วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM <p>ด้วยคลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำวารสารการแพทย์แผนจีน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาวิชาการทางการแพทย์แผนจีน ให้แพทย์แผนจีนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพิ่มพูนความรู้ เผยแพร่บทความวิชาการ เพื่อจะได้พัฒนายกระดับวารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยให้ได้มาตรฐานสากล ได้รับความร่วมมือกับเครือข่ายหน่วยงานในประเทศไทยและประเทศจีนสนับสนุนให้เกิดการจัดทำวารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยนี้ขึ้น</p> 华侨中医院 th-TH วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2822-0145 ภาพรวมเทคนิคการฝังเข็มจุดพิเศษของตระกูลต่งและการประยุกต์ใช้ในทางคลินิก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/276057 หลิน ยู่วเซิง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 141 148 ความก้าวหน้าด้านงานวิจัยทางคลินิกและกลไกการเกิดโรคในการรักษาภาวะรังไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควรด้วยการฝังเข็ม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/274639 <p class="426-5-66">ด้วยความก้าวหน้าทางสังคมและความเครียดในชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น อัตราการเกิดภาวะรังไข่ล้มเหลวก่อนวัย (premature ovarian failure, POF) ในผู้หญิงวัยหนุ่มสาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของผู้หญิง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องค้นหาวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บทความนี้ได้ทำการสรุปและวิเคราะห์สาเหตุกลไกการเกิดโรค รวมถึงการรักษา POF ด้วยการฝังเข็มและการฝังเข็มร่วมกับการรับประทานยาจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการฝังเข็มสามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของรังไข่ เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดอาการได้ อย่างไรก็ตามการวิจัยทางคลินิกยังมีจำกัด และยังคงต้องการแนวทางการรักษาใหม่ๆ ในอนาคต</p> วรนิพิฎ วิชพันธุ์ เป้า ชุนหลิง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 71 78 การรักษาและบรรเทาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูด้วยการฝังเข็มกระตุ้นกล้ามเนื้อต้าน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/275351 <p class="426-5-66"><span lang="TH">ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง (</span><span lang="EN-GB">spasticity</span><span lang="TH">) เป็นปัญหาสำคัญในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอาจนำไปสู่ความพิการได้ การฝังเข็มกระตุ้นกล้ามเนื้อต้าน (</span><span lang="EN-GB">electroacupuncture on antagonist muscles</span><span lang="TH">) ถูกพัฒนาขึ้นโดยผสมผสานทฤษฎีการฝังเข็มแบบดั้งเดิม เข้ากับความรู้ด้านกายภาพบำบัดและกายวิภาคศาสตร์ ในรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสมดุลของอินและหยาง กับความตึงตัวของคู่กล้ามเนื้องอและกล้ามเนื้อเหยียด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับสมดุลความตึงตัวและการทำงานระหว่างคู่กล้ามเนื้อ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเกร็งและนำไปสู่ภาวะความสมดุลอินและหยาง ปัจจุบันการฝังเข็มกระตุ้น<span style="letter-spacing: -.2pt;">กล้ามเนื้อต้านถูกนำมาใช้ในทางคลินิกมากขึ้น และมีงานวิจัยทางคลินิกสนับสนุนประสิทธิผลการรักษาเป็นจำนวนมาก บทความวิชาการนี</span>้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาข้อมูลประสิทธิผลและแนวทางการรักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองด้วยการฝังเข็มกระตุ้นกล้ามเนื้อต้าน โดยทบทวนวรรณกรรม (</span><span lang="EN-GB">literature review</span><span lang="TH">) สืบค้นข้อมูลจากหนังสือ บทความวิชาการ บทความวิจัยและฐานข้อมูล<span style="letter-spacing: -.1pt;">ออนไลน์ ได้แก่</span></span><span lang="EN-GB" style="letter-spacing: -.1pt;"> China National Knowledge Infrastructure </span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.1pt;">(</span><span lang="EN-GB" style="letter-spacing: -.1pt;">CNKI</span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.1pt;">) และฐานข้อมูลต่างประเทศ</span><span lang="EN-GB" style="letter-spacing: -.1pt;"> ScienceDirect, National</span><span lang="EN-GB"> Institutes of Health </span><span lang="TH">(</span><span lang="EN-GB">NIH</span><span lang="TH">)</span><span lang="EN-GB">, Google Scholar </span><span lang="TH">เป็นต้นซึ่งเผยแพร่ไว้ระหว่าง เดือนมกราคม พ.