https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/issue/feed
วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
2024-08-29T18:51:31+07:00
Dr. Yupaporn Tirapaiwong
journalbcn@bcn.ac.th
Open Journal Systems
<p> <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล</strong> เป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ เดิมชื่อ <strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ</strong> เริ่มจัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2527 เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และได้ดำเนินการเผยแพร่วารสารทางการพยาบาลฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Peer-reviewed journal) ต่อมาในปีพ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2 ปีที่ 35) ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น <strong>วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล </strong>เนื่องจากมีการขยายขอบเขตการเผยแพร่บทความรวมทั้งทางด้านการพยาบาลและสุขภาพ วารสารได้มีการพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 1 (TCI 1) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตั้งแต่การประเมินรอบที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (รอบที่ 4 พ.ศ. 2563 – 2567)</p> <p> วารสารรับพิจารณาบทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านการพยาบาล การศึกษาพยาบาล วิชาชีพด้านสุขภาพ ระบบสุขภาพและสุขภาพของประชาชน โดยมีกำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li class="show">เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้และระสบการณ์ทางการพยาบาล การศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</li> <li class="show">เป็นแหล่งเสนอผลงานวิชาการของบุคลากรสุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขตของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพ </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข รวมทั้งระบบสุขภาพ นโยบายทางด้านสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ และการดูแลสุขภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน</li> <li class="show"><strong>องค์ความรู้หรือข้อมูลความรู้ทางด้านพยาบาล </strong>ประกอบด้วยองค์ความรู้ สาระหรือข้อมูลความรู้ทางด้านการพยาบาลและการศึกษาพยาบาล รวมทั้งนโยบายทางด้านการพยาบาล การบริหารการพยาบาลมาตรฐานการพยาบาล ผลลัพธ์ทางการพยาบาล แนวปฏิบัติการพยาบาล หลักฐานเชิงประจักษ์ทางการพยาบาล นวัตกรรมทางการพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การพยาบาลเฉพาะสำหรับบุคคล ครอบครัว และชุมชน และกรณีศึกษาทางการพยาบาล</li> </ol> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับพิจารณาเพื่อการเผยแพร่</strong></p> <ol> <li class="show"><strong>บทความวิจัย (</strong><strong>Research article)</strong> เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการรายงานการศึกษาวิจัยทางการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ผู้นิพนธ์เป็นผู้ดำเนินการวิจัย หรือศึกษาค้นคว้า ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมถึงการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systemic review) </li> <li class="show"><strong>บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic article)</strong> เป็นบทความที่ผู้นิพนธ์เขียนเรียบเรียงสาระความรู้วิชาการทางด้านการพยาบาล หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเแล้วนำมากลั่นกรอง วิเคราะห์ และหรือสังเคราะห์โดยผู้นิพนธ์ หรือการเขียนวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบข้อความรู้เพื่อให้เกิดความกระจ่าง (Review article) รวมทั้ง การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางด้านการพยาบาลหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> </ol> <p><strong>ขอบเขต (</strong><strong>Scopes) ที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>องค์ความรู้ ด้านการพยาบาล สาธารณสุข ระบบสุขภาพ และการศึกษาพยาบาล หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer</strong><strong>-Review</strong><strong>ed Process</strong><strong>) </strong></p> <p>บทความที่ผู้นิพนธ์ส่งมาพิจารณา ถ้าดำเนินการตามคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับและมีมาตรฐานเพียงพอ จะได้รับการประเมินแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (Double-blind review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน</p> <p>ISSN 2697-5041 (Online)</p> <p>ISSN 2730-1893 (Print)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>การตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล กำหนดให้ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <table style="height: 64px;" width="263"> <tbody> <tr> <td class=""><strong>บทความภาษาไทย</strong></td> <td><strong>4,000 บาท</strong></td> </tr> <tr> <td><strong>บทความภาษาอังกฤษ</strong></td> <td><strong>6,000 บาท</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">โดยชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับการประเมินเบื้องต้น </span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">จากกองบรรณาธิการแล้วว่าสามารถตีพิมพ์ได้ </span></p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"><strong>หมายเหตุ:</strong> ทั้งนี้ทางวารสารไม่การันตีว่าบทความของท่านจะได้รับการตีพิมพ์ เเละหากไม่ได้รับการตีพิมพ์</span><span class="OYPEnA text-decoration-underline text-strikethrough-none">เมื่อชำระเงินแล้ว วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์การคืนเงินให้ผู้นิพนธ์ทุกกรณี</span></p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/273473
บทบรรณาธิการ
2024-08-29T18:51:31+07:00
ยุพาภรณ์ ติรไพรวงศ์
yupaporn.t@bcn.ac.th
2024-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/266715
ผลของโปรแกรมการป้องกันโรคตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพ และระดับความดันโลหิตของพระสงฆ์กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง
2023-11-16T11:17:46+07:00
นันทยา นนเลาพล
nanthyann6@gmail.com
อรอุมา แก้วเกิด
onumakaewkerd@gmail.com
ไพรวัลย์ โคตรตะ
