วารสารเภสัชกรรมไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเป็นวารสารวิชาการอิเล็กทรอนิกส์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วารสารฯ มีวัตถุประสงค์คือเป็นสื่อกลางเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิชาการระหว่างนักวิจัยด้านเภสัชกรรม เภสัชกร นักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ ตลอดจนเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา</p> <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทางเภสัชกรรม ได้แก่การบริบาลทางเภสัชกรรม เภสัชกรรมสังคม การบริหารเภสัชกิจ เศรษฐศาสตร์ทางยา ระบาดวิทยาของยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เภสัชสาธารณสุข เภสัชพฤติกรรมศาสตร์ การคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ นิติเภสัชกรรม จริยศาสตร์เภสัชกรรม นโยบายด้านยาและสุขภาพ การประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางสังคมและการบริหารในการปฏิบัติงานเภสัชกรรม</p> <p> ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมไทย คือ บทความวิจัยต้นฉบับ บทความทบทวนวรรณกรรมทั้งแบบเชิงบรรยาย (review article) การวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) และการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) </p> <p> ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 วารสารได้เพิ่มจำนวนเล่มจาก 2 เป็น 4 ฉบับต่อปี ดังนี้ เล่มที่ 1 (มกราคม-มีนาคม) เล่มที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) เล่มที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) และเล่มที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม)</p> th-TH <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความคิดเห็นและอยู่ในความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ มิใช่ความเห็นหรือความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ หรือคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากการพิมพ์&nbsp; บทความที่ได้รับการเผยแพร่โดยวารสารเภสัชกรรมไทยถือเป็นสิทธิ์ของวารสารฯ&nbsp;</p> sanguan.L@psu.ac.th (Assoc Prof Sanguan Lerkiatbundit) pakjira@pharmacy.psu.ac.th (Phakjira Kitipanasin ) Thu, 20 Mar 2025 08:23:01 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปกและสารบัญ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276140 บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276140 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการที่พ่อแม่ปฏิเสธให้ลูกอายุ ตั้งแต่ 5 ถึงน้อยกว่า 18 ปีฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในจังหวัดนนทบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266665 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อระบุความชุกและศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการที่พ่อแม่ปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนป้องกัน<strong><br /></strong>โรคโควิด-19 <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2565 กลุ่มตัวอย่างคือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดลูกที่มีอายุตั้งแต่ 5 ถึงน้อยกว่า 18 ปี จำนวน 440 คน ในชุมชนซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 12 แห่ง โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นผู้เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามชนิดที่กลุ่มตัวอย่างสามารถเลือกตอบได้ด้วยตนเอง <strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้เข้าร่วมงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นแม่ (ร้อยละ 65.9) ความชุกที่พ่อแม่ปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 คิดเป็นร้อยละ 24.5 การศึกษาพบ 5 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการที่พ่อแม่ปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีน ได้แก่ 1) ผู้ตัดสินใจในเรื่องการฉีดวัคซีน โดยแม่ปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนมากกว่าพ่อ (adjusted OR = 1.87; 95% CI: 1.07-3.29; P=0.029) 2) ระดับการศึกษา โดยพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนมากกว่าพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป (adjusted OR = 8.8; 95% CI: 3.77-20.53; P&lt;0.001) 3) ประวัติการได้รับวัคซีนของพ่อแม่ โดยพ่อแม่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนมากกว่าพ่อแม่ที่เคยได้รับวัคซีน (adjusted OR = 2.93; 95% CI: 1.51-5.72; P=0.002) 4) การตระหนักถึงความเสี่ยงที่ลูก<br />จะติดเชื้อเมื่อลูกไปโรงเรียน โดยพ่อแม่ที่ไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่ลูกจะติดเชื้อเมื่อลูกไปโรงเรียนปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนมากกว่าพ่อแม่ที่ตระหนักถึงความเสี่ยง (adjusted OR = 4.08; 95% CI: 2.31-7.21; P&lt;0.001) และ 5) ความประสงค์ของลูกที่จะฉีดวัคซีน<br />โดยพ่อแม่ที่ลูกไม่ประสงค์จะฉีดวัคซีนปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนมากกว่าพ่อแม่ที่ลูกประสงค์จะฉีด (adjusted OR = 5.53; 95% CI: 3.21-9.52; P&lt;0.001) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการที่พ่อแม่ปฏิเสธให้ลูกฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อาจเป็นอุปสรรคต่อแผนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในเด็ก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรหาแนวทางในการลดปัจจัยที่อาจเป็นอุปสรรคเหล่านั้นเพื่อให้พ่อแม่ยินยอมให้ลูกฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในเด็กต่อโรคโควิด-19</p> ธนสิทธิ์ มั่งสุข, สุระรอง ชินวงศ์, ทิพาพร กาญจนราช, ดุจฤดี ชินวงศ์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266665 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 มูลค่าประหยัดจากการใช้ระบบสารสนเทศในการติดตามราคาและวิเคราะห์ขีดความสามารถ ในการจัดซื้อยาของภาครัฐเพื่อต่อรองราคายาตามแผนการจัดซื้อยาของโรงพยาบาลบางละมุง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267278 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อวิเคราะห์มูลค่าประหยัดที่เกิดขึ้นจากการใช้ระบบสารสนเทศในการติดตามราคาและวิเคราะห์ขีดความสามารถในการจัดซื้อยาของภาครัฐ (Pharmaceutical Acquisition Capability-Decision Support System; PAC-DSS) เพื่อต่อรองราคาในการจัดซื้อยาตามแผนจัดซื้อของโรงพยาบาลบางละมุงในปีงบประมาณ 2566 <strong>วิธีการ:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบตัดขวางโดยนำข้อมูลจากการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยาจากรายงานในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระหว่างปีงบประมาณ 2562 – 2564 จำนวนทั้งสิ้น 198 รายการ มาตัดรายการยาต่อไปนี้ 1) รายการยาที่ซ้ำในแต่ละปีงบประมาณ 2) รายการยาที่โรงพยาบาลมีความสามารถในการจัดหายาได้ในราคาที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว และ 3) รายการยาที่ซื้อจากหน่วยงานภาครัฐที่ไม่สามารถต่อรองได้ ทั้งนี้ รายการยาที่ศึกษาต้องอยู่ในรายการแผนจัดซื้อยาของปีงบประมาณ 2566 ยาที่ผ่านการคัดเลือกมีจำนวนทั้งสิ้น 51 รายการ ซึ่งได้รับการวิเคราะห์ขีดความสามารถในการจัดซื้อยาตามแนวคิดการวัดกำลังความสามารถการจัดหายาจากข้อมูลการจัดซื้อยา (pharmaceutical acquisition capability: PAC) และหาราคาแนะนำในการจัดซื้อจากระบบ PAC-DSS โรงพยาบาลนำราคาดังกล่าวไปต่อรองกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายตามแผนงบประมาณปี 2566 และคำนวณมูลค่าที่ประหยัดได้ <strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้จัดซื้อมีความไวในการรับรู้ราคาและสามารถต่อรองได้ไม่เกินราคาที่ระบบ PAC-DSS แนะนำจำนวน 17 รายการในปีงบประมาณ 2565 ผลจากการใช้ราคาแนะนำจากระบบ PAC-DSS มาใช้ในการต่อรองราคายาในปีงบประมาณ 2566 พบว่าสามารถต่อรองราคาลดลงได้ทั้งสิ้น 18 รายการ มูลค่าจัดซื้อตามแผนจัดซื้อของปีงบประมาณ 2566 เท่ากับ 14,989,783 บาท และมูลค่าการจัดซื้อยาที่ต่อรองได้จากแนวคิด PAC มีมูลค่าจัดซื้อเท่ากับ 13,270,244 บาท ทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้ 1,719,540 บาท หรือร้อยละ 11.47 ของแผนจัดซื้อยาปีงบประมาณ 