ศ. </span><span lang="EN-GB">2557 </span><span lang="TH">จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. </span><span lang="EN-GB">2567 </span><span lang="TH">จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า การฝังเข็มกระตุ้นกล้ามเนื้อต้านมีประสิทธิผลในการช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยมีส่วนช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อต้านส่งผลเชิงบวกต่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ลดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง และช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว ซึ่งกลุ่มที่ได้รับการฝังเข็มกระตุ้นกล้ามเนื้อต้านมีคะแนนประเมินประสิทธิผลดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><span lang="EN-GB">p&lt;0</span><span lang="TH">.</span><span lang="EN-GB">05</span><span lang="TH">) ทั้งนี้ ผลการวิจัยเชิงประจักษ์ยืนยันถึงประสิทธิผลและความปลอดภัยของการฝังเข็มกระตุ้นกล้ามเนื้อต้าน จึงนับเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง และควรค่าแก่การพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาต่อไป</span></p> วิชญา สมานชาติ พิชญุตม์ แช่มบำรุง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 79 95 ความก้าวหน้าทางการวิจัยด้านผลกระทบของสมุนไพรจีนต่อระบบทางเดินอาหารและโรคที่เกี่ยวข้อง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/276981 <p>โรคทางเดินอาหารเป็นโรคที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นบ่อยครั้งในทางคลินิก โดยมีกระบวนการทางพยาธิวิทยาที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกต่าง ๆ เช่น การอักเสบ ความเครียดออกซิเดชัน การตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิส และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การวิจัยจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่ายาจีนสามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางพยาธิวิทยาของโรคทางเดินอาหารผ่านหลายเส้นทางและหลายเป้าหมาย ทำให้เกิดผลการรักษา บทความนี้ทบทวนผลกระทบของยาจีนต่อกระบวนการทางพยาธิวิทยาต่าง ๆ เช่น การอักเสบในทางเดินอาหาร ความเครียดออกซิเดชัน การตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิส และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงความก้าวหน้าในการวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พื้นฐานทางทฤษฎีสำหรับการรักษาโรคทางเดินอาหารด้วยยาจีน การศึกษาต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่ายาจีนสามารถแทรกแซงกระบวนการทางพยาธิวิทยาของโรคทางเดินอาหารโดยการยับยั้งการปลดปล่อยสารก่อการอักเสบ ล้างสารอนุมูลอิสระ ควบคุมการตายของเซลล์ และปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาที่ดี การวิจัยในอนาคตควรอธิบายกลไกการทำงานของยาจีนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และพัฒนายาจีนใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความเป็นพิษต่ำ เพื่อเสนอกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการป้องกันและรักษาโรคทางเดินอาหาร</p> ต้นสกุล สังข์ทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 96 110 ภาวะออทิสติกกับการดูแลรักษาในมุมมองตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/277186 <p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลประสิทธิผลและทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องของแนวทางการรักษาผู้ที่มีภาวะออทิสติกด้วยวิธีการฝังเข็ม โดยคณะผู้ศึกษาได้ดำเนินการสืบค้นงานวิจัยเอกสาร โดยทบทวนวรรณกรรมจากฐานข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ ได้แก่ CNKI (China National Knowledge Infrastructure), Google Scholar และ PubMed เป็นต้น ทำการรวบรวมงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ถึงปี พ.ศ. 2567 เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะออทิสติก หรือนำไปบูรณาการกับการรักษาในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและผลลัพธ์ทางการรักษาที่ดียิ่งขึ้นในการบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีภาวะออทิสติก ผลการศึกษาพบว่า การฝังเข็มสามารถสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางด้านภาษา การสื่อสาร พฤติกรรมและอารมณ์ อีกทั้งยังสามารถช่วยเพิ่มระดับสติปัญญา ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะออทิสติกได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ การฝังเข็มสามารถบูรณาการผสมผสานกับวิธีการบำบัดรักษารูปแบบต่าง ๆ เช่น การรับประทานยาแผนปัจจุบัน การรับประทานยาสมุนไพรจีน การนวดทุยหน่า กิจกรรมบำบัด การบำบัดด้านการสื่อสาร(อรรถบำบัด) พฤติกรรมบำบัด และการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา</p> กันต์กนิษฐ์ ภู่จินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 111 119 ความก้าวหน้าทางการวิจัยด้านคลินิกและการศึกษาทดลองตำรับยาเซินเก๋อส่าน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/278492 <p>เซินเก๋อส่าน (参蛤散) เป็นตำรับยาในคัมภีร์แพทย์แผนจีนโบราณ ซึ่งบันทึกไว้ในตำราเซิ่งจี้จ่งลู่ของยุคราชวงศ์ซ่งเหนือ ตำรับยานี้ประกอบด้วยยาหลักสองชนิด คือ เหรินเซิน (人参) และเก๋อเจี๊ย (蛤蚧) โดยมีสรรพคุณในการบำรุงปอดและไต ช่วยเหนี่ยวรั้งชี่และบรรเทาอาการหอบ ใช้ในการรักษาโรคปอดเรื้อรังชนิดต่างๆ ที่มีอาการไอและหอบเป็นอาการหลัก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตำรับยาเซินเก๋อส่านได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง โดยอาศัยทฤษฎี "การรักษาหัวใจและปอดร่วมกัน (心肺同治)” บทความนี้ได้ทำการทบทวนวรรณกรรมทั้งด้านการใช้เซินเก๋อส่านในทางคลินิกและการศึกษาทดลอง เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงทางทฤษฎีสำหรับการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับเซินเก๋อส่าน และนำไปใช้เป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ทางคลินิกต่อไป</p> หวาง อีหมิง ฝาน หัว หวาง โย่วหัว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 120 130 สรรพคุณและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของขมิ้นชันในการทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีนในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/279147 <p>ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในการทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน บทความนี้ได้รวบรวมและเปรียบเทียบให้เห็นหลักการใช้ขมิ้นชันและสรรพคุณทางยาของขมิ้นชันในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อยในมุมมองของการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน รวมถึงข้อมูลการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าจากข้อมูลของงานวิจัยในทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน ได้ใช้ขมิ้นชันในการรักษาอาการอักเสบและโรคในระบบย่อยอาหาร แต่แตกต่างกันในด้านแนวคิดในการวินิจฉัยและหลักการเลือกใช้ เช่น แพทย์แผนไทยใช้หลัก 9 รส แพทย์แผนจีนใช้หลัก 12 เส้นลมปราณในการวินิจฉัยกลุ่มอาการและเลือกใช้ยา ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการบูรณาการองค์ความรู้ทั้งสองศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพ และส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องของภาคประชาชนในการใช้ขมิ้นชันอย่างถูกต้อง ก่อให้เกิดการเพิ่มพูนและพัฒนาคุณค่าทางวิชาการให้แก่บุคลากรทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีนตามมา</p> ธมลวรรณ มีเหม็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 131 140 การแพทย์แผนจีนอัจฉริยะ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/280395 สมชาย จิรพินิจวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 1 2 การแพทย์แผนจีนกับการทูตสุขภาพ: การขยายบทบาทและการยอมรับในลอสแองเจลิส https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/278157 <p style="font-weight: 400;">การแพทย์แผนจีนได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกา บทความนี้มุ่งวิเคราะห์การบูรณาการศาสตร์ดังกล่าวเข้าสู่ระบบสุขภาพสหรัฐฯ โดยใช้ลอสแองเจลิสเป็นกรณีตัวอย่าง ผ่านการวิเคราะห์เอกสารและเก็บข้อมูลภาคสนาม เพื่อสำรวจปัจจัยสนับสนุนและข้อจำกัดในการยอมรับ ผลการศึกษาพบว่าการแพทย์แผนจีนได้รับการรับรองทางกฎหมายและสถาบันสำคัญ โดยเฉพาะการฝังเข็มที่ได้รับการบรรจุในระบบ Medicare และบริการสุขภาพของกองทัพ อีกทั้งมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพในกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ ลอสแองเจลิสยังนำศาสตร์ดังกล่าวมาใช้เป็นเครื่องมือการฑูตสุขภาพ ผ่านความร่วมมือทางวิชาการกับจีน บทความนี้เสนอว่า ประเทศไทยสามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้ในการบูรณาการการแพทย์แผนจีนเข้าสู่ระบบสุขภาพ เพื่อลดปัญหาการเข้าถึงบริการ ส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพ และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจสุขภาพผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ</p> ประดับดาว ภู่สุวรรณ์ สแตนลี่ย์ กุลนันทน์ คันธิก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 3 16 การวิเคราะห์เภสัชวิทยาเครือข่ายของกลไกการฟื้นฟูโรคไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์โดยใช้ยาสมุนไพรเซียงฝู่ที่ผ่านการแปรรูปยาโดยใช้น้ำส้มสายชูเพื่อนำยาเข้าสู่ตับ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/275075 <p class="426-5-66">เพื่อศึกษาประสิทธิผลของยาสมุนไพรเซียงฝู่ที่ผ่านการแปรรูปยาโดยใช้น้ำส้มสายชูเพื่อนำยาเข้าสู่ตับ งานวิจัยนี้ได้นำวิธีการเภสัชวิทยาเครือข่าย (network pharmacology) เพื่อวิเคราะห์กลไกการออกฤทธิ์ของสมุนไพรเซียงฝู่ที่ผ่านการแปรรูปยาโดยใช้น้ำส้มสายชูในการปรับปรุงภาวะไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ผู้วิจัยได้รวบรวมวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และจากฐานข้อมูล TCMSP (traditional Chinese medicine systems pharmacology database) ได้ระบุสารออกฤทธิ์จำนวน 16 ชนิด และเป้าหมายทางชีวภาพ 471 เป้าหมาย จากนั้นใช้ฐานข้อมูล GeneCards, OMIM และ DrugBank คัดกรองยีนที่เป็นเป้าหมายสำหรับโรคไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์จำนวน 1,941 ยีน ซึ่งในจำนวนนี้พบว่ามียีนเป้าหมายที่เป็นจุดร่วมระหว่างยาและโรคจำนวน 104 ยีน พร้อมทั้งสร้างเครือข่าย “ยา-สารออกฤทธิ์-ยีนเป้าหมาย” และเครือข่ายปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีน (protein-protein interaction หรือ PPI network) โดยใช้ซอฟต์แวร์ Cytoscape รุ่น 3.10.0 การศึกษายังระบุว่าสารออกฤทธิ์หลักของยาสมุนไพรเซียงฝู่ที่ผ่านการแปรรูปยาโดยใช้น้ำส้มสายชู ซึ่งเกี่ยวข้องกับ NAFLD ได้แก่ oneysuckle alcohol, isorhamnetin, kaempferol และสารอื่นๆ เป้าหมายที่ได้จากการวิเคราะห์ถูกนำเข้าสู่ฐานข้อมูล String เพื่อวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ของโปรตีน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีน และระบุยีนเป้าหมายหลัก ได้แก่ AKT1, JUN, IL6 และ IL1B จากผลการวิเคราะห์การเพิ่มคุณสมบัติทางชีวภาพ (GO functional en-richment analysis) และเส้นทางสัญญาณ (KEGG pathway analysis) ของสมุนไพรเซียงฝู่ที่ผ่านการแปรรูปยาโดยใช้น้ำส้มสายชูในการปรับปรุงภาวะไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ มีความเกี่ยวข้องกับหลายเส้นทางเมแทบอลิซึมในตับ เช่น TNF signaling pathway, MAPK sig-naling pathway, PI3K-Akt signaling pathway และ Toll-like receptor signaling pathway การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าสมุนไพรเซียงฝู่ที่ผ่านการแปรรูปยาโดยใช้น้ำส้มสายชูอาจส่งผลต่อยีนเป้าหมายสำคัญ เช่น AKT1, JUN, IL6 และ IL1B ผ่านสารออกฤทธิ์ เช่น hon-eysuckle alcohol, isorhamnetin และ kaempferol โดยการควบคุมเส้นทางสัญญาณ TNF, MAPK, PI3K-Akt และ Toll-like receptor เพื่อช่วยปรับปรุงภาวะ NAFLD</p> หลิว เยว่หาน ชิง อิ๋ง เลี่ยว หว่าน เกา เทียนฮุ่ย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 17 28 สถานการณ์การจัดบริการและกำลังคนผู้ให้บริการการแพทย์แผนจีนในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปีพุทธศักราช 2567 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/276746 <p class="426-5-66">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลการจัดบริการและกำลังคนผู้ให้บริการการแพทย์แผนจีน การกระจายการจัดบริการและกำลังคน รวมถึงการจ้างงานกำลังคนด้านการแพทย์แผนจีน นำไปสู่การวางแผนด้านอัตรากำลังคนของตำแหน่งแพทย์แผนจีนในอนาคต โดยเป็นการศึกษาเชิงสำรวจ ใช้แบบสำรวจข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Google forms) และการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566–มกราคม 2567 โดยทำการสำรวจข้อมูลในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 978 แห่ง เป็นสถานพยาบาลส่วนกลางในสังกัดกรมต่างๆ จำนวน 75 แห่ง ส่วนภูมิภาคในเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน จำนวน 903 แห่ง ผลการศึกษาพบว่า มีการจัดบริการแพทย์แผนจีน 319 แห่ง (ร้อยละ 32.62) มีการกระจายการบริการมากที่สุดเขตสุขภาพที่ 5 และอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์มากที่สุด ส่วนสถานการณ์กำลังคนผู้ให้บริการ มีแพทย์แผนจีนจำนวน 268 คน และเป็นการจ้างงานในรูปแบบลูกจ้างเหมามากที่สุด บทสรุปจากสถานการณ์การให้บริการการแพทย์แผนจีนในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีสถานพยาบาลให้บริการเป็นจำนวนค่อนข้างน้อย ส่งผลต่อการเข้ารับบริการของประชาชนไม่ทั่วถึง รวมถึงปัญหาการจ้างงานของตำแหน่งแพทย์แผนจีนและการเติบโตของสายงานในอนาคต ส่งผลให้มีผู้ประกอบวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนจีนทำงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขค่อนข้างน้อย ข้อเสนอเชิงนโยบาย ควรส่งเสริมการจัดบริการการแพทย์แผนจีนในสถานพยาบาลทุกระดับ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการการแพทย์แผนจีนของประชาชนและควรเพิ่มอัตรากำลังและตำแหน่งข้าราชการสำหรับแพทย์แผนจีน เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพ</p> วรรณวิมล เชี่ยวเชิงชล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 29 36 การวิเคราะห์พฤกษเคมีเบื้องต้นและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดหยาบเอทานอลจากเมล็ดลูกซัด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/279134 <p>ลูกซัดหรือฟีนูกรีกเป็นพืชในวงศ์ถั่วที่มีประวัติการใช้ประโยชน์ทั้งด้านอาหารและพืชสมุนไพรทางการแพทย์ตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งการวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์พฤกษเคมีเบื้องต้นและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเมล็ดลูกซัดสายพันธุ์อินเดียที่มีการใช้ในประเทศไทย โดยนำเอาเมล็ดลูกซัดมาสกัดหยาบด้วยเอทานอล 95% ผลการทดลองพบว่า สารสกัดหยาบเมล็ดลูกซัดมีสารพฤกษเคมีชนิดต่างๆ ได้แก่ สารกลุ่มฟีนอลิก ซาโปนิน และแทนนิน สารสกัดหยาบเมล็ดลูกซัดมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไลเปสได้ดีที่ความเข้มข้น 0.48±0.03 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร โดยยับยั้งเอนไซม์ไลเปสได้ร้อยละ 50 แต่ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดสและแอลฟา-อะไมเลส นอกจากนี้ยังพบว่าค่าความเข้มข้นของสารสกัดหยาบเมล็ดลูกซัดไม่เป็นพิษต่อเซลล์แมคโครฟาจชนิด RAW 264.7 โดยมีเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตอยู่ระหว่าง 93.90±2.11 ถึง 110.37±2.75 และสารสกัดหยาบเมล็ดลูกซัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยสามารถยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ภายหลังจากทดสอบกับเซลล์แมคโครฟาจชนิด RAW 264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS พบว่า ที่ความเข้มข้น 0.01, 0.1 และ 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ของสารสกัดหยาบเมล็ดลูกซัดมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ได้ไม่แตกต่างกัน (p&gt;0.05) โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งดังนี้ 20.00±3.85, 25.16±2.58 และ 24.30±3.94 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ที่แต่ละความเข้มข้นของสารสกัดหยาบเมล็ดลูกซัดกับยาต้านการอักเสบไตรแอมซิโนโลน อะซีโตไนด์พบว่า ที่ความเข้มข้น 0.01, 0.1 และ 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร มีฤทธิ์ต้านการอักเสบไม่แตกต่างกัน (p&gt;0.05) จากข้อมูลในการวิจัยนี้บ่งชี้ว่าลูกซัดสายพันธุ์อินเดียที่มีการใช้ในประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นยารักษาโรคหรือผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพต่อไปได้</p> กฤษณา มณีรัตน์ พัฒนพงศ์ จินดามงคล เมธี รุ่งโรจน์สกุล พิสุทธิ์ พวงนาค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 37 49 การศึกษาพฤกษเคมีเบื้องต้นของดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทยและจีน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/279149 <p class="426-5-66">ดอกสายน้ำผึ้งจัดเป็นยาสมุนไพรที่มีความสำคัญและใช้อย่างแพร่หลายในตำรับยาจีนหลายตำรับ โดยใช้รักษาโรคระบบ-ทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และโรคผิวหนังบางชนิด ซึ่งประเทศไทยได้นำเข้าดอกสายน้ำผึ้งจากประเทศจีนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตยาและอาหารในปริมาณสูง ในขณะที่ประเทศไทยมีการปลูกต้นสายน้ำผึ้งเพื่อเป็นไม้ประดับเท่านั้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดสารสำคัญจากดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทยและที่ปลูกในประเทศจีน และวิเคราะห์สมบัติทางกายภาพและองค์ประกอบทางเคมีของสารที่สกัดได้ รวมทั้งเปรียบเทียบปริมาณสารออกฤทธิ์ที่สำคัญบางชนิดที่พบในดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทยและที่ปลูกในประเทศจีน เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับใช้ในการพิจารณาเพิ่มมูลค่าของดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทย ผลการศึกษา พบว่า (1) การสกัดสารออกฤทธิ์จากดอกน้ำผึ้งด้วยวิธีการแช่สกัด (maceration) ในตัวทำละลายเฮกเซน เอทิลอะซีเตต เมทานอล และเอทานอล ให้ปริมาณสารสกัดจากการสกัดด้วยเมทานอลมากที่สุดและปริมาณสารสกัดจากการสกัดด้วยเอทิลอะซิเตต มีปริมาณน้อยที่สุด (2) จากการตรวจสอบสารสกัดเบื้องต้น พบว่ามีสารกลุ่มแอลคาลอยด์และกลุ่มฟลาโวนอยด์เป็นองค์ประกอบ และเมื่อทำการตรวจสอบด้วยเทคนิค infrared spectroscopy พบว่ากราฟของ infrared spectroscopy มีค่าแสดงหมู่ฟังก์ชันที่แตกต่างกัน และ (3) จากการตรวจสอบสารสำคัญบางชนิด ได้แก่ chlorogenic acid และ luteolin ในสารสกัดดอกสายน้ำผึ้งด้วยวิธีโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (HPLC) พบว่าดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทยและในประเทศจีน มีสารสำคัญทั้ง 2 ชนิด โดยดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศจีนมีปริมาณของ chlorogenic acid สูงกว่าดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทย ส่วนปริมาณของ luteolin ของดอกสายน้ำผึ้งที่ปลูกในประเทศไทยมีปริมาณ luteolin ใกล้เคียงหรือสูงกว่าดอกสายน้ำผึ้งจีนเล็กน้อย</p> ตฤณกร เกตุกุลพันธ์ กตัญญู กองหาญ พัฒนพงศ์ จินดามงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 50 62 การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการจัดบริการด้านการแพทย์แผนจีนในหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/article/view/279180 <p>การแพทย์แผนจีนในประเทศไทยได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้งด้านหน่วยบริการที่จัดบริการ บุคลากร และผู้เข้ารับบริการ นอกจากนี้ยังมีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสิทธิข้าราชการสำหรับการฝังเข็ม การแพทย์แผนจีนจึงเป็นการแพทย์ทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพและการบำบัดรักษาโรคในระบบสาธารณสุข การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการจัดบริการด้านการแพทย์แผนจีนในหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจึงมีความสำคัญ โดยการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่เหมาะสมสำหรับหน่วยบริการที่ยังไม่มีการจัดบริการด้านการแพทย์แผนจีน เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพและเพิ่มการเข้าถึงของประชาชนด้านการแพทย์แผนจีน โดยเป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (descriptive research) ในการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้แก่ สถานที่ ครุภัณฑ์หรือวัสดุกึ่งถาวร วัสดุสิ้นเปลือง ยาสมุนไพรจีน ค่าแรงบุคลากร และค่าสาธารณูปโภค ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายสำหรับงบลงทุนเริ่มแรกทั้งหมด กรณีปรับปรุงสถานที่ 416,252.50 บาท และกรณีก่อสร้าง 1,254,152.50 บาท และรวมค่าใช้จ่ายสำหรับจัดบริการต่อเดือนทั้งหมด 45,531.83 บาท ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทและปัจจัยด้านอื่นๆ ของหน่วยบริการ</p> วรชัย คงแสงไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย 2025-06-30 2025-06-30 4 1 63 70