญาสวัสดิ์
กาญจนา บุดดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-08-28
2025-08-28
41 2
205
215