2566 ของรายการยา 18 รายการที่ต่อรองได้ <strong>สรุป:</strong> การนำระบบ PAC-DSS มาใช้สนับสนุนในการปฏิบัติงานจัดซื้อยา สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางละมุงได้ ด้วยความสามารถของระบบที่สามารถสะท้อนราคาอ้างอิงที่เหมาะสมซึ่งเป็นประโยชน์ในการต่อรองราคากับผู้จำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากนำระบบไปใช้อย่างแพร่หลายในหน่วยงานภาครัฐจะทำให้สามารถควบคุมการกระจายของราคายา ทำให้เกิดการประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อยาได้</p> ปรัชญา พัชรวรกุลชัย, ศิรยุทธ พัฒนโสภณ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267278 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแดชบอร์ดสำหรับติดตามปริมาณของยาที่จำเป็นต้องใช้ในสภาวะฉุกเฉิน ซึ่งคงเหลือในคลังของบริษัทยาภายในประเทศด้วยโปรแกรม Microsoft Power BI https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267572 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อพัฒนาแดชบอร์ดสำหรับติดตามปริมาณของยาที่จำเป็นต้องใช้ในสภาวะฉุกเฉินซึ่งคงเหลือในคลังของบริษัทยาภายในประเทศ (ปริมาณยาคงคลังฯ) ในรูปแบบแผนภาพข้อมูลที่ตอบสนองการใช้งานด้วยโปรแกรม Microsoft Power BI Desktop <strong>วิธีการ:</strong> ผู้วิจัยค้นหาปัญหาที่พบในการติดตามปริมาณยาคงคลังฯ ในระบบเดิมซึ่งดำเนินการโดยใช้ตารางจากโปรแกรม Microsoft Excel การค้นหาปัญหาทำโดยสำรวจความเห็นของเภสัชกรผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนยา 5 ท่าน หลังจากนั้น ผู้วิจัยวิเคราะห์ความต้องการของระบบ และพัฒนาแดชบอร์ดสำหรับรายงานปริมาณคงคลังด้วยโปรแกรม Microsoft Power BI Desktop จากนั้นประเมินการทำงานของแดชบอร์ดตามแนวทางการประเมินประสิทธิผลของการนำเสนอข้อมูลด้วยแผนภาพของ ISO 9241 ได้แก่ 1) ความมีประสิทธิภาพ 2) ความมีประสิทธิผล และ 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้งาน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศ 3 ท่านและเภสัชกรที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 5 ท่าน การประเมินใช้มาตรวัดแบบ Likert ที่มีคะแนนจาก 1-5 <strong>ผลการวิจัย:</strong> แดชบอร์ดติดตามปริมาณคงคลังฯ ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยหน้า summary ซึ่งแสดงรายการยาเหลือใช้จำแนกเป็นรายชนิดและรายกลุ่มตามกรอบระยะเวลาต่าง ๆ ที่กำหนด และหน้า detail แสดงรายละเอียดข้อมูลของยารายชนิด (รูปแบบ ความแรง ปริมาณคงคลัง อัตราการจำหน่ายยาต่อเดือนจากผู้ขาย รวมถึงชื่อผู้รับอนุญาต) ผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศ 3 ท่านประเมินการทำงานของระบบทั้ง 2 หน้า และให้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 91.67 และ 95 ตามลำดับ หลังจากเภสัชกรผู้ปฏิบัติงานได้ทดลองใช้ระบบและประเมินผลการใช้งาน พบว่า คะแนน ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความพึงพอใจของผู้ใช้งานเท่ากับ 4.65 ± 0.41, 4.70 ± 0.40 และ 4.60 ± 0.20 ตามลำดับ <strong>สรุป:</strong> แดชบอร์ดที่พัฒนาขึ้นทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผู้ใช้งานมีความพึงพอใจในระดับมาก ซึ่งแสดงถึงความสามารถของระบบที่ตอบวัตถุประสงค์และเพิ่มความสะดวกในการทำงานมากกว่าระบบเดิม ซึ่งจะช่วยให้การติดตามปริมาณของยาที่จำเป็นต้องใช้ในสภาวะฉุกเฉินซึ่งคงเหลือในคลังของบริษัทยาภายในประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> พุทธวัฏ ประเสริฐสกุล, สรวง รุ่งประกายพรรณ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267572 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายผลการสอบความรู้เพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ในการเข้าสอบครั้งแรกของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267764 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลการสอบใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในการสอบครั้งแรกของนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>ตัวอย่าง คือ นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2559 และ 2560 