Paiwankotta@yahoo.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> พระสงฆ์เป็นประชากรกลุ่มเสี่ยงหนึ่งที่กำลังเผชิญปัญหาโรคเรื้อรังและความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดในการบริโภคหรือการฉันอาหาร การออกกำลังกาย และด้วยข้อจำกัดทางพระธรรมวินัย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการป้องกันโรคตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการรับรู้ พฤติกรรมสุขภาพ และระดับความดันโลหิตของพระสงฆ์กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่ม วัดก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ พระสงฆ์ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ที่จำพรรษาในเขตอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม คัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เลือกตามคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างที่กำหนด จำนวน 35 คน ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการป้องกันโรคตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ dependent t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่าหลังเข้ารับโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และมีค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมช่วยทำให้การรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ พฤติกรรมในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในพระสงฆ์กลุ่มเสี่ยงดีขึ้น และส่งผลทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>พยาบาลควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพระสงฆ์กลุ่มเสี่ยงและป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพื่อลดระดับความดันโลหิต</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270607
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการ ด้านการใช้ภาษาของผู้ดูแล และพัฒนาการด้านการใช้ภาษาในเด็กอายุ 2 - 5 ปี
2024-05-17T16:44:48+07:00
ฐานวีร์ ธนชัยบุบผารมย์
mythanavee_26@hotmail.com
อาภาวรรรณ หนูคง
apawan.noo@mahidol.ac.th
สมสิริ รุ่งอมรรัตน์
somsiri.run@mahidol.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับผู้ดูแลช่วยสนับสนุนพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านการใช้ภาษาของผู้ดูแล และส่งเสริมให้เด็กที่มีพัฒนาการด้านการใช้ภาษาไม่สมวัยมีพัฒนาการดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านการใช้ภาษาของผู้ดูแล จำนวนคำศัพท์ที่เด็กเปล่งเสียงออกมา และพัฒนาการด้านการใช้ภาษาของเด็ก ระหว่างผู้ดูแลกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลและเด็กอายุ 2 - 5 ปี ที่มีพัฒนาการด้านการใช้ภาษาไม่สมวัย จำนวน 66 คู่ (กลุ่มละ 33 คู่) เครื่องมือ คือ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ดูแล แบบสอบถามพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการด้านการใช้ภาษา แบบบันทึกจำนวนคำศัพท์ที่เด็กเปล่งเสียงออกมา <br />และคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Repeated measures ANOVA, Independent t-test, Chi - square และ Fisher's Exact test.</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ผู้ดูแลกลุ่มทดลองมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 9.40, p < .003; F = 4.74, p < .033) เด็กในกลุ่มทดลองมีพัฒนาการด้านการใช้ภาษาและจำนวนคำศัพท์ที่เด็กเปล่งเสียงออกมาไม่แตกต่างกับกลุ่มควบคุม แต่ภายหลังการทดลองเด็กกลุ่มทดลองมีพัฒนาการด้านการใช้ภาษาสมวัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) ในขณะที่กลุ่มควบคุมเด็กมีพัฒนาการไม่แตกต่างกันระหว่างก่อนและหลังการทดลอง</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพช่วยให้ผู้ดูแลมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านการใช้ภาษาที่ดีขึ้น และเด็กมีพัฒนาการด้านการใช้ภาษาที่ดีขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรปรับปรุงโปรแกรม ฯ ให้มีความเฉพาะเจาะจงกับระดับพัฒนาการของเด็ก นำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบติดตามและส่งเสริมพฤติกรรมของผู้ดูแลในการส่งเสริมพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268245
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงติ้ว
2024-01-30T11:27:43+07:00
ณัติยา พรหมสาขา ณ สกลนคร
nuttiya2514@gmail.com
อรอุมา แก้วเกิด
nsokk@npu.ac.th
นรากร พลหาญ
z484950z@gmail.com
พิพัฒษ์พงศ์ เข็มปัญญา
ktonkra@gmail.com
เจริญชัย หมื่นห่อ
Charoenchai19@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และความรู้ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อความรู้ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่มวัดก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อายุ 35 ปีขึ้นไป คัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เลือกตามคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างที่กำหนด จำนวน 33 คน ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคเบาหวาน การรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Paired t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้และพฤติกรรมสูงกว่า ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมนี้สามารถเพิ่มความรู้ และพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สถานบริการสุขภาพและผู้สนใจสามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับผู้ดูแลโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้ พยาบาลที่ปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพ สามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ และพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>พยาบาลควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268718
ผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ในรายวิชานวัตกรรมทางการพยาบาล
2024-04-29T10:56:27+07:00
นิจวรรณ วีรวัฒโนดม
nitjawan1@gmail.com
ฐิติมา คาระบุตร
tommythitima@gmail.com
ชุติมา มาลัย
chutimali55@gmail.com
<p><strong>บทนำ:</strong> ปัจจุบันมีความคาดหวังต่อการพยาบาลสูงขึ้น จึงต้องจัดการศึกษาเพื่อเตรียมนักศึกษาพยาบาลให้สามารถทำงานได้ในอนาคต จึงเห็นความสำคัญในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อพัฒนาผู้เรียน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน และศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อน - หลัง การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชานวัตกรรมทางการพยาบาล ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2565 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชัยนาท จำนวน 116 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และแบบสอบถามความพึงพอใจการจัดการเรียนการสอน มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .82 และ .85 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติ pair t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p < .01 และมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานมีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ ทักษะด้านปัญญา ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขการสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรมีการนำรูปแบบการเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐานไปใช้ในรายวิชาทางการพยาบาลอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติต่อไป</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271229
การศึกษาสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค กระทรวงสาธารณสุข
2024-06-10T15:15:28+07:00
ประวีณา สิทธิเทศ
6470017836@student.chula.ac.th
วาสินี วิเศษฤทธิ์
wwasinee.w@gmail.com
<p><strong>บทนำ: </strong>การกำหนดสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาคอย่างชัดเจน นำไปสู่การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง ก่อให้เกิดคุณภาพในการปฏิบัติและบริการพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค กระทรวงสาธารณสุข</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนา ด้วยเทคนิควิธีการวิจัยแบบเดลฟาย โดยใช้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 20 คน การเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล จำนวน 3 รอบ ได้แก่ 1) สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค 2) แบบสอบถาม สร้างจากการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูลการสัมภาษณ์ โดยให้ค่าระดับความสำคัญของสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง และ 3) แบบสอบถามจากการนำข้อมูลรอบที่ 2 คำนวณทางสถิติ หาค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ เพื่อยืนยันหรือเปลี่ยนแปลงคำตอบ</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> สมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค กระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย สมรรถนะ 10 ด้าน สมรรถนะย่อย 70 ข้อรายการ ได้แก่ ด้านการปฏิบัติพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง สมรรถนะย่อย 15 ข้อ ด้านการสอนให้ความรู้ สมรรถนะย่อย 9 ข้อ ด้านการดูแลแบบประคับประคองและระยะท้าย สมรรถนะย่อย 7 ข้อ ด้านการจัดการอาการรบกวน สมรรถนะย่อย 6 ข้อ ด้านการส่งเสริมและป้องกันโรคมะเร็ง สมรรถนะย่อย 6 ข้อ ด้านการสื่อสาร สมรรถนะย่อย 6 ข้อ ด้านกฎหมายและจริยธรรมในการดูแลให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม สมรรถนะย่อย 6 ข้อ ด้านการให้คำปรึกษาทางด้านโรคมะเร็ง สมรรถนะย่อย 6 ข้อ ด้านการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สมรรถนะย่อย 5 ข้อ และด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศทางการพยาบาล สมรรถนะย่อย 4 ข้อ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>สมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง ด้านการให้คำปรึกษาทางด้านโรคมะเร็ง ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศทางการพยาบาล มีความสำคัญอย่างมากในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ผู้บริหารทางการพยาบาล ควรนำผลการวิจัยไปพัฒนาเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการประเมินและเป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270391
ผลของการให้ความรู้ตามหลักพิตส์เพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ต่อการจัดการตนเองในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม
2024-06-25T10:04:53+07:00
คมกฤทธิ์ การชะงัด
komgrit_kanchangud@hotmail.com
ศิริรัตน์ ปานอุทัย
siriratpanuthai@hotmail.com
จิตตวดี เหรียญทอง
jittawadee.r@cmu.ac.th
<p><strong>บทนำ: </strong>การส่งเสริมความรอบรู้ทางด้านสุขภาพมีความสำคัญต่อผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม การให้ความรู้ตามหลักพิตส์ ส่งผลให้เกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ และทำให้ผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมการจัดการตนเองได้อย่างเหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>ศึกษาผลของการให้ความรู้ตามหลักพิตส์ เพื่อส่งเสริมความรอบรู้ทางด้านสุขภาพต่อการจัดการตนเองในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยเป็นการวิจัยทดลองแบบสองกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 54 ราย และสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 27 ราย กลุ่มทดลองให้ความรู้ตามหลักพิตส์ แบบกลุ่ม 4 ครั้ง รายบุคคล 1 ครั้ง กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือดำเนินการวิจัย ได้แก่ แผนการให้ความรู้ คู่มือความรอบรู้ด้านสุขภาพในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม สื่อวีดิทัศน์ แบบวัดความเข้าใจของบุคคล และแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ เครื่องมือรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลความเจ็บป่วย และแบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบที่แบบอิสระ และการทดสอบที่แบบไม่อิสระ</p> <p><strong> ผลการวิจัย: </strong>คะแนนเฉลี่ยการจัดการตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่ได้รับการให้ความรู้ตามหลักพิตส์ สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) และสูงกว่าก่อนได้รับความรู้อย่างมีนัยสำคัญ<br />ทางสถิติ (p < .01)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การให้ความรู้ตามหลักพิตส์ ส่งผลให้ความรอบรู้ทางด้านสุขภาพและการจัดการตนเองในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมดีขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>บุคคลากรด้านสุขภาพสามารถนำรูปแบบการให้ข้อมูลตามหลักพิตส์ไปใช้เพื่อการส่งเสริมการจัดการตนเองในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270433
การวิเคราะห์องค์ประกอบของความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ
2024-07-03T17:29:38+07:00
ลักขณา ศิรถิรกุล
lakana@snc.ac.th
จารุวรรณ สนองญาติ
darin@snc.ac.th
เนติยา แจ่มทิม
netiya@snc.ac.th
ดารินทร์ พนาสันต์
darin@snc.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ความสมดุลชีวิตและการทำงานมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของพยาบาล การเข้าใจองค์ประกอบของความสมดุลชีวิตและการทำงานจะทำให้สามารถช่วยส่งเสริมการจัดการความสมดุลสำหรับพยาบาลได้ดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจของความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาล โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: กลุ่มตัวอย่างพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ จำนวน 330 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาล ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .94 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ สกัดองค์ประกอบ การวิเคราะห์องค์ประกอบร่วม เทคนิคย่อยวิธีแกนหลักและหมุนแกนองค์ประกอบแบบมุมฉากด้วยวิธีแวริแมกซ์</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่า องค์ประกอบความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาล ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านความขัดแย้งในบทบาทระหว่างงานและนอกเหนือจากงาน 13 ตัวแปร อธิบายได้ 19.22% 2) ด้านการสนับสนุนจากครอบครัว 5 ตัวแปร อธิบายได้ 9.16% 3) ด้านการสนับสนุนจากหัวหน้างาน 5 ตัวแปร อธิบายได้ 9.14% 4) ด้านการมีเวลาเพียงพอ 5 ตัวแปร อธิบายได้ 8.87% 5) ด้านการมีส่วนร่วมของครอบครัว 4 ตัวแปร อธิบายได้ 6.95% 6) ด้านการมีส่วนร่วมในการทำงาน 3 ตัวแปร อธิบายได้ 5.63% และองค์ประกอบที่ 7 ด้านความพึงพอใจในชีวิตและการทำงาน 3 ตัวแปร อธิบายได้ 5.46% องค์ประกอบทั้ง 7 ด้าน สามารถอธิบายความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาล ได้ 64.46%</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการส่งเสริมความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาลอันส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพยาบาล</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ผลจากศึกษาองค์ประกอบความสมดุลชีวิตและการทำงานของพยาบาลที่ได้จากงานวิจัยนี้ เป็นข้อมูลให้กับผู้บริหารทางการพยาบาลวางแผนนโยบายและสร้างแนวทางการส่งเสริมความสมดุลชีวิตและการทำงาน เพื่อพยาบาลมีความสมดุลชีวิตและการทำงานที่ดีตรงกับความต้องการของพยาบาลต่อไป</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270710
ผลของการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการเตรียมความพร้อม ต่อความรู้และความมั่นใจในการให้การพยาบาลในระยะที่ 1 ของการคลอดของนักศึกษาพยาบาล
2024-07-15T12:54:30+07:00
นันธิดา วัดยิ้ม
nunthida.w@bcn.ac.th
ชญาภรณ์ เอกธรรมสุทธิ์
chayaporn.e@bcn.ac.th
ภัทรา สุวรรณโท
Pattra.s@bcn.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong>: นักศึกษาพยาบาลจะมีความรู้สึกกลัวและวิตกกังวลก่อนการฝึกวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและผดุงครรภ์ การเตรียมความพร้อมก่อนการปฏิบัติจริงจะช่วยลดความรู้สึกดังกล่าวและสร้างความรู้และมั่นใจให้แก่นักศึกษาได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาผลของการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการเตรียมความพร้อมต่อความรู้และความมั่นใจในการให้การพยาบาลในระยะที่ 1 ของการคลอด ของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ จำนวน 58 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 29 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการเตรียมความพร้อมการให้การพยาบาลระยะที่ 1 ของการคลอด เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบความรู้หลังเรียน <br />และแบบสอบถามความมั่นใจในการให้การพยาบาลในระยะที่ 1 ของการคลอด วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยาย เปรียบเทียบข้อมูลด้วยสถิติไคสแควร์ สถิติฟิชเชอร์ และสถิติทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>กลุ่มที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ ด้านการพยาบาลผู้คลอดในระยะที่ 1 ของการคลอดสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 3.62, p < .001) และมีคะแนนเฉลี่ยความมั่นใจต่อการพยาบาลผู้คลอดในระยะที่ 1 ของการคลอดสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (t = 3.77, <br />p < .001)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง ช่วยให้นักศึกษามีความรู้ และมั่นใจในการพยาบาลผู้คลอดเพิ่มมากขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการพยาบาลของนักศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/269900
ผลของการใช้โปรแกรมการทำกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุต่อสมรรถภาพทางกาย
2024-05-03T11:11:12+07:00
ดวงทิพย์ อนันต์ศุภมงคล
duangthip.ana@kbu.ac.th
จิตรลดา สมประเสริฐ
Chittralada@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ปัญหาสุขภาพในผู้สูงอายุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม ทำกิจกรรมทางกายน้อย ร่างกายอยู่ในพฤติกรรมเนือยนิ่งเป็นเวลานาน ทำให้สมรรถภาพทางกายไม่ดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาระดับสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ และผลของโปรแกรมการทำกิจกรรมทางกายต่อสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ ก่อนและหลังเข้าโปรแกรม</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 32 คน เครื่องมือดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมการทำกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุ 1) ให้ความรู้เรื่องกิจกรรมทางกาย 2) ให้ไปทำกิจกรรมทางกาย 13 ชนิดตามคู่มือ และออกกำลังกาย 1 ชนิดทุกวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ แล้วบันทึกเวลาในตารางบันทึกเวลาการทำกิจกรรมทางกาย และ 3) ตรวจสุขภาพและสมรรถภาพทางกาย สัปดาห์ที่ 1, 3, 5 และ 8 วิเคราะห์ข้อมูล โดยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired Sample t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> หลังการทดลองคะแนนเฉลี่ยสมรรถภาพทางกาย ด้านความทนทานแบบแอโรบิค คะแนนเฉลี่ย 2.88 อยู่ในระดับสูง และด้านความคล่องแคล่วและการทรงตัวเมื่อเคลื่อนไหว มีคะแนนเฉลี่ย 1.50 อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง พบว่า คะแนนสมรรถภาพทางกายภาพรวมสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) โดยพบว่า ด้านความทนทานแบบแอโรบิค ด้านความคล่องแคล่วและการทรงตัว เมื่อเคลื่อนไหวมีความแตกต่างก่อนและหลังการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ (p < .01)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>กิจกรรมทางกายที่เพียงพอและเหมาะสม สามารถส่งเสริมสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ผู้สูงอายุควรได้รับโปรแกรมการทำกิจกรรมทางกายด้านการใช้กล้ามเนื้อขาให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วและการทรงตัวเมื่อเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นสมรรถนะสำคัญในการป้องกันการหกล้ม</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271081
ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมความสามารถการคัดกรองและการสื่อสารทางสุขภาพ ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง
2024-08-02T17:12:19+07:00
นภาเพ็ญ จันทขัมมา
napaphen_ja@hotmail.com
ทรงพล ผดุงพัฒนากูล
songpon.pha@stou.ac.th
พัทยา แก้วสาร
pattaya.kae@stou.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong>: โรคไตเรื้อรังเป็นประเด็นด้านสุขภาพที่สำคัญ มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย สามารถป้องกันได้โดยการดูแลตนเอง รวมถึงการคัดกรองและการสื่อสารด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญบทบาทหนึ่งของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความสามารถการคัดกรองและการสื่อสารสุขภาพในการป้องกันโรคไตเรื้อรังของ อสม. ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ อสม. อำเภอปากเกร็ด จำนวน 26 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการเสริมสร้างความสามารถการคัดกรองและการสื่อสารสุขภาพในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง ของ อสม. ที่พัฒนาขึ้นจากแนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจของ Gibson ใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยมีกิจกรรมหลัก 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การค้นพบความจริง ระยะที่ 2 การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ ระยะที่ 3 การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสม ลงมือปฏิบัติ และระยะที่ 4 การคงไว้ซึ่งการปฏิบัติ 2) แบบสอบถามความสามารถในการสื่อสารทางสุขภาพของ อสม. และ 3) แบบสอบถามความสามารถการคัดกรองในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง ของ อสม. เครื่องมือวิจัยมีค่า CVI เท่ากับ .98, .91 และ .97 ตามลำดับ และค่าความเที่ยงของแบบสอบถามในส่วนที่ 2) และ 3) เท่ากับ .89 และ .85 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบทีชนิดคู่</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> หลังเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อสม. มีความสามารถในการคัดกรอง ( t (25) = 10.532, p < .001)และทักษะการสื่อสารทางสุขภาพ ( t (25) = 9.627, p < .001) ในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง ดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> โปรแกรมที่นำแนวคิดของการสร้างพลัง สามารถพัฒนาความสามารถการคัดกรองและการสื่อสารทางสุขภาพของ อสม. ในการป้องกันโรคไตเรื้อรังได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> สามารถนำแนวคิดเสริมสร้างพลังอำนาจไปประยุกต์เพื่อพัฒนาความสามารถของ อสม. ในทักษะด้านอื่น ๆ เพื่อการป้องกันโรคเรื้อรังอื่น ๆ</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/269967
ความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรัง ของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในชุมชนเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
2024-05-03T11:29:11+07:00
ศิริลักษณ์ สุวรรณวงษ์
Siriluk.suw29@gmail.com
จิตรประภา รุ่งเรือง
pairat834@gmail.com
ตฤน ทิพย์สุทธิ์
trinthipsut@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมมีความสำคัญในการส่งเสริมพฤติกรรมป้องกันโรคเรื้อรัง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมที่สามารถใช่ในการป้องกันโรคเรื้อรังในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในชุมชนเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การศึกษาเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในชุมชนเขตอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 422 คน โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ปัจจัยนำและปัจจัยเสริมมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรังทางสถิติที่ระดับ .05 ในด้านปัจจัยนำ เพศ มีความสัมพันธ์เชิงลบต่ำ (r = -.043 , p < .05 ) ขณะที่ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวก (r = .84, p < .05) และระดับความเครียด มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ำ (r = .075, p < .05) กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรัง เช่นเดียวกับปัจจัยเสริมในการดูแลสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์เชิงบวก (r = .30, p < .05) กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรัง ในด้านปัจจัยเอื้อ รายได้มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(r = .049, p < .05) กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรัง</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: ระดับการป้องกันโรคเรื้อรังของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยนำ ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา และความเครียด ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ รายได้ และปัจจัยเสริม คือ การดูแลสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรังของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในชุมชนเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: พยาบาลสามารถใช้ข้อมูลในการศึกษานี้เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันโรคเรื้อรังด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268880
ผลของการใช้แนวคิด สบช. โมเดล ในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ของประชาชนอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
2024-03-01T10:24:37+07:00
เอกพันธ์ คำภีระ
aekkaphan.k@bcnpy.ac.th
วรัญญากรณ์ โนใจ
varunyakon.n@bcnpy.ac.th
ธานี กล่อมใจ
thanee@bcnpy.ac.th
อัมพร ยานะ
Amphorn.y@bcnpy.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญไปทั่วโลก ดังนั้น การคัดกรอง ป้องกันและควบคุมยังคงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการโรคเหล่านี้ แนวคิดสถาบันพระบรมราชชนก โมเดล หรือ สบช. โมเดล เป็นวิธีการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และทักษะการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ก่อนและหลังการใช้แนวคิด สบช. โมเดล และศึกษาเปรียบเทียบค่าความดันโลหิตตัวบน ค่าความดันโลหิตตัวล่างและระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนและหลังการใช้แนวคิด สบช. โมเดล ของประชาชนอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเดียววัดผลก่อน - หลัง กลุ่มตัวอย่าง 702 ราย คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน ถึงพฤศจิกายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม โดยตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้เท่ากับ .94 <br />และตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือแบบสอบถามความรู้ และแบบสอบถามทัศนคติ และทักษะการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้เท่ากับ .97, .87 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบก่อน - หลังโดยใช้สถิติ Paired Sample t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: เมื่อเปรียบเทียบก่อน - หลังการใช้แนวคิด สบช. โมเดล พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบน (ค่าเฉลี่ยก่อน = 131.94, ค่าเฉลี่ยหลัง = 128.71, p < .001) ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวล่าง (ค่าเฉลี่ยก่อน = 79.16, ค่าเฉลี่ยหลัง = 78.08, p < .001) และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลปลายนิ้ว (ค่าเฉลี่ยก่อน = 100.96, ค่าเฉลี่ยหลัง = 98.71, p < .001) ทุกค่าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบว่า คะแนนเฉลี่ยของความรู้ ทัศนคติ และทักษะการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <. 001, p < .001 และ p < .001 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: แนวคิด สบช. โมเดล สามารถนำมาใช้ในการคัดกรอง ป้องกัน และควบคุมความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: บุคลากรด้านสุขภาพสามารถนำแนวคิด สบช. โมเดล ไปประยุกต์ใช้ในการคัดกรองความรุนแรงของโรคอื่น ๆ ในชุมชน เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะเครียด และภาวะเมทาบอลิกซินโดรม</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270318
ผลของการใช้สื่อการ์ตูนแอนิเมชันภาษาม้ง เรื่อง โรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก ต่อความรู้ของผู้ปกครองที่ดูแลเด็กชนเผ่าม้งที่อายุต่ำกว่า 5 ปี โรคไข้หวัดใหญ่ โรงพยาบาลเชียงคำ จังหวัดพะเยา
2024-08-02T16:00:43+07:00
อาภัสรา หอมนาน
namonabun@gmail.Com
วิสิฏฐ์ศรี เพ็งนุ่ม
wisitsri@bcnb.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ที่พบมากในกลุ่มชนเผ่าม้ง อายุ 0 - 5 ปี การเตรียมผู้ปกครองที่มีข้อจำกัดในการสื่อสารภาษาไทยให้มีความรู้ และความพร้อมในการดูแลเด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อ 1) เปรียบเทียบคะแนนความรู้ของผู้ปกครองเด็กชนเผ่าม้ง ที่ดูแลเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ก่อนและหลังใช้สื่อการ์ตูนแอนิเมชัน และ 2) ระดับความพึงพอใจของผู้ปกครองหลังใช้สื่อการ์ตูนแอนิเมชัน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>วิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังใช้สื่อการ์ตูนแอนิเมชัน (ภาษาม้ง) เรื่อง โรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก และศึกษาความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองเด็กชนเผ่าม้ง จำนวน 25 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ตามเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) สื่อการ์ตูนแอนิเมชันภาษาม้ง เรื่อง โรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก 2) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังใช้สื่อการ์ตูนแอนิเมชันภาษาม้ง และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Paired t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ในเด็กหลังใช้สื่อการ์ตูนแอนิเมชัน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t - 7.129(24), p < .001) และความพึงพอใจในสื่อการ์ตูนแอนิเมชัน อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.51, SD = .68)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>สื่อการ์ตูนแอนิเมชันภาษาม้ง สามารถเพิ่มความรู้แก่กลุ่มตัวอย่างได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรนำสื่อการ์ตูนแอนิเมชันไปใช้ในการให้ความรู้กับผู้ปกครองชนเผ่าม้ง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถป้องกันการเกิดโรค ลดอัตราการป่วย และภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ในเด็กได้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270321
การพัฒนารูปแบบการดูแลปัญหาด้านสุขภาพจิตแบบบูรณาการ สำหรับทหารผู้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
2024-07-31T15:46:44+07:00
สรินทร เชี่ยวโสธร
sarintorn_c@rtanc.ac.th
ญาดา นุ้ยเลิศ
Yada_b@rtanc.ac.th
รวีวรรณ อินจุ้ย
Raveewon_i@rtanc.ac.th
จิราภา ศรีรัตน์
jirapa_s@rtanc.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> สถานการณ์รุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของทหารผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นอย่างมาก จำเป็นต้องมีโครงการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: 1.เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลปัญหาด้านสุขภาพจิตแบบบูรณาการสำหรับทหารผู้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยและพัฒนา ดำเนินการ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพพึงประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพจิต สัมภาษณ์เชิงลึก และสนทนากลุ่ม 2. ร่างรูปแบบ ออกแบบแอปพลิเคชัน และคู่มือการใช้แอปพลิเคชัน 3. ตรวจสอบความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน 4. ปรับปรุงรูปแบบ 5. ทดลองใช้รูปแบบ 6. ปรับปรุงรูปแบบ ใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบคัดกรองสุขภาพจิต แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง ด้านสุขภาพจิต และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการทดสอบ t - tests.</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: รูปแบบการดูแลปัญหาด้านสุขภาพจิตแบบบูรณาการสำหรับทหารผู้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พัฒนาขึ้น โดยการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน (ต้นแบบ) มีองค์ประกอบดังนี้ การลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ การคัดกรองสุขภาพจิต การประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านสุขภาพจิต บทเรียน E - learning และแบบประเมินความพึงพอใจ พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนการคัดกรองสุขภาพจิตหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านสุขภาพจิตทั้งรายด้านและรายรวมหลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม และคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านสุขภาพจิตทั้งรายด้านและรายรวมก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คะแนนความพึงพอใจของกลุ่มทดลองหลังใช้รูปแบบอยู่ในระดับดีมาก</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การใช้รูปแบบการดูแลปัญหาด้านสุขภาพจิตแบบบูรณาการมีผลทำให้ทหารผู้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีสุขภาพจิตดีและมีพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านสุขภาพจิตดีขึ้น</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรจัดการฝึกอบรมการนำรูปแบบการดูแลปัญหาด้านสุขภาพจิตแบบบูรณาการไปใช้ให้แก่ผู้ทำหน้าที่ดูแลกำลังพล ผู้บังคับบัญชา ครูฝึกทหาร และกำลังพลให้สามารถนำรูปแบบไปใช้ได้ตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ระยะก่อน ระหว่าง และภายหลังการปฏิบัติงานได้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270374
ผลการใช้แนวทางปฏิบัติการรับผู้ป่วยผ่านระบบนัดออนไลน์ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลเครือข่ายโรงพยาบาลเชียงคำ จังหวัดพะเยา
2024-05-21T13:50:11+07:00
กานต์พิชชา จันธิมา
nummon5626@gmail.com
กฤตพัทธ์ ฝึกฝน
krittapat.f@bcnpy.ac.th
ธีระวรรณ์ ศรีสุวรรณ
eboola.3107@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>แนวทางปฏิบัติการรับผู้ป่วยผ่านระบบนัดออนไลน์ เป็นนวัตกรรมทางสุขภาพที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อเข้าถึงการตรวจรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญเร็วขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลการใช้แนวทางปฏิบัติ การรับผู้ป่วยผ่านระบบนัดออนไลน์ ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลเครือข่ายโรงพยาบาลเชียงคำ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยกึ่งทดลองชนิด 2 กลุ่ม เปรียบเทียบก่อนและหลัง การใช้แนวทางปฏิบัติ การรับผู้ป่วยผ่านระบบนัดออนไลน์ผู้ป่วยนอก กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษา ที่โรงพยาบาลเชียงคำจังหวัดพะเยา จำนวน 670 คน แบ่งเป็นกลุ่มละ 335 คน และทีมสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 65 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แนวทางปฏิบัติการรับผู้ป่วยผ่านระบบนัดออนไลน์ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจของทีมสุขภาพ และผู้ป่วย มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 แบบประเมินความพึงพอใจ มีค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคแอลฟา เท่ากับ .89 และ .86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติไคว์สแควร์ การทดสอบของฟิชเชอร์ และสถิติทดสอบแมน - วิทนีย์ ยู</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>หลังใช้แนวทางปฏิบัติ จำนวนร้อยละของผู้ป่วยที่ได้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาในครั้งแรกเพิ่มขึ้น (= 219.535) อัตราการคัดกรองเพื่อจำแนกผู้ป่วยเพิ่มขึ้น (= 601.671) ระยะเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญลดลง (z = -3.118) และระยะเวลาเฉลี่ยในการได้รับการทำหัตถการที่จำเป็นสั้นลง (z = -3.891) จากก่อนการใช้แนวทางปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และความพึงพอใจของทีมสุขภาพ (M = 4.38,SD = .61) และผู้ป่วย (M = 4.38, SD = .60) อยู่ในระดับมาก</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>แนวทางปฏิบัติ ฯ ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ลดเวลารอคอย มีการคัดกรองความรุนแรง ให้ผู้ป่วยได้รับหัตถการที่จำเป็น ทีมสุขภาพและผู้ป่วยพึงพอใจ </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรนำแนวทางปฏิบัติการรับผู้ป่วยผ่านระบบนัดออนไลน์ ไปใช้ให้ครอบคลุมการส่งต่อผู้ป่วยนอกทุกกลุ่มโรค </p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/271496
การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง
2024-08-01T11:00:52+07:00
ทศพร ทองย้อย
ben_nu41@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังมีโอกาสที่แผลจะติดเชื้อหลังการผ่าตัดและมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวางแผนจำหน่ายที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการดูแลตนเอง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนาโดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1) พยาบาลวิชาชีพจำนวน 8 คน และ 2) ผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลังแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 25 คน รวม 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แนวคำถามการสนทนากลุ่ม 2) รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Independent t - test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> รูปแบบการวางแผนจำหน่ายประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยและผู้ดูแล การวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผนจำหน่าย การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผลการพยาบาล หลังการพัฒนารูปแบบพบว่าผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง มีพฤติกรรมการดูแลตนเองและความพึงพอใจสูงกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการวางแผนจำหน่ายตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และไม่มีผู้ป่วยกลับมารักษาซ้ำในโรงพยาบาล</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลังสามารถช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองและความพึงพอใจของผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง และยังช่วยลดการมารักษาซ้ำในโรงพยาบาล</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้องโดยจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีปัญหาและความต้องการเฉพาะ ที่อาจแตกต่างจากผู้ป่วยรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270005
ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
2024-06-10T11:32:10+07:00
นิสา สำเภาเงิน
samphaongoennisa@gmai.com
พนารัตน์ เจนจบ
panarat0923@gmail.com
นฤมล เอกธรรมสุทธิ์
narumon.naja@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ติดเชื้อในกระแสเลือดที่มีมาตรฐาน จะเป็นแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน พัฒนาแนวปฏิบัติ วิเคราะห์ทบทวนแนวทางการดูแลผู้ป่วย ค้นหาปัญหาและอุปสรรค และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ 2) การปฏิบัติการพัฒนาแนวปฏิบัติ และนำไปใช้กับผู้ป่วยตามแผน 3) การติดตามผลการปฏิบัติ สังเกตและติดตามผลลัพธ์ และ 4) การสะท้อนคิด คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จากผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยมีภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตที่เข้ารับการรักษาที่แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลกงไกรลาศ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเปรียบเทียบและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน และพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ฯ แบบบันทึกการดูแลรักษาผู้ป่วย และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ฯ วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปอร์เซ็นต์ความแตกต่าง</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>แนวปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ประกอบด้วย 1) การคัดกรองผู้ป่วย (Triage) 2) การพยาบาลภาวะฉุกเฉิน 3) การประสานเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และผลจากการใช้แนวปฏิบัติ ฯ อัตราการตายลดลง ร้อยละ 60 ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในกระแสเลือดลดลง ร้อยละ 71.48 <br />อัตราการส่งต่อภายหลัง Admit 1 ชั่วโมงแรกลดลง ร้อยละ 21.43 และพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจต่อแนวปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (M = 4.64, SD = .49)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong>แนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในแผนกฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลลัพธ์การศึกษา และเพิ่มความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong>แนวปฏิบัติมีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางประยุกต์ใช้ในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลอื่นต่อไป</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268868
การทบทวนขอบเขตงานวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการดูแลทารกแรกเกิด ที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูงจากภาวะสูดสำลักขี้เทา
2024-08-09T11:02:14+07:00
สุชีวา วิชัยกุล
susheewa@bcnnv.ac.th
ทัศนีย์ ใจภักดี
ozone4968@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะความดันเลือดในปอดสูงในทารกแรกเกิด (Persistent pulmonary hypertension of the newborn; PPHN) เป็นภาวะวิกฤติในทารกแรกเกิดที่มีผลต่อการที่ร่างกายขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง เลือดเป็นกรดเกิดภาวะหายใจลำบากและทำให้ทารกเสียชีวิตได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อทบทวนขอบเขตงานวิจัยเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติการคลินิกที่มีอยู่เพื่อระบุข้อแนะนำที่ครอบคลุมสำหรับการดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันปอดสูงจากภาวะสูดสำลักน้ำคร่ำ </p> <p><strong>ระเบียบการวิจัย:</strong> ศึกษาทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบมีขอบเขต (Scoping Review) ภายใต้ขอบเขตคำสำคัญ เช่น ปัจจัยสาเหตุ การรักษา การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะสูดสำลักขี้เทาและภาวะความดันเลือดในปอดสูง และภายใต้เกณฑ์การคัดเข้าที่มีการเผยแพร่ไม่เกิน 10 ปี และมีการนำไปอ้างอิงใช้อย่างเป็นสากล โดยใช้แบบประเมิน<br />การคัดเข้าของ The Joanna Briggs Institute</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบการศึกษาที่ผ่านเกณฑ์การคัดเข้า 64 เรื่อง คงงานวิจัยที่เกี่ยวกับปัจจัยสาเหตุจำนวน 13 เรื่อง มาตรฐานการรักษา 4 เรื่อง การพยาบาลและแนวปฏิบัติ 12 เรื่อง พบการศึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานการดูแลทารกที่มีภาวะความดันเลือดปอดสูง 2 เรื่อง ไม่พบแนวทางการพยาบาลทารกที่มีภาวะความดันเลือดปอดสูงที่เกิดจากภาวะสูดสำลักขี้เทา</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> ปัจจัยที่มีความเสี่ยงเกิดจากภาวะสูดสำลักขี้เทาสูงที่สุด การรักษาจะเน้นการดูแลขยายหลอดเลือดปอดและรักษาประคับประคองป้องกันภาวะหายใจล้มเหลว และภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ ความดันต่ำ การดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูงจากการสูดสำลักขี้เทา จะมุ่งเน้นดังนี้คือ 1) ประเมินภาวะหายใจลำบากหลังคลอด 2) ป้องกันระบบหายใจล้มเหลว 3) ป้องกันระบบไหลเวียนล้มเหลว 4) ป้องกันการติดเชื้อ 5) ป้องกันภาวะไม่สมดุลของสารน้ำสารอาหาร และเกลือแร่ในร่างกาย 6) ป้องกันภาวะอุณหภูมิกายต่ำ โดยเฉพาะทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือคลอดก่อนกำหนด 7) ลดความเครียดความเจ็บปวดจากทำหัตถการ และ 8) ส่งเสริมการเจริญเติบโตและลดความเครียดให้กับครอบครัว</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรพัฒนาต่อยอดเป็นมาตรฐานการพยาบาลในทารกที่มีภาวะความดันในเลือดสูงจากภาวะสูดสำลักขี้เทา</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/268264
การจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี: สภาพปัญหา ปัจจัยเชิงสาเหตุ และแนวทางการแก้ไข
2024-05-21T10:28:10+07:00
ลวิตรา ก๋าวี
lawitra.k@ku.th
ภูเบศร์ นภัทรพิทยาธร
fedupbn@ku.ac.th
จักรกฤษณ์ พลราชม
Chakkrit.pon@ku.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในสังคมไทยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกจากจะส่งผลถึงความบาดเจ็บทางด้านร่างกาย จิตใจ และอาจจะถึงแก่ชีวิตของเด็กแล้ว ยังมีผลต่อคุณภาพชีวิตของครอบครัว การเข้าใจถึงสภาพปัญหา ปัจจัยเชิงสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขปัญหา สามารถทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อนำเสนอสภาพปัญหา ปัจจัยเชิงสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขปัญหาการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยสังเคราะห์จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่</p> <p><strong>ประเด็นสำคัญ</strong><strong>:</strong> ปัญหาการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในสังคมไทยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแหล่งน้ำภายในหรือบริเวณรอบ ๆ ที่พักอาศัย โดยปัจจัยเชิงสาเหตุที่สำคัญ คือ พฤติกรรมการป้องกันการจมน้ำในเด็กของผู้ดูแลเด็กในเรื่องการดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด และการจัดการสิ่งแวดล้อมบริเวณที่พักอาศัย โดยปัจจัยเชิงสาเหตุของการมีพฤติกรรมมาจากปัจจัยเชิงสาเหตุภายในตัวบุคคลของผู้ดูแลเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับแบบแผนความเชื่อทางด้านสุขภาพ และการแก้ไขปัญหาควรดำเนินการให้ผู้ดูแลเด็ก มีพฤติกรรมการป้องกันการจมน้ำในเด็กที่พึงประสงค์ ด้วยการใช้กลวิธีที่หลากหลาย และบูรณาการเข้ากับกิจกรรมของหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การแก้ไขปัญหาการจมน้ำในเด็กโดยการเสริมสร้างพฤติกรรมการป้องกันการจมน้ำในเด็กของผู้ดูแลเด็กเป็นส่วนสำคัญที่ควรดำเนินการ ซึ่งบุคลากรสาธารณสุขในสถานบริการสาธารณสุขในระดับปฐมภูมิเป็นบุคลากรที่สำคัญที่จะสามารถแก้ไข ป้องกันปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> แนวทางที่นำเสนอสามารถนำไปพัฒนาแนวทางในการดำเนินการหรือการศึกษาวิจัยด้วยการดำเนินการโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์สูง</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270503
กลยุทธ์การสอนโดยใช้ฟอรัมเธียเตอร์ในการศึกษาทางการพยาบาล
2024-04-18T10:11:38+07:00
รัตติกร เมืองนาง
noko24psy@bcnu.ac.th
สุมัทณา แก้วมา
sumuttana.k@bcnu.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การจัดการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาพยาบาลโดยใช้สถานการณ์จำลองส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดการพัฒนาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์การปฏิบัติการพยาบาลก่อนการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์จริง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อนำเสนอการทบทวนแนวคิดและกลยุทธ์การจัดการเรียนการสอนด้วยฟอรัมเธียเตอร์ทางการศึกษาทางการพยาบาล</p> <p><strong>ประเด็นสำคัญ</strong><strong>: </strong>แนวคิดทฤษฎีพื้นฐานการเรียนรู้ที่เกี่ยวของกับฟอรัมเธียเตอร์ กลยุทธ์ที่สำคัญของฟอรัมเธียเตอร์ ขั้นตอนในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ฟอรัมเธียเตอร์ บทบาทของผู้สอนในการสนับสนุนการเรียนรู้ฟอรัมเธียเตอร์ และตัวอย่างการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ฟอรัมเธียเตอร์ในการศึกษาทางการพยาบาล</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>กลยุทธ์การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ฟอรัมเธียเตอร์เป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติการเรียนรู้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตร โดยผู้สอนทำหน้าที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การจัดการเรียนการสอนฟอรัมเธียเตอร์สามารถทำได้ทั้งในห้องเรียน และการเรียนการสอนทางไกล และนำไปปรับใช้กับการพยาบาลในทุกสาขาในหลากหลายประเด็น</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล (วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ)