วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal <h3 style="text-align: center; color: #3399ff;"><strong>"รับ</strong><strong>บทความภาษาอังกฤษ</strong><strong>ทั้งในและต่างประเทศ"</strong></h3> <div> </div> <div style="text-align: justify;"> วารสารสถาบันบำราศนราดรู มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานด้านสาธารณสุข ได้แก่ การป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ ระบาดวิทยา การสอบสวนโรค อนามัยสิ่งแวดล้อม การแพทย์ การพยาบาล การพัฒนาคุณภาพงาน การตรวจพิเศษ และห้องปฏิบัติการยุทธศาสตร์และนโยบายทางสาธารณสุข การประเมินผลโครงการ การพัฒนาประเมินหลักสูตร เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และอื่นๆที่เกี่ยวข้องในรูปแบบบทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานผู้ป่วย กรณีศึกษา รายงานผลการวิจัย ผลการปฏิบัติงาน นวัตกรรมใหม่ การทบทวนวรรณกรรม สาระน่ารู้หรือการแปลเอกสารวารสารที่สามารถนำมาเป็นแนวทางหรือความรู้แก่ผู้อ่าน เช่น ผลการวิจัยใหม่ ๆ ที่พบในวารสารต่างประเทศ โดยเรื่องที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรือกำลังรอพิมพ์ในวารสารอื่น ทั้งนี้ผลงานวิจัยและบทความทุกเรื่องจะต้องผ่านคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่านพิจารณาบทความโดยวิธี double blinded ก่อนการลงพิมพ์ และคณะบรรณาธิการตรวจทานแก้ไขเรื่องต้นฉบับและพิจารณาตีพิมพ์ตามลำดับ และมีการตีพิมพ์เป็นภาษาไทย</div> <div> </div> <h3 style="text-align: center;">รายชื่อบรรณาธิการอดีต - ปัจจุบัน </h3> <div style="text-align: justify;"> 1. แพทย์หญิงศิริวรรณ สิริกวิน พ.ศ.2550 - 2550</div> <div style="text-align: justify;"> 2. นายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ พ.ศ.2551- 2560</div> <div style="text-align: justify;"> 3. แพทย์หญิงวรรณรัตน์ พงศ์พิรุฬห์ พ.ศ.2561- ปัจจุบัน</div> th-TH bidijournal@gmail.com (แพทย์หญิงวรรณรัตน์ พงศ์พิรุฬห์) bidijournal@gmaill.com (น.ส.มณทิรา ท้าวเขื่อน) Thu, 28 Aug 2025 10:16:01 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยฝีดาษวานรที่กักตัวที่บ้านผ่านระบบทางไกลแบบสหวิชาชีพ: สถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/278892 <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยฝีดาษวานรที่แยกกักตัวที่บ้านผ่านระบบการดูแลทางไกลแบบสหวิชาชีพ ดำเนินการตามกรอบแนวคิดของ Soukup (2000) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ป่วยฝีดาษวานร จำนวน 45 ราย เป็นกลุ่มทดลอง 23 ราย และกลุ่มควบคุม 22 ราย และทีมสหวิชาชีพ 15 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แนวปฏิบัติการพยาบาล โปรแกรมแอปพลิเคชันการดูแลทางไกล และแผนการอบรมบุคลากร ได้รับการประเมินคุณภาพด้วยเครื่องมือ AGREE II ได้ค่าภาพรวมร้อยละ 89.70 และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความปลอดภัยของผู้ป่วย แบบประเมินการเข้าถึงบริการสุขภาพ แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่าเท่ากับ .90, .98, .92 และ .98 ตามลำดับ และทดสอบความเชื่อมั่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค กลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มทีมสหวิชาชีพ เท่ากับ .82 และ .81 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติไคสแควร์ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวปฏิบัติการพยาบาล มีผลการประเมินคุณภาพด้วย AGREE II ร้อยละ 89.70 2) การนำแนวปฏิบัติไปใช้กลุ่มทดลองมีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> = 0.021) 3) กลุ่มทดลองมีการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีระยะเวลาในการตอบสนองที่รวดเร็วกว่ากลุ่มควบคุม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =15.3 , 45.6 นาที, <em>p</em> &lt; 0.001) 4) กลุ่มทดลองมีความพึงพอใจสูงกว่ากลุ่มควบคุมในทุกด้าน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =4.71, 3.70, <em>p</em> &lt; 0.001) และ 5) ทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจต่อการใช้แนวปฏิบัติในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.60) <br /> แนวปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการดูแลผู้ป่วยฝีดาษวานรที่แยกกักตัวที่บ้าน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อื่นๆ ที่ต้องแยกกักตัวที่บ้านได้</p> กรุณา ลิ้มเจริญ, ปิยะวดี สุมาลัย; รัตนาภรณ์ สุระพันธุ์ , ชาญชัย อาจสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/278892 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพและระบบการตรวจวิเคราะห์ Complete Blood Count และ Urine analysis งานโลหิตวิทยาและจุลทรรศนศาสตร์ สถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/275753 <p> การพัฒนาระบบควบคุมคุณภาพในห้องปฏิบัติการมีความสำคัญต่อความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของผลการตรวจวิเคราะห์ งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพการตรวจ Complete Blood Count (CBC) และ Urine Analysis เพื่อรองรับระบบรายงานผลอัตโนมัติ (Auto Verification) ด้วยข้อมูล IQC และ EQA ระหว่างเดือนมกราคม 2567 ถึงเมษายน 2568 ผลประเมินเครื่องตรวจ Complete Blood Count ยี่ห้อ Mindray รุ่น BC-6200 จำนวน 14 รายการ ได้แก่ WBC, Hb, PLT, RBC, MCV, NEU, LYM, MON, EOS, BAS, HCT, MCH, MCHC และ RDW-CV พบค่า %CV เฉลี่ยลดลงจากช่วง 0.84–6.89 เหลือ 0.64–6.19 และค่า SDI เฉลี่ยลดลงจากช่วง -0.81–1.63 เหลือ -0.61–1.35 โดยทุกรายการมีค่า %Bias ไม่เกินค่า TEa ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เมื่อประเมินความสามารถการตรวจวิเคราะห์ด้วย Sigma Metric ใน 5 รายการ พบว่ามีประสิทธิภาพระดับดีเยี่ยม (Sigma ≥ 6) 3 รายการ ได้แก่ WBC, Hb และ PLT และในระดับดีมาก (Sigma ≥ 5) 2 รายการ ได้แก่ RBC และ MCV โดยเมื่อนำค่าไปทำ OPSpecs Chart พบว่าสามารถใช้ Westgard Rule ด้วยกฏ 1<sub>3s</sub> สำหรับ WBC, Hb, และ PLT และกฎ 1<sub>3s</sub>, 2of2s และR<sub>4s</sub> สำหรับค่า RBC และ MCV เมื่อนำกฎที่ได้มาใช้จริงในการควบคุมคุณภาพ พบว่าสามารถตรวจวิเคราะห์ได้ในระดับดีเยี่ยม (Sigma ≥ 6) ทั้ง 5 รายการ และสามารถใช้กฎ 1<sub>3s</sub> กฎเดียวในการควบคุมคุณภาพได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสอดคล้องกับผลประเมิน EQA ที่มีค่า Z-score ลดลงอย่างต่อเนื่อง<br />สำหรับการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (Urine Analysis) โดยเครื่อง LabMate2 จำนวน 10 รายการ ได้แก่ Specific gravity, pH, Leukocyte, Nitrite, Protein, Glucose, Ketone, Bilirubin, Urobilinogen, Blood และเครื่อง Urised2 จำนวน 2 รายการ WBC, RBC และSquamous epithelial cell พบว่ามีค่าเฉลี่ยของผลที่สอดคล้องกับค่าเป้าหมายจาก IQC เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 80.9 เป็น 95.4 และจากข้อมูล EQA เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 99.8 เป็น 100 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม <br /> ผลการศึกษานี้ได้นำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการพัฒนากฎ (Rules) และระบบตรวจสอบข้อมูล ส่งผลให้ลดระยะเวลาการรายงาน ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองผลผิดปกติโดยผู้เชี่ยวชาญได้ดี</p> ธฐมน ตาทอง; คณิตา ทิพย์หมัด, จิรายุ ก้องเกียรติวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/275753 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ของอาการโควิดระยะยาว หลังการติดเชื้อ SARS-CoV-2 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/276006 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการโควิดระยะยาวหลังการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในผู้ป่วยชาวไทยระหว่างเดือนกันยายน 2564 ถึงกันยายน 2565 โดยใช้แบบสอบถามที่ดัดแปลงจาก Global COVID-19 Clinical Platform Case Report Form for Post COVID condition (Post COVID-19 CRF) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวและอาการหลังติดเชื้อจากผู้ป่วย 351 รายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาแล้ว 4-12 สัปดาห์ 187 ราย และผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาแล้ว 12 สัปดาห์ขึ้นไป 164 ราย ซึ่งผลการศึกษาพบความชุกของเกิดอาการโควิดระยะยาวอย่างน้อย 1 อาการในระยะ 4-12 สัปดาห์ และ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ร้อยละ 75.94 และ 82.92 ตามลำดับ โดยอาการที่พบมากที่สุดคือ อ่อนเพลีย หลงลืม นอนไม่หลับ และไอแห้งเรื้อรัง เมื่อวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกพบว่าเพศหญิงมีโอกาสพบอาการโควิดระยะยาว ความยากลำบากในการทำกิจกรรม และความสามารถในการดูแลตนเองหลังการติดเชื้อที่แย่ลง มากกว่าเพศชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em>&lt; 0.05) อย่างไรก็ตามแม้ไม่ได้พบความผิดปกติที่รุนแรงหรือฉับพลัน อาการโควิดระยะยาวอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว จึงควรมีการคัดกรองและติดตามอาการต่อเนื่อง ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบการวิจัยในอนาคตที่มีขนาด ตัวอย่างและความหลากหลายมากขึ้น</p> ชเรนทร์ธร พงษ์ธนู, สิริวัฒน์ บัวเรือง, เพิ่มเพ็ญ น้อยตุ่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/276006 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกันโรคหอบหืดสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน ที่มีมลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน กรุงเทพมหานคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/278440 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมป้องกันโรคหอบหืดสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนที่มีมลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่พักอาศัยในจังหวัดกรุงเทพมหานคร มีมลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน ซึ่งถูกสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 60 คน กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมป้องกันโรคหอบหืดสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน ที่มีมลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน โดยประยุกต์แบบจำลองนิเวศวิทยา ระยะเวลา 12 สัปดาห์ 2) แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมในการป้องกันโรคหอบหืดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน 3) เครื่องวัดสมรรถภาพปอดแบบ Peak flow expiratory 4) เครื่องวัดคุณภาพอากาศระบบเลเซอร์ เพื่อวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าสัดส่วนและสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้พฤติกรรมการป้องกันโรคหอบหืดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน และค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอนในที่พักดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ดังนั้นจึงควรส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงในชุมชนโดยการให้ความรู้ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ วิธีการบริหารปอดแบบ Blow &amp; Balloon exercise และติดตามเฝ้าระวังมลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน</p> เพลงสุวรรณ ศรีธีรธรรม, สุทธีพร มูลศาสตร์, ดิชพงศ์ กาญจนวาสี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/278440 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันสุขภาพต่อดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอว ในนักศึกษาพยาบาลที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/276914 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบ 2 กลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง (Two-group pre-post test design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันสุขภาพในนักศึกษาพยาบาลที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน โดยกลุ่มตัวอย่างเลือกจากอาสาสมัครจำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 20 คน โดยเข้าโปรแกรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากโมเดลปฏิสัมพันธ์ของพฤติกรรมสุขภาพของผู้ใช้บริการ (Cox’s interaction model of client health behavior) ร่วมกับการใช้แอปพลิเคชัน ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย ส่วนกลุ่มควบคุมจำนวน 20 คน ได้รับคู่มือลดน้ำหนักที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ใช้ระยะเวลา 