ทั้งในหลักสูตรสาขาการบริบาลทางเภสัชกรรม (pharmaceutical care: PC) และเภสัชกรรมอุตสาหการ (industrial pharmacy: IP) ตัวแปรตาม คือ ผลการสอบตามเกณฑ์สมรรถนะร่วม (core competency: CC) ทั้งการสอบความรู้ด้วยข้อสอบแบบเลือกตอบ (เรียกย่อว่า การสอบ CC1) และการสอบปฏิบัติเพื่อวัดทักษะทางวิชาชีพ (เรียกย่อว่า การสอบ CC2) และผลการสอบความรู้ตามเกณฑ์สมรรถนะเฉพาะสาขาด้าน PC และ IP ทั้งการสอบความรู้ด้วยข้อสอบแบบเลือกตอบ (PC1 และ IP1 ตามลำดับ) และการสอบทักษะทางวิชาชีพ (PC2 และ IP2 ตามลำดับ) ปัจจัยทำนายที่ศึกษาได้แก่ ปีที่เข้าศึกษา เพศ หลักสูตรที่ศึกษา วิธีการรับเข้าศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์ (admission ย่อว่า admis) เกรดเฉลี่ยสะสมในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เกรดเฉลี่ยสะสมตลอด 4 ปีการศึกษา (GPA-4 ปี สำหรับการสอบแบบ CC) หรือเกรดเฉลี่ยสะสมตลอด 5 ปีการศึกษา (GPA-5 ปี สำหรับการสอบแบบ PC และ IP) และเกรดของรายวิชา 4-5 วิชาที่คณาจารย์ในคณะเภสัชศาสตร์ระบุว่ามีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของการสอบมากที่สุด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ multiple logistic regression และใช้เทคนิคโค้ง receiver operating characteristic เพื่อกำหนดจุดตัดของคะแนนที่เหมาะสมในการทำนายผลการสอบ <strong>ผลการวิจัย</strong>: ตัวอย่างทั้งหมด 244 รายที่เข้าสอบแบบ CC ผ่านการสอบแบบ CC1, CC2 และ CC โดยรวม (ผ่านทั้ง CC1 และ CC2) เท่ากับร้อยละ 92.7, 82.8 และ 80.3 ตามลำดับ ปัจจัยทำนายผลการสอบ CC โดยรวมที่มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ GPA-4 ปี และวิธีการรับเข้าศึกษา ทั้งนี้ GPA- 4 ปีที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 0.1 หน่วยสัมพันธ์กับการเพิ่มโอกาสการสอบผ่าน 1.54 เท่าตัว นักศึกษาที่รับเข้าศึกษาโดยพิจารณาคะแนนสอบ (admis=1) มีโอกาสสอบผ่านมากกว่านักศึกษาที่รับเข้าด้วยวิธีการที่ไม่ใช้คะแนนสอบ (admis=0) 3.44 เท่าตัว สมการทำนายที่ได้ คือ (4.50*GPA-4 ปี) + 1.20 admis โดยคะแนนที่ 14.35 มีค่าความไวและความจำเพาะที่ร้อยละ 75 และ 73 ตามลำดับ นักศึกษาที่เข้าสอบ PC มีจำนวน 98 รายสอบผ่านการสอบแบบ PC1, PC2 และ PC โดยรวม เท่ากับร้อยละ 91.8, 98.0 และ 89.8 ตามลำดับ ปัจจัยที่สามารถทำนายผลการสอบ PC โดยรวมที่มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ผลการเรียนวิชาเภสัชบำบัดและเภสัชกรรมปฏิบัติ 4 จุดตัดคะแนนที่เกรด C+ มีความไวที่ร้อยละ 89 และมีความจำเพาะที่ร้อยละ 70 นักศึกษาที่เข้าสอบ IP 132 ราย มีผู้ผ่านการสอบแบบ IP1, IP2 และ IP โดยรวม เท่ากับร้อยละ 95.5, 99.3 และ 94.7 ตามลำดับ ปัจจัยทำนายผลการสอบ IP โดยรวมที่มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ GPA-5 ปี จุดตัดคะแนนที่เกรด 3.12 มีความไวที่ร้อยละ 64 และมีความจำเพาะที่ร้อยละ 71 <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ปัจจัยทำนายผลการสอบ CC โดยรวมที่มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ GPA-4 ปี และวิธีการรับเข้าศึกษา ปัจจัยที่สามารถทำนายผลการสอบ PC โดยรวม คือ ผลการเรียนวิชาเภสัชบำบัดและเภสัชกรรมปฏิบัติ 4 ปัจจัยทำนายผลการสอบ IP โดยรวม คือ GPA-5 ปี คณะเภสัชศาสตร์สามารถใช้ปัจจัยข้างต้นเพื่อวางระบบให้การสนับสนุนช่วยเหลือนักศึกษาที่มีความเสี่ยงในการสอบไม่ผ่าน</p> สุวณีย์ เพชรชูกูล (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267764 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับติดตามเอกสาร ณ ศูนย์บริการ ผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267824 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อติดตามเอกสารในศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม เพื่อให้สามารถติดตามและแสดงสถานะการดำเนินงานให้กับผู้มารับบริการได้ และสามารถดำเนินการได้สอดคล้องกับระบบเดิม <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาใช้ภาษาพีเอชพี (PHP) เอชทีเอ็มแอล (HTML) จาวาสคริปต์ (JavaScript) และใช้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ PostgreSQL ในการพัฒนาระบบให้สามารถบันทึกข้อมูลสