https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/issue/feed วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) 2025-12-10T18:02:06+07:00 Asst. Prof. Sopah Raksatham journalbcn@bcn.ac.th Open Journal Systems <p> <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล</strong> เป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ เดิมชื่อ <strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ</strong> เริ่มจัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2527 เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และได้ดำเนินการเผยแพร่วารสารทางการพยาบาลฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Peer-reviewed journal) ต่อมาในปีพ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2 ปีที่ 35) ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล </strong>เนื่องจากมีการขยายขอบเขตการเผยแพร่บทความรวมทั้งทางด้านการพยาบาลและสุขภาพ วารสารได้มีการพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 1 (TCI 1) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตั้งแต่การประเมินรอบที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (รอบที่ 5 พ.ศ. 2568 – 2572)</p> <p> วารสารรับพิจารณาบทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านการพยาบาล การศึกษาพยาบาล วิชาชีพด้านสุขภาพ ระบบสุขภาพและสุขภาพของประชาชน โดยมีกำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li class="show">เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้และระสบการณ์ทางการพยาบาล การศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นแหล่งเสนอผลงานวิชาการของบุคลากรสุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขตของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพ </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข รวมทั้งระบบสุขภาพ นโยบายทางด้านสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ และการดูแลสุขภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน</li> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านพยาบาล </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านการพยาบาลและการศึกษาพยาบาล รวมทั้งนโยบายทางด้านการพยาบาล การบริหารการพยาบาลมาตรฐานการพยาบาล ผลลัพธ์ทางการพยาบาล แนวปฏิบัติการพยาบาล หลักฐานเชิงประจักษ์ทางการพยาบาล นวัตกรรมทางการพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การพยาบาลเฉพาะสำหรับบุคคล ครอบครัว และชุมชน และกรณีศึกษาทางการพยาบาล</li> </ol> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>บทความวิจัย (</strong><strong>Research article)</strong> เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการรายงานการศึกษาวิจัยทางการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ผู้นิพนธ์เป็นผู้ดำเนินการวิจัย หรือศึกษาค้นคว้า ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมถึงการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systemic review) </li> <li class="show"><strong>บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic article)</strong> เป็นบทความที่ผู้นิพนธ์เขียนเรียบเรียงสาระความรู้วิชาการทางด้านการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเแล้วนำมากลั่นกรอง วิเคราะห์ และหรือสังเคราะห์โดยผู้นิพนธ์ หรือการเขียนวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบข้อความรู้เพื่อให้เกิดความกระจ่าง (Review article) รวมทั้ง การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางด้านการพยาบาลหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขต (</strong><strong>Scopes) ที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>องค์ความรู้ ด้านการพยาบาล สาธารณสุข ระบบสุขภาพ และการศึกษาพยาบาล หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer</strong><strong>-Review</strong><strong>ed Process</strong><strong>) </strong></p> <p>บทความที่ผู้นิพนธ์ส่งมาพิจารณา ถ้าดำเนินการตามคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับและมีมาตรฐานเพียงพอ จะได้รับการประเมินแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (Double-blind review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน</p> <p>ISSN 2697-5041 (Online)</p> <p>ISSN 2730-1893 (Print)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>การตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล กำหนดให้ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <table style="height: 64px;" width="263"> <tbody> <tr> <td class=""><strong>บทความภาษาไทย</strong></td> <td><strong>4,000 บาท</strong></td> </tr> <tr> <td><strong>บทความภาษาอังกฤษ</strong></td> <td><strong>6,000 บาท</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับการประเมินเบื้องต้น </span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">จากกองบรรณาธิการแล้วว่าสามารถตีพิมพ์ได้ </span></p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"><strong>หมายเหตุ:</strong> ทั้งนี้ทางวารสารไม่การันตีว่าบทความของท่านจะได้รับการตีพิมพ์ เเละหากไม่ได้รับการตีพิมพ์</span><span class="OYPEnA text-decoration-underline text-strikethrough-none">เมื่อชำระเงินแล้ว วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์การคืนเงินให้ผู้นิพนธ์ทุกกรณี</span></p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278240 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการฟื้นคืนชีพ กลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลไม่เกิน 30 นาที 2025-05-02T22:51:09+07:00 สุพัตรา ลักษณะจันทร์ supattra.lak@sru.ac.th ทัศนีย์ สุนทร thassanee.soo@sru.ac.th อัฟฟาร์น มะวี affanmawee@gmail.com วิสมา เจะมะ jehmawisma@gmail.com ชญาดา เหล็มปาน chayadalempan@gmail.com นูรไลลา สาแม nurlaila31533@gmail.com หทัยทิพย์ สิทธิชัย Hathaithip120@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความสามารถและการปฏิบัติของผู้พบเห็นเหตุการณ์ด้วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมามีการไหลเวียนของเลือดด้วยตนเองในผู้ป่วย OHCA ภายใน 30 นาทีก่อนถึงโรงพยาบาล</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยย้อนหลัง จากข้อมูลเวชระเบียนที่ระบุรหัสโรค ICD-10 ของผู้ป่วย OHCA จากโรงพยาบาลชุมชนที่ให้บริการผู้ป่วยนอกและบริการฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง จำนวน 90 ราย เครื่องมือวิจัย คือแบบบันทึกข้อมูลที่มีโครงสร้าง ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย 2) ตัวแปรตามกรอบแนวคิด ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาด้วยดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ มีค่าอยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ และการทดสอบ T-test แบบอิสระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>อายุและโรคร่วมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มที่มี ROSC และไม่มี ROSC (p &gt; .05) สาเหตุที่สงสัยว่าเป็นภาวะหัวใจหยุดเต้นเป็นเพียงตัวแปรร่วมที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างสองกลุ่ม (p &lt; .05) เมื่อวิเคราะห์ 3 ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์การรอดชีวิตโดยไม่ปรับตัวแปรร่วม พบว่า การนำส่งโดย EMS มีความสัมพันธ์กับ ROSC อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) การมีผู้พบเห็นเหตุการณ์และการทำ CPR โดยผู้พบเห็นก่อนถึงโรงพยาบาล ไม่พบความสัมพันธ์กับ ROSC อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &gt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ระยะเวลาตั้งแต่การโทรแจ้งเหตุฉุกเฉินจนถึงการนำส่งโรงพยาบาลโดย EMS ไม่มีผลต่ออัตราการรอดชีวิต และการทำ CPR โดยผู้พบเห็นก่อนการมาถึงของ EMS ไม่เพิ่มโอกาสรอดชีวิต</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพการทำ CPR ของผู้พบเห็นในชุมชน การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของ EMS รวมทั้งการจัดทีมกู้ชีพระดับสูง เพื่อให้การช่วยฟื้นคืนชีพที่มีประสิทธิผลทันท่วงที</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/279701 ผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านลานแหลมจังหวัดนครปฐม 2025-06-05T07:38:42+07:00 ยุพิน จันมูล yupinjunmoon@gmail.com วิดาพร ทับทิมศรี vidaporn.d@bcn.ac.th นิศมา ภุชคนิตย์ nissamapoochakhanit@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นปัญหาทางสุขภาพของสตรีไทย การตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวีเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดการเกิดโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีวัยเจริญพันธุ์ในพื้นที่เป้าหมาย</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ชนิดสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีอายุ 30 – 60 ปี จำนวน 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านลานแหลม และกลุ่มควบคุมจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางพระ กลุ่มละ 40 คน โดยมีคุณลักษณะพื้นฐานไม่แตกต่างกัน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจ ตามทฤษฎีของ Rogers ประกอบด้วยกิจกรรมให้ความรู้ การใช้สื่อสร้างการรับรู้ การเสวนา และกิจกรรมเสริมแรงจูงใจต่าง ๆ ดำเนินกิจกรรมโดยพยาบาลวิชาชีพและบุคลากรสาธารณสุข เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแรงจูงใจในการตรวจคัดกรอง และแบบบันทึกการเข้ารับบริการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่า ระดับแรงจูงใจและการรับรู้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) และจำนวนสตรีที่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหลังเข้าร่วมโปรแกรมในกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นจากก่อนทดลอง</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการสร้างแรงจูงใจมีประสิทธิภาพช่วยส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีของสตรี โดยสามารถเพิ่มการรับรู้ความรุนแรงของโรค และการตอบสนองเชิงป้องกันได้อย่างชัดเจน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรนำผลการวิจัยครั้งนี้ไปใช้ ในการส่งเสริมให้สตรีมีพฤติกรรมการป้องกันมะเร็งปากมดลูกและเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278700 อุบัติการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการคลื่นไส้และอาเจียนหลังจากได้รับยาระงับความรู้สึก โรงพยาบาลปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา: การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลัง 2025-06-10T09:22:38+07:00 สุระศักดิ์ กาบเมืองปัก surasakkab@gmail.com พิมาน ธีระรัตนสุนทร phiman.th@wu.ac.th <p><strong>บทนำ:</strong> อาการคลื่นไส้และอาเจียนหลังการผ่าตัดคลอด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในมารดาหลังคลอด มีอัตราการเกิดสูงถึงร้อยละ 30 - 50 ส่งผลกระทบต่อความสบาย การฟื้นตัว และความสามารถในการดูแลทารกแรกเกิด สาเหตุของอาการอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น ยาสลบ ยาแก้ปวด หรือความเครียดหลังการผ่าตัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> การศึกษาย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความชุกของอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังผ่าตัด (PONV) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลัง รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วย 429 ราย ที่เข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เดือนมกราคม 2564 - ธันวาคม 2566 การสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ข้อมูลด้านประชากรผู้ป่วย รายละเอียดการผ่าตัด และการระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง ใช้การทดสอบไคสแควร์ เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรนี้กับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พบว่า ร้อยละ 40.80 ของผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังผ่าตัด ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด อายุ เป็นปัจจัยสำคัญ ผู้ป่วยอายุระหว่าง 15 - 44 ปี มีโอกาสเกิดอาการคลื่นไส้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) นอกจากนี้ การให้ยาป้องกันยังช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) </p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกทางไขสันหลังมีแนวโน้มที่จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังผ่าตัด (PONV) ได้มากกว่า </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> การเฝ้าระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในการจัดการและลดอุบัติการณ์ของ PONV เพื่อสร้างความมั่นใจในความสบายของผู้ป่วย ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และยกระดับคุณภาพการดูแลในงานวิสัญญีอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/280458 การพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี 2025-07-21T23:18:45+07:00 ดาราวรรณ ทรพีสิงห์ darakan0109@gmail.com กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง tang_kamon@bcnu.ac.th <p><strong>บทนำ:</strong> โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุของความพิการและภาวะพึ่งพิงทั่วโลก การดูแลต่อเนื่องที่บ้านมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ส่งเสริมการฟื้นตัว และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาและประเมินรูปแบบการดูแลต่อเนื่องทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาสถานการณ์และปัญหา 2) การพัฒนารูปแบบ และ 3) การติดตามและประเมินผล โดยใช้กรอบแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และการมีส่วนร่วมของครอบครัว กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ป่วย 60 ราย ผู้ดูแลหลัก 60 ราย และบุคลากรสหวิชาชีพ 25 ราย คัดเลือกแบบเจาะจงจากโรงพยาบาลแม่ข่าย 5 แห่ง เครื่องมือวิจัย ได้แก่แบบสอบถามความรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ พฤติกรรมการดูแล แบบประเมินกิจวัตรประจำวัน การสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบประเมินความพึงพอใจ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า IOC 0.67 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม .79 และแบบทดสอบความรู้ .80 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> รูปแบบการดูแลด้วยกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเอง และกิจกรรมเล่าสู่กันฟังผ่านสมุดบันทึกการดูแลต่อเนื่องทางการพยาบาล ส่งผลให้ผู้ดูแลหลักมีความรู้ ความเข้าใจ การรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> รูปแบบดังกล่าวช่วยเสริมสร้างศักยภาพผู้ดูแลตามแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และการมีส่วนร่วมของครอบครัว ทั้งด้านการรับรู้ประโยชน์ ความสามารถ และลดอุปสรรคในการดูแล ส่งผลให้ผู้ป่วยมีแนวโน้มพึ่งพาตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น<strong> </strong> </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรขยายผลการใช้รูปแบบไปยังหน่วยบริการสุขภาพอื่น โดยปรับตามบริบทพื้นที่ และสนับสนุนการอบรมเชิงปฏิบัติการแก่ผู้ดูแลในชุมชนอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/280011 การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง โดยใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง 2025-07-21T22:33:06+07:00 สมพร จิตรัตนพร somporn@ptu.ac.th ธนวันต์ ศรีอมรรัตนกุล tanavan.s@ptu.ac.th <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เป็นวิธีการที่เน้นคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การศึกษาถึงวิธีการใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญ</p> <p><strong>วัตถ</strong><strong>ุ</strong><strong>ประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาคุณลักษณะของงานวิจัยและองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง โดยใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ในด้านรูปแบบ วิธีการ และผลของการดูแล</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง โดยใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยใช้คำค้น คือ การดูแลแบบประคับประคอง โรคมะเร็ง และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พบงานวิจัย จำนวน 20 เรื่อง ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพงานวิจัย</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่าส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ 13 เรื่อง และเชิงคุณภาพ 7 เรื่อง ผลการสังเคราะห์เกี่ยวกับองค์ความรู้ในการดูแลแบบประคับประคองโดยใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 เป็นรูปแบบการดูแลแบบประคับประคอง ประเภทที่ 2 เป็นขั้นตอนการดูแลแบบประคับประคอง และประเภทที่ 3<strong> </strong>เป็นวิธีการดูแลแบบประคับประคอง ส่วนผลการใช้วิธีการดูแลแบบประคับประคอง แบ่งได้เป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านร่างกาย (กายานามัย) 2) ด้านจิตใจ (จิตตานามัย) และ 3) ด้านการมีชีวิตในสังคมสิ่งแวดล้อม (ชีวิตานามัย) พบว่า ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิต รู้สึกถึงความปลอดภัย บรรเทาความทุกข์ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายได้ แต่ทำให้สามารถใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายได้อย่างมีความสุขมากขึ้น</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การดูแลแบบประคับประคองโดยใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งทั้งด้านกาย จิตใจ และสังคม</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> ควรส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองอย่างเป็นองค์รวมโดยบูรณาการภูมิปัญญาไทย พัฒนาทีมสหวิชาชีพและระบบชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยระยะท้ายมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสงบในบั้นปลายชีวิต</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/280646 ประสิทธิผลของการสรุปผลการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงขั้นสูงต่อการให้เหตุผลทางคลินิก และการตัดสินใจทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาล: การวิจัยเชิงผสมผสาน 2025-07-30T23:28:40+07:00 สมจิตต์ สินธุชัย somchit@bcns.ac.th วิยะการ แสงหัวช้าง viyakan@bcns.ac.th กุลิสรา ขุนพินิจ kulisara@bcns.ac.th ภัทรมลวิรัล ภคพัชรภิรมย์ tanyalak@bcns.ac.th <p><strong>บทนำ: </strong>การสรุปผลการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็นรูปแบบการสะท้อนคิดที่ส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลทางคลินิกและเรียนรู้ที่จะคิดเหมือนพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการสรุปผลการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมายในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงขั้นสูงต่อการให้เหตุผลทางคลินิกและการตัดสินใจทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี จำนวน 75 คน สุ่มตัวอย่างอย่างง่ายได้กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จำนวนกลุ่มละ 37 คน และ 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวน 2 ชุด ได้แก่ 1) แบบวัดการให้เหตุผลทางคลินิก และ 2) แบบทดสอบการตัดสินใจทางคลินิก ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .81 และ .82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา และการทดสอบค่าที ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>1) ค่าเฉลี่ยการให้เหตุผลทางคลินิกและการตัดสินใจทางคลินิกของกลุ่มทดลองหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) และ (p &lt; .001) ตามลำดับ และ 2) ผลการสนทนากลุ่มพบสาระสำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การจำเป็นภาพ 2) คุณค่าการให้เหตุผลทางคลินิก 3) ความมั่นใจในการตัดสินใจ และ 4) การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การสรุปผลการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมายส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลทางคลินิกและการตัดสินใจทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรมีการนำวิธีการสรุปผลการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมายไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง </p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/281713 การดูแลตนเองในผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพที่เกี่ยวข้อง 2025-09-03T10:14:56+07:00 นันทิวา นันทกรพิทักษ์ nantiwa.n@bcn.ac.th สุนทรี เจียรวิทยกิจ soontaree.jia@mahidol.ac.th อภิญญา ศิริพิทยาคุณกิจ apinya.sii@mahidol.edu <p><strong>บทนำ:</strong> ปัจจุบันระบบบริการสุขภาพนำเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพมาใช้ดูแลสุขภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและผลลัพธ์ผู้ป่วย การศึกษาปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพจะทำให้ได้ข้อมูลเพื่อนำมาส่งเสริมการดูแลตนเองในผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ ทัศนคติและการสนับสนุนทางสังคมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ กับการดูแลตนเองของผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยเชิงบรรยายวิเคราะห์ความสัมพันธ์ คัดเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง โดยเป็นผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มารับบริการที่หน่วยตรวจผู้ป่วยนอกอายุรกรรมของโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 135 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ ทัศนคติ<br />ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ การสนับสนุนทางสังคมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ และการดูแลตนเองของผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย และสถิติสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>ความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ (r = .36, p &lt; .001) และทัศนคติในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (r = .38, p &lt; .001) มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับการดูแลตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และการสนับสนุนทางสังคมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำมากกับการดูแลตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .18, p &lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ ทัศนคติในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการดูแลตนเอง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> บุคลากรทางสุขภาพควรมีการให้คำแนะนำการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลการดูแลตนเองที่น่าเชื่อถือ</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278847 ผลของโปรแกรมการสอนผ่านสื่อออนไลน์เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางต่อความรู้ และพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาของสตรีตั้งครรภ์ ที่รับบริการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลส่องดาว 2025-07-08T11:54:58+07:00 จันทร์ธิดา นิมิตกุล chanthida.p@kkumail.com นิตยา พันธ์งาม nittapa@kku.ac.th สุทิน ชนะบุญ sutin@scphkk.ac.th <p><strong>บทนำ:</strong> ภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบต่อมารดาและทารก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากสตรีตั้งครรภ์มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็กที่ไม่เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> ศึกษาผลของโปรแกรมการสอนผ่านสื่อออนไลน์ต่อความรู้และพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาของสตรีตั้งครรภ์ที่รับบริการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลส่องดาว</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีตั้งครรภ์ที่มีลักษณะตามเกณฑ์การคัดเข้า 34 ราย สุ่มโดยวิธีการเรียงลำดับ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 17 ราย เครื่องมือทดลองพัฒนาขึ้นภายใต้ทฤษฎีของแบนดูรา กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสอนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ร่วมกับการพยาบาลตามปกติ และกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบประเมินความรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจางและแบบสอบถามพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยา ที่มีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1 ทั้ง 2 ฉบับ และค่าความเชื่อมั่น .70 และ .92 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired t-test, Wilcoxon mated pair sign rank test, McNemar Chi-Square และ Chi-Square</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาสูงขึ้น และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> โปรแกรมการสอนผ่านสื่อออนไลน์ช่วยเพิ่มความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาของสตรีตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรนำรูปแบบการสอนผ่านสื่ออนไลน์ไปประยุกต์ใช้ในการให้ความรู้และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพสตรีตั้งครรภ์ในแผนกฝากครรภ์</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/278510 ความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดของโรงพยาบาลอ่างทอง 2025-05-02T23:09:21+07:00 อัจฉรา แก้วสิน at_nui@hotmail.com สุฑารัตน์ ชูรส sutharat@bcnchainat.ac.th นิศากร มุขประดับ nisakorn4665@gmail.com <p><strong>บทนำ:</strong> การคลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อนของทารกแรกเกิด ภาวะนี้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดมีความหลากหลาย และอาจแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดของโรงพยาบาลอ่างทอง </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การศึกษาแบบกรณี-ควบคุมย้อนหลัง โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนและฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของหญิงตั้งครรภ์ที่คลอดบุตร ณ โรงพยาบาลอ่างทอง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2566 รวม 2,733 ราย แบ่งเป็นกลุ่มคลอดก่อนกำหนด 247 ราย และกลุ่มคลอดครบกำหนด 2,486 ราย เลือกกลุ่มศึกษาจำนวน 145 ราย จากกลุ่มคลอดก่อนกำหนดด้วยการสุ่มอย่างง่าย และใช้กลุ่มควบคุมทั้งหมดจากกลุ่มคลอดครบกำหนด วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดโดยใช้ การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพหุคูณ</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พบความชุกของการคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 9.03 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ประวัติคลอดก่อนกำหนด (Adj OR = 2.20, 95% CI 1.22 - 3.60, p &lt; .001) ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม (Adj OR = 4.54, 95% CI 1.40 - 13.47, p &lt; .001) และการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ (Adj OR = 13.92, 95% CI 2.16 - 88.12, p &lt; .001)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>ความชุกของการคลอดก่อนกำหนดที่โรงพยาบาลอ่างทอง ร้อยละ 9.03 และพบปัจจัยเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด คือ ประวัติคลอดก่อนกำหนด ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม และการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์<strong> </strong></p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>หน่วยบริการสุขภาพสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด โดยการดูแลสุขภาพที่ดีในช่วงตั้งครรภ์และการให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดจะช่วยเพิ่มโอกาสให้หญิงตั้งครรภ์คลอดทารกอย่างปลอดภัยและสุขภาพดี</p> 2025-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/280474 การพัฒนาระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดช่องท้อง ภายใต้การระงับความรู้สึกแบบทั่วตัว โรงพยาบาลอุดรธานี 2025-07-31T17:00:15+07:00 พูลศิลป์ คำอ้น Pulsil13@gmail.com วัจนา สุคนธวัฒน์ watjana.jang@gmail.com สยามรัฐ จูงไทย Siamnaluang@gmail.com กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง Tang_kamon@bcnu.ac.th ธัญญารัตน์ พรมมหาไชย Pthaya17i@gmail.com สุกัญญา ขุนจำนงค์ภักดิ์ Sukanya_puy1987@hotmail.com อารีย์ลักษณ์ ทองวิธิ Areeluk.t@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินที่มีการบาดเจ็บช่องท้องในรายที่ต้องผ่าตัดภายใต้การระงับความรู้สึกแบบทั่วตัว พบว่าการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดใช้เวลานาน ทำให้ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดสูง ดังนั้นควรพัฒนาระบบบริการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาระบบ และประเมินผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดช่องท้องภายใต้การระงับความรู้สึกแบบทั่วตัว</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา มี 3 ระยะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) วิสัญญีพยาบาล 35 คน และพยาบาลห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน 25 คน 2) ผู้ป่วยอุบัติเหตุบาดเจ็บช่องท้อง กลุ่มควบคุม 35 คน และกลุ่มทดลอง 35 คน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการ คือ ระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดช่องท้องภายใต้การระงับความรู้สึก<br />แบบทั่วตัว และเครื่องมือรวบรวมข้อมูล 4 ชนิด ประกอบด้วย 1) ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง 2) แบบประเมินความรู้ของพยาบาล 3) แบบประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่า CVI เท่ากับ .89, .91, .99, .97 และ 1 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired sample t-test และ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> สถานการณ์พบว่า ขั้นเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดมีความล่าช้า มาตรฐานการพยาบาลไม่สอดคล้องกัน ขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ หลังการพัฒนาระบบบริการพยาบาลพบว่า ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดใน 24 ชั่วโมงแรก และระยะเวลาเฉลี่ยจากห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินมาถึงห้องผ่าตัดของกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มควบคุม แต่ระยะเวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่แตกต่างกัน ส่วนความพึงพอใจของพยาบาลอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.30, SD = .52) </p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ระบบบริการพยาบาลช่วยลดระยะเวลาเตรียมผู้ป่วยและภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ส่งผลดีต่อผลลัพธ์ทางคลินิก และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรนำระบบบริการพยาบาลนี้ไปใช้กับโรงพยาบาลอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน และควรมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว</p> 2025-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/279748 การพัฒนานวัตกรรมแจ้งเตือนหกล้มในผู้สูงอายุ 2025-07-21T22:13:12+07:00 ศริญญา ชาญสุข sarinya.ji@udru.ac.th สัจพันธ์ จริงมาก Jingmark.kit@gmail.com กฤตชัย บุญศิวนนท์ krittachai.bo@udru.ac.th <p><strong>บทนำ: </strong>การหกล้มเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้สูงอายุ ดังนั้นการพัฒนานวัตกรรมการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ จะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการล้ม ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อพัฒนานวัตกรรมแจ้งเตือนหกล้มในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยเชิงพัฒนาครั้งนี้ ดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ การสังเคราะห์องค์ความรู้ การออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์ การทดสอบประสิทธิภาพ และการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 ราย เลือกตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้า เป็นผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป ในตำบลสามพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่มีคะแนนประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของ Thai falls risk assessment test เท่ากับหรือมากกว่า 4 คะแนนขึ้นไป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย นวัตกรรมเข็มขัดเตือนหกล้ม แบบบันทึกประสิทธิภาพนวัตกรรม และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้นวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พบว่านวัตกรรมสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงขององศาการเอียงตัวได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ร้อยละ 100 และสามารถแจ้งเตือนได้ทุกครั้งของการทดสอบ อาสาสมัครวิจัยมีความพึงพอใจโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (M = 3.99, SD = .56) </p> <p><strong>สรุปผล: </strong>นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น ช่วยเตือนการหกล้มของผู้สูงอายุได้ และผู้ใช้นวัตกรรม มีความพึงพอใจต่อการใช้งานอยู่ในระดับมาก</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรศึกษาติดตามผลกระทบของนวัตกรรมต่อการลดอัตราการหกล้ม หรือพัฒนาอุปกรณ์ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อสะดวกใช้งานในอนาคต อาจเพิ่มการเชื่อมต่อกับระบบ AI เพื่อให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้สูงอายุได้ลึกขึ้น และศึกษาความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ เพื่อหาแนวทางลดต้นทุนและทำให้สามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้</p> 2025-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/280725 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของการออกกำลังกายต่อการทรงตัว และความกลัวการหกล้มของผู้สูงอายุในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดงมัน ตำบลสิงห์โคก อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด 2025-07-30T23:45:44+07:00 ธัญลักษณ์ ตั้งธรรมพิทักษ์ thanyaluck@reru.ac.th วิวินท์ ปุรณะ wiwinpurana7@gmail.com ชวลา สีสมบา walla_25@hotmail.com วนิดา ศรีพรหมษา wanida-sri@bcnu.ac.th <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุเป็นสาเหตุการบาดเจ็บ พิการและเสียชีวิตในผู้สูงอายุ การสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการออกกำลังกายช่วยให้ผู้สูงอายุมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ที่คาดหวังให้สำเร็จ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของการออกกำลังกายต่อการทรงตัวและความกลัวการหกล้มของผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในตำบลสิงห์โคก อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีความเสี่ยงต่อการหกล้มมีระดับ 4 คะแนนขึ้นไป และได้รับการทดสอบการทรงตัว แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 37 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรม จำนวน 12 สัปดาห์ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 45 นาที กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบความสามารถในการทรงตัว และแบบประเมินความกลัวการหกล้ม วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยายและสถิติทดสอบค่าที </p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการทรงตัวและค่าเฉลี่ยคะแนนความกลัวการหกล้มของกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของการออกกำลังกายต่อการทรงตัวและความกลัวการหกล้ม ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีสมรรถะการทรงตัวเพิ่มขึ้นและความกลัวการหกล้มลดลง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรส่งเสริมให้มีการนำโปรแกรมไปใช้ จัดอุปกรณ์ที่มีความแข็งแรงเหมาะสม มีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยของผู้สูงอายุ</p> 2025-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)