https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/issue/feed
วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
2024-12-13T19:50:24+07:00
Dr. Yupaporn Tirapaiwong
journalbcn@bcn.ac.th
Open Journal Systems
<p> <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล</strong> เป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ เดิมชื่อ <strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ</strong> เริ่มจัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2527 เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และได้ดำเนินการเผยแพร่วารสารทางการพยาบาลฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Peer-reviewed journal) ต่อมาในปีพ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2 ปีที่ 35) ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล </strong>เนื่องจากมีการขยายขอบเขตการเผยแพร่บทความรวมทั้งทางด้านการพยาบาลและสุขภาพ วารสารได้มีการพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 1 (TCI 1) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตั้งแต่การประเมินรอบที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (รอบที่ 4 พ.ศ. 2563 – 2567)</p> <p> วารสารรับพิจารณาบทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านการพยาบาล การศึกษาพยาบาล วิชาชีพด้านสุขภาพ ระบบสุขภาพและสุขภาพของประชาชน โดยมีกำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li class="show">เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้และระสบการณ์ทางการพยาบาล การศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นแหล่งเสนอผลงานวิชาการของบุคลากรสุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขตของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพ </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข รวมทั้งระบบสุขภาพ นโยบายทางด้านสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ และการดูแลสุขภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน</li> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านพยาบาล </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านการพยาบาลและการศึกษาพยาบาล รวมทั้งนโยบายทางด้านการพยาบาล การบริหารการพยาบาลมาตรฐานการพยาบาล ผลลัพธ์ทางการพยาบาล แนวปฏิบัติการพยาบาล หลักฐานเชิงประจักษ์ทางการพยาบาล นวัตกรรมทางการพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การพยาบาลเฉพาะสำหรับบุคคล ครอบครัว และชุมชน และกรณีศึกษาทางการพยาบาล</li> </ol> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>บทความวิจัย (</strong><strong>Research article)</strong> เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการรายงานการศึกษาวิจัยทางการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ผู้นิพนธ์เป็นผู้ดำเนินการวิจัย หรือศึกษาค้นคว้า ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมถึงการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systemic review) </li> <li class="show"><strong>บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic article)</strong> เป็นบทความที่ผู้นิพนธ์เขียนเรียบเรียงสาระความรู้วิชาการทางด้านการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเแล้วนำมากลั่นกรอง วิเคราะห์ และหรือสังเคราะห์โดยผู้นิพนธ์ หรือการเขียนวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบข้อความรู้เพื่อให้เกิดความกระจ่าง (Review article) รวมทั้ง การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางด้านการพยาบาลหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขต (</strong><strong>Scopes) ที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>องค์ความรู้ ด้านการพยาบาล สาธารณสุข ระบบสุขภาพ และการศึกษาพยาบาล หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer</strong><strong>-Review</strong><strong>ed Process</strong><strong>) </strong></p> <p>บทความที่ผู้นิพนธ์ส่งมาพิจารณา ถ้าดำเนินการตามคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับและมีมาตรฐานเพียงพอ จะได้รับการประเมินแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (Double-blind review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน</p> <p>ISSN 2697-5041 (Online)</p> <p>ISSN 2730-1893 (Print)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>การตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล กำหนดให้ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <table style="height: 64px;" width="263"> <tbody> <tr> <td class=""><strong>บทความภาษาไทย</strong></td> <td><strong>4,000 บาท</strong></td> </tr> <tr> <td><strong>บทความภาษาอังกฤษ</strong></td> <td><strong>6,000 บาท</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับการประเมินเบื้องต้น </span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">จากกองบรรณาธิการแล้วว่าสามารถตีพิมพ์ได้ </span></p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"><strong>หมายเหตุ:</strong> ทั้งนี้ทางวารสารไม่การันตีว่าบทความของท่านจะได้รับการตีพิมพ์ เเละหากไม่ได้รับการตีพิมพ์</span><span class="OYPEnA text-decoration-underline text-strikethrough-none">เมื่อชำระเงินแล้ว วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์การคืนเงินให้ผู้นิพนธ์ทุกกรณี</span></p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/266621
ผลของการใช้โปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะการดูแล ของผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่บ้าน
2024-01-10T11:16:39+07:00
นงคลักษณ์ วงศ์พนารัตน์
nongkalukwong@gmail.com
อรอุมา แก้วเกิด
onumakaewkerd@gmail.com
ไพรวัลย์ โคตรตะ
Paiwankotta@yahoo.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ต้องมีผู้ดูแล การรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลจะช่วยสร้างความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่บ้าน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง 2 กลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอายุ 18 - 59 ปี จำนวน 70 ราย โดยการสุ่มอย่างง่าย แบ่งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 35 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ส่วน 1) โปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะการดูแลของผู้ดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่บ้าน 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ดูแล แบบทดสอบความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และแบบประเมินทักษะเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ตรวจสอบความเที่ยง วิเคราะห์ความเชื่อมั่น KR-20 = .76 และสัมประสิทธิ์ครอนบาคแอลฟาเท่ากับ .82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติทีแบบอิสระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและทักษะเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมนี้สามารถเพิ่มความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรสนับสนุนให้พยาบาลที่ปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพ นำโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนไปใช้ เพื่อให้ผู้ดูแลมีความสามารถในการดูแลให้มีประสิทธิภาพโดยการมีต้นแบบสอนและฝึกการหายใจ การไอ การออกกำลังกาย ทำให้ผู้ดูแลมีความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้สมรรถภาพปอดของผู้ป่วยดีขึ้น</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272621
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
2024-08-08T12:07:20+07:00
วาริศรา พงค์ชยุดา
varisara.p@kkumail.com
นิตยา พันธ์งาม
nittapa@kku.ac.th
สุทิน ชนะบุญ
sutin@scphkk.ac.th
<p><strong>บทนำ:</strong> ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ยับยั้งไม่ได้ส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและภาวะทุพพลภาพในทารกแรกเกิด การส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของหญิงตั้งครรภ์มีความสำคัญต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดที่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental design) แบบ 2 กลุ่ม จับคู่กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง (Matched pairs) วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest - posttest design) กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 ราย และกลุ่มควบคุม 30 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีค่า CVI เท่ากับ .96 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดมีค่า CVI เท่ากับ .98 และค่าความเที่ยงสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .82 ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Paired t – test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: กลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนดหลังทดลอง สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) </p> <p><strong>สรุปผล</strong>: โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนสามารถช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดมีพฤติกรรมป้องการกันคลอดก่อนกำหนดที่เหมาะสมมากขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรนำโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนมาประยุกต์ใช้ดูแลหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมป้องการกันคลอดก่อนกำหนดอย่างเหมาะสมและช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271684
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
2024-07-03T17:21:36+07:00
ชลวิภา สุลักขณานุรักษ์
chonvipa.sulukana@gmail.com
อูน ตะสิงห์
oun.tasing@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> คุณภาพชีวิตของนักศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ในการส่งเสริมเพื่อให้นักศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดี อาศัยหลายปัจจัย ได้แก่ ด้านสุขภาพกาย จิตใจ สัมพันธภาพทางสังคม และสิ่งแวดล้อม </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักศึกษา</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิดภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จำนวน 363 คน เก็บข้อมูลในเดือนกันยายน 2566 – มกราคม 2567 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลและภาวะสุขภาพ ปัจจัยด้านการเรียนการสอน ความภาคภูมิใจในตนเอง <br />ความต้องการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกษา และแบบวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย (WHOQOL - BREF – THAI) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติ การถดถอยพหุโลจิสติก</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>นักศึกษาส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตในระดับปานกลาง ร้อยละ 49.59 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อคุณภาพชีวิตของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ต่อเดือน (p < .001, OR = 2.52; 95% CI = 1.49 - 4.25) ความภาคภูมิใจในตนเอง (p = .037, OR = 3.01; 95%CI = 1.07 - 8.51) และการอยากเปลี่ยนสาขาวิชาที่เรียน (p < .001, OR = 0.38; 95%CI = .24 - .61)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ระดับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาได้แก่ ความเพียงพอของรายได้ ความภาคภูมิใจในตนเอง และการอยากเปลี่ยนสาขาวิชาที่เรียน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ส่งเสริมนักศึกษาให้มีความภูมิใจในตนเอง แก้ปัญหาการอยากเปลี่ยนสาขา และส่งเสริมสนับสนุนทุนการศึกษา การส่งเสริมการหารายได้ระหว่างเรียนอย่างเหมาะสม เพื่อให้นักศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นได้</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272930
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ของผู้สูงอายุในพื้นที่มลพิษข้ามแดน
2024-09-20T11:14:51+07:00
จรินทร โคตพรม
jarintorn569@gmail.com
ณฐมน โจมแพง
nadhamon27@gmail.com
ประภากร ศรีสง่า
prapakorn@npu.ac.th
ณัติยา พรหมสาขา ณ สกลนคร
nuttiya2514@gmail.com
<p><strong>บทนำ:</strong> ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นภัยคุกคามสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเปราะบางสูง การศึกษาพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ในผู้สูงอายุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาแนวทางส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษา 1) ระดับการแสวงหาข้อมูลสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ในผู้สูงอายุ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การแสวงหาข้อมูลสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ กับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองนครพนม จำนวน 213 คน สุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi - square test และ Pearson's correlation coefficient</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>1) ผู้สูงอายุมีการแสวงหาข้อมูลสุขภาพระดับปานกลาง (M = 2.40, SD = 1.06) ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ระดับน้อย (M = 1.91, SD = 1.12) และพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ระดับไม่ดี (M = 1.83, SD = .98) 2) ระดับการศึกษา (= 7.11, p < .001) การแสวงหาข้อมูลสุขภาพ (r = .371, p < .01) และความรอบรู้ด้านสุขภาพ (r = .921, p < .01) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนเพศ รายได้ และภาวะสุขภาพ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในระดับต่ำ ซึ่งสัมพันธ์กับระดับการศึกษา การแสวงหาข้อมูล และความรอบรู้ด้านสุขภาพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ และปรับปรุงวิธีการสื่อสารข้อมูลสุขภาพให้เข้าถึงได้ง่าย เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันที่เหมาะสมในกลุ่มผู้สูงอายุ</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268584
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์
2024-05-21T10:46:17+07:00
ศรีวรรณ ทองศรี
sriwan.t@rbru.ac.th
ดาริน บัวหาญ
darin.b@rbru.ac.th
วรรณี เดียวอิศเรศ
wannee.d@rbru.ac.th
<p><strong>บทนำ:</strong> การฝึกปฏิบัติการพยาบาลเป็นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเครียดแก่นักศึกษาพยาบาล ซึ่งความเครียดระดับสูงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนักศึกษาและอาจนำไปสู่การเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาระดับความเครียดและปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดของนักศึกษาพยาบาลระหว่างการฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี <sup> </sup>จำนวน 47 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบวัดความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลสำหรับนักศึกษาพยาบาล ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาและค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 และ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> นักศึกษามีความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลแผนกฝากครรภ์และหลังคลอดโดยรวมในระดับปานกลาง เกรดเฉลี่ยมีความสัมพันธ์ในทางลบกับความเครียดในด้านอาจารย์และพยาบาล (r = -.359, p < .05) ขณะฝึกปฏิบัติที่แผนกฝากครรภ์ และความเครียดด้านการดูแลผู้ป่วย (r = -.285, p < .05) กับด้านงานที่ได้รับมอบหมาย (r = -.285, p < .05) ขณะฝึกปฏิบัติที่แผนกหลังคลอด ภูมิลำเนาไม่มีผลต่อระดับความเครียด โรงพยาบาลแหล่งฝึกที่ต่างกันมีผลต่อความเครียดโดยรวมของนักศึกษาขณะฝึกปฏิบัติที่แผนกฝากครรภ์ (F = 3.93, p < .05) การฝึกที่แผนกหลังคลอดมีความเครียดโดยรวมสูงกว่าการฝึกปฏิบัติงานในแผนกฝากครรภ์ (t = -2.42, p < .05)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> <sup> </sup>นักศึกษามีความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลแผนกฝากครรภ์และหลังคลอดโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยเกรดเฉลี่ย โรงพยาบาลและแผนกที่ฝึกปฏิบัติส่งผลต่อความเครียดในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษา</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรมีการประเมินความเครียดระหว่างการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาทุกสาขาวิชาและลดสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเครียดรวมทั้งส่งเสริมการจัดการกับความเครียดที่เหมาะสมแก่นักศึกษา</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272924
การพัฒนานวัตกรรมเตียงไฟฟ้าชนิดปรับท่านั่งหลังตรงต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
2024-09-13T15:30:58+07:00
ดวงพร ปิยะคง
duangporn@nu.ac.th
ณภัคลชา ผลอนันต์
naphaklachap@nu.ac.th
ปัญญาวัณ ลำเพาพงศ์
punyawanl@nu.ac.th
พรพิศุทธิ์ วรจิรันตน์
punyawanl@nu.ac.th
<p><strong>บทนำ: </strong> ผู้ป่วยติดเตียงต้องทุกข์ทรมานกับการที่ไม่สามารถลุกนั่งหรือยืนได้ ทำให้เกิดปอดอักเสบติดเชื้อและผู้ดูแลอาจเกิดการบาดเจ็บที่กระดูกและกล้ามเนื้อจากการยกหรือขยับให้ผู้ป่วยติดเตียงลุกนั่ง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อพัฒนานวัตกรรมเตียงปรับท่านั่งไฟฟ้าต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียง และประเมินคุณภาพนวัตกรรมเตียงปรับท่านั่งไฟฟ้าต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียงจากผู้ใช้งาน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยนี้ แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการพัฒนานวัตกรรมเตียงปรับท่านั่งไฟฟ้าต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียง โดยการทบทวนเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกับฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญ การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนทดสอบนวัตกรรมเตียงต้นแบบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Solidworks และหุ่นจำลอง ระยะที่ 2 ทดลองใช้นวัตกรรมเตียงต้นแบบและประเมินความคิดเห็นของผู้ใช้ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ อุปกรณ์ทำเตียง แบบประเมิน ความเหมาะสมความเป็นไปได้ของแบบร่างนวัตกรรม โปรแกรม Solidworks หุ่นจำลอง และแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับนวัตกรรมเตียงต้นแบบ ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาและความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความคิดเห็น เท่ากับ .70 และ .71 ตามลำดับ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาสาสมัครที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล 45 ราย และอาสาสมัครที่ทำหน้าที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง 45 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่า นวัตกรรมเตียงไฟฟ้าปรับท่านั่งหลังตรงต้นแบบ มี 3 ส่วน แต่ละส่วนสามารถปรับระดับได้ และมีอุปกรณ์พยุงศีรษะ เข็มขัดนิรภัย และที่พักแขนพับได้ เป็นเตียงสำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนักถึง 120 กิโลกรัม และได้รับอนุสิทธิบัตรแล้ว นอกจากนี้ คะแนนประเมินความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับเตียงต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียงของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด (M = 4.56, SD = .41)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>นวัตกรรมเตียงไฟฟ้าปรับท่านั่งหลังตรงตรงต้นแบบสำหรับผู้ป่วยติดเตียงใช้ง่าย สะดวก ปลอดภัยควรนำไปศึกษาในสถานการณ์จริงทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้านผู้ป่วยติดเตียง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิผลของเตียงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ปอดของผู้ป่วย และความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272742
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์และผลลัพธ์การตั้งครรภ์: การศึกษาย้อนหลัง
2024-09-19T11:51:09+07:00
สายฝน อำพันกาญจน์
fon.rainy8@gmail.com
สุฑารัตน์ ชูรส
sutharat@bcnchainat.ac.th
นลินี บัวพุ่ม
Nalihealthinsur@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> เบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นโรคทางอายุรกรรมอันดับหนึ่งในสตรีตั้งครรภ์ และจะส่งผลกระทบที่สำคัญทั้งต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และศึกษาผลลัพธ์การตั้งครรภ์ทั้งในมารดาและทารก </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน มาคลอด ณ โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร ในระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2565 จำนวน 273 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและระบบบันทึกของโรงพยาบาล โดยใช้แบบบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย และการทดสอบ Chi - square</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 32.97 ปี (SD = 5.93 ) ส่วนมากเป็นเบาหวานที่พบขณะตั้งครรภ์ครั้งแรก ร้อยละ 91.40 ฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์คุณภาพ 5 ครั้ง ร้อยละ 66.60 เป็นเบาหวานชนิด A1 ร้อยละ 68.80 ผลลัพธ์การตั้งครรภ์พบทารกน้ำหนักแรกเกิด 4000 กรัม ขึ้นไป ร้อยละ 35.80 คลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ ร้อยละ 22.50 และผ่าท้องคลอดร้อยละ 60.50 ทั้งนี้ชนิดของเบาหวานมีความสัมพันธ์กับอายุครรภ์เมื่อคลอด และน้ำหนักของทารกแรกเกิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?_{X}2^{}" alt="equation" />= 8.850, p = .005) และ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?_{X}2^{}" alt="equation" />= 9.134, p = .005) ตามลำดับ และมีความสัมพันธ์กับการฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์คุณภาพอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?_{X}2^{}" alt="equation" />= 5.922, p = .039)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อผลลัพธ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะหากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ และทารกแรกเกิด</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ควรนำผลการวิจัยไปพัฒนาแนวทางการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน โดยเน้นการคัดกรอง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในมารดาและทารก </p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/273118
ความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาชักนำคลอดกับผลลัพธ์ทางคลินิก: การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลัง
2024-09-27T11:26:16+07:00
สุกัญญา คำนวน
sukunya1815@gmail.com
นัฏยา พรมาลัยรุ่งเรือง
nutty0076@gmail.com
ปภัสรา คำสนาม
peckonix@gmail.com
<p><strong>บทนำ:</strong> การชักนำการคลอดเป็นหัตถการทางสูติศาสตร์ที่สำคัญและใช้แพร่หลาย แม้จะมีประโยชน์แต่ก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะด้านระยะเวลาที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์การคลอด การศึกษาผลของระยะเวลาการชักนำต่อผลลัพธ์ของมารดาและทารกในบริบทไทยยังมีจำกัด จึงทำการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแนวทางการดูแลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาการชักนำการคลอดกับภาวะแทรกซ้อนของมารดาและทารกแรกเกิดในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิแห่งหนึ่ง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลังนี้วิเคราะห์ข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ของสตรีตั้งครรภ์ครบกำหนด 160 ราย ที่เข้ารับการชักนำการคลอดระหว่าง 1 มกราคม 2565 - 31 กรกฎาคม 2566 โดยวัดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มให้ยาจนถึงการคลอด กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มเลือกแบบง่ายตามเกณฑ์คัดเข้า ด้วยกำลังการทดสอบ .90 ระดับนัยสำคัญ .05 และขนาดอิทธิพล .30 ข้อมูลเก็บรวบรวมด้วยแบบบันทึกที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา และความเที่ยงระหว่างผู้เก็บข้อมูล วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติ Spearman rank correlation ที่ระดับนัยสำคัญ < .01</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างระยะเวลาการชักนำกับการผ่าตัดคลอด (r = .41, p < .01) ระยะเวลานอนโรงพยาบาล (r = .70, p < .01) การตั้งครรภ์ครั้งแรก ดัชนีมวลกายสูง (p < .01) ที่สำคัญ ไม่พบความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนรุนแรง (p > .01)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ระยะเวลาชักนำการคลอดนานขึ้น เพิ่มโอกาสผ่าตัดคลอดและนอนโรงพยาบาลนานขึ้น แต่ไม่สัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนรุนแรง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรพัฒนาแนวทางการชักนำที่คำนึงถึงปัจจัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ครั้งแรกและดัชนีมวลกายสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้น</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/273895
ผลการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จังหวัดอุดรธานี
2024-09-27T10:55:41+07:00
กรรณิการ์ ฮวดหลี
tunapple0109@gmail.com
กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง
tang_kamon@hotmail.com
พิชญ์สินี มงคลศิริ
pitsini@pi.ac.th
ดาราวรรณ ทรพีสิงห์
darakan0109@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง การพัฒนาระบบตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนถึงโรงพยาบาล จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาและประเมินผลการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนาระบบ 3) ติดตามและประเมินผล เก็บข้อมูลแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และผู้ดูแลหลัก จำนวน 194 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและควบคุม กลุ่มละ 97 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรือผู้ดูแลหลัก ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และสหสาขาวิชาชีพ รวม 40 คน เครื่องมือเป็น แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม ความรู้ ทัศนคติ ความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา Independent t - test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่า สถานการณ์ปัญหาการทำงาน คือ มีการใช้บริการ 1669 น้อย ขาดการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาและส่งต่อเพื่อการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ระบบ“Stroke - Smart COC: Udon Model” ที่พัฒนาขึ้นทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าถึงความรู้และบริการมากขึ้น หลังการใช้ระบบ กลุ่มทดลองมีความรู้และทัศนคติ ต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันดีขึ้น อยู่ในระดับไม่พึ่งพากลุ่มทดลองและผู้ให้บริการมีความพึงพอใจต่อระบบในระดับมาก (M = 4.01, SD = .61 และ M = 3.93, SD = .51ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: ผลการพัฒนาระบบ ทำให้ผู้ป่วยได้เตรียมความพร้อม เมื่อมีเหตุฉุกเฉินสามารถเข้าถึงช่องทางด่วนมีระบบการดูแลต่อเนื่องที่บ้านที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรมีการขยายผลและนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย นวัตกรรมในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272630
การพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดล เพื่อการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
2024-08-08T16:38:35+07:00
วิภาพร สิทธิสาตร์
vipaporn@bcnb.ac.th
จิตตระการ ศุกร์ดี
jittrakarn@bcnb.ac.th
อิศราวุธ เกษามูล
issarawut@bcnb.ac.th
นสหชม เอโย่ว
Nasahachom63@gmail.com
ณัฐพร ชาญธัญกรรม
Double_whan@hotmail.com
<p><strong>บทนำ:</strong> การส่งเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยโดยใช้ระบบภูมิสารสนเทศตามแนวคิด สบช. โมเดล จะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดี ลดภาวะแทรกซ้อน </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดล ไปใช้เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยการมีส่วนร่วมของ อสม. และศึกษาประสิทธิผลของระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ ฯ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักวิชาการ พยาบาลวิชาชีพ บุคลากรสาธารณสุข 10 คน และ อสม. จำนวน 88 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แนวคำถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก ระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ คู่มือการใช้ระบบ GIS แบบประเมินประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังตามแนวคิด สบช. โมเดล และแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้ระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ ฯ</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ระยะ 1 ศึกษาสถานการณ์ พบว่า ระบบข้อมูลที่ใช้เดิมยังไม่ตอบโจทย์การมีส่วนร่วมของชุมชน ข้อมูลที่จำเป็นในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ประกอบด้วย พิกัดบ้านของผู้ป่วย ข้อมูลการจำแนกระดับ แนวทางการให้คำแนะนำตามแนวคิด สบช. โมเดล ระยะ 2 พัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ ใช้ชื่อว่า “GIS Samokhae” ระยะ 3 นำระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ พบว่า ประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังตามแนวคิด สบช. โมเดล รายด้าน ได้แก่ ด้านการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และด้านการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ สูงกว่าก่อนการทดลองทั้งรายด้านและโดยรวมที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และความพึงพอใจโดยรวมของ อสม. อยู่ในระดับมาก (M = 31.79, SD = 4.70)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การนำระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดล เพื่อการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปใช้ เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีศักยภาพในการดูแลตนเอง ส่งผลดีต่อการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรนำระบบภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ออนไลน์ตามแนวคิด สบช. โมเดลที่พัฒนาขึ้นขยายการดำเนินงานในกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง เพื่อการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/274516
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ
2024-10-25T14:27:49+07:00
ฐิติพร สุรินธรรม
titiporn.sur@gmail.com
วาสินี วิเศษฤทธิ์
sasinee.w@chula.ac.th
<p><strong>บทนำ: </strong>โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทยได้เผชิญความท้าทายในการยกระดับคุณภาพการให้บริการท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรม การส่งเสริมพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพจึงมีความสำคัญ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ คุณภาพการดูแลผู้ป่วย และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันขององค์กร</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่ร่วมทำนายพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การศึกษาความสัมพันธ์เชิงทำนาย กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 210 คน ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ 3 แห่ง เก็บข้อมูลออนไลน์ผ่านทาง Google form โดยใช้แบบสอบถามการเรียนรู้ตลอดชีวิต แบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม แบบสอบถามบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์การ และแบบสอบถามพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรม มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (CVI = .88 - .94) และความเที่ยง (α = .88 - .97) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติถดถอยพหุคูณ <strong> </strong></p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (M = 3.49, SD = .76) การเรียนรู้ตลอดชีวิต ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม และบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรม (r = .683, .524 และ .499 ตามลำดับ, p < .05) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่าปัจจัยทั้งสามสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมได้ร้อยละ 54.30 (R² = .543, p < .05)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การเรียนรู้ตลอดชีวิต ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม และบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมในองค์การมีผลต่อการเกิดพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมของพยาบาลวิชาชีพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>การวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลในการกำหนดนโยบายและจัดโครงการส่งเสริมให้พยาบาลมีพฤติกรรมการทำงานที่เน้นนวัตกรรมเพิ่มขึ้น</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/272950
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดชัยนาท
2024-10-31T13:16:00+07:00
จารุวรรณ ก้านศรี
jaruwan069@nurse.tu.ac.th
นภัสสร ยอดทองดี
puinaja_31@hotmail.com
ประกาศิต พูลวงษ์
prakasit@bcnchainat.ac.th
<p><strong>บทนำ:</strong> ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังพบปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น การส่งเสริมสุขภาพจิต จะทำให้ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังมีการปรับตัวและสุขภาพจิตดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>1) เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดชัยนาท 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง 3) เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ (1) แบบประเมินสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ฉบับสั้น 15 ข้อ (Reliability α = .84) (2) รูปแบบส่งเสริมสุขภาพจิต ประกอบด้วย 4 ระยะ คือระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดชัยนาท ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง ระยะที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง ระยะที่ 4 สรุปผลรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การใช้ค่าสถิติ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติทดสอบ t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> 1) ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังโดยรวมอยู่ในเกณฑ์เท่ากับคนทั่วไป เท่ากับ 47.93 (SD = 5.85) ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์เท่ากับคนทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 48.06 สุขภาพจิตต่ำกว่าคนทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 31.64 และสุขภาพจิตดีกว่าคนทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 20.30 2) รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตด้วยการสร้างความสุข 5 มิติ ประยุกต์ทฤษฎีความต้องการขั้นพื้นฐานของมาสโลว์ จำนวน 5 กิจกรรม 3) ค่าเฉลี่ยคะแนนสุขภาพจิตโดยรวมของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง หลังการเข้าร่วมการใช้รูปแบบส่งเสริมสุขภาพจิต (M = 44.60, SD = 3.66) สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิต (M = 38.60, SD = 5.03) อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตสามารถส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรังได้ดี </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> พยาบาลควรนำรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตไปใช้ในการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง</p>
2024-12-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)