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ ประเมินน้ำหนักและเส้นรอบเอว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือสถิติ Independent t-test, Paired t-test, Wilcoxon signed-rank test และสติถิ Mann-Whitney U test. <br /> ผลการวิจัย พบว่า เมื่อสิ้นสุดโปรแกรมกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมและรายด้านสูงกว่าก่อนเข้าโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>=.001, <em>p</em>=.000) ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกายที่เปลี่ยนแปลงในกลุ่มทดลองลดลง 1.48 กิโลกรัม/ตารางเมตร ขณะที่กลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้น 0.25 กิโลกรัม/ตารางเมตร (<em>p</em>=.000, <em>p</em>=.001) เช่นเดียวกับค่าเฉลี่ยเส้นรอบเอวที่เปลี่ยนแปลงในกลุ่มทดลองลดลง 1.57 เซนติเมตร ขณะที่กลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้น 0.15 เซนติเมตร (<em>p</em>=.001, <em>p</em>=.001) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของโปรแกรมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อนำไปสู่ดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวลดลง<br /> </p> หนึ่งฤทัย เพชรมีดี, อำภาพร นามวงศ์พรหม, มนพร ชาติชำนิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/276914 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับรายการตรวจสุขภาพ และผลผิดปกติที่พบจากการตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/272001 <p> การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นกระบวนส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่มีนโยบายสนับสนุนทั่วโลก เพื่อคัดกรองสุขภาพก่อนเกิดโรค ปัจจุบันมีรายการตรวจที่หลากหลายและมีชุดรายการตรวจที่แตกต่างกันไป ผู้วิจัยทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเพื่อระบุรายการตรวจสุขภาพและผลผิดปกติที่พบจากการตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปี โดยสืบค้นจากฐานข้อมูล PubMed และ Embase และคัดเลือกงานวิจัยเชิงสังเกตที่ศึกษาในประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จากงานวิจัย 28,558 ฉบับ มี 266 ฉบับที่ผ่านเกณฑ์ ตีพิมพ์ในช่วงปี 1996-2022 ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย (87.6%) อายุเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 18-59.9 ปี พบรายการตรวจสุขภาพทั้งสิ้น 44 รายการ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ การตรวจร่างกายพื้นฐาน, การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ รายการที่ใช้มากที่สุด คือ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) ร้อยละ 37.22 (99 งานวิจัย), การตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ช่องท้อง ร้อยละ 36.09 (96 งานวิจัย) และการตรวจวัดความดันโลหิต ร้อยละ 31.20 (83 งานวิจัย) พบผลผิดปกติจากการตรวจสุขภาพทั้งหมด 75 รายการ โดยผลปกติที่พบมากที่สุดคือ ภาวะไขมันในเลือดสูงทั้งคลอเลสเตอรอล ไตรกรีเซอไรด์ และไขมันร้าย รวมถึงไขมันดีต่ำ ร้อยละ 31, 24, 34 และ 22 ตามลำดับ และความดันโลหิตสูง ร้อยละ 27 ผลผิดปกติที่พบน้อย (&lt; ร้อยละ 5) คือ ความผิดปกติของค่าการทำงานของตับชนิด ALP และผลผิดปกติในปัสสาวะ นอกจากนี้บางรายการตรวจที่มีโอกาสพบผลผิดปกติต่ำ อาจมีประโยชน์ในการตรวจสุขภาพ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าความชุกของโรคสูงขึ้น เช่น การตรวจค่าการทำงานของไต, ระดับกรดยูริกในเลือด, การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร การศึกษานี้จะช่วยพัฒนาชุดรายการตรวจสุขภาพ นอกจากรายการตรวจสุขภาพพื้นฐาน อาจพิจารณาเพิ่มรายการตรวจสุขภาพทางเลือก เพื่อให้การตรวจสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต</p> ศรัณยา ทองแสวง, จิดาภา หาญวรวงศ์ชัย , นภัสสร เทวรัณย์, ปิยวัฒน์ คันธโกวิท, ธนวินท์ นพโสภณ , กฤษณ์ พงศ์พิรุฬห์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันบำราศนราดูร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bamrasjournal/article/view/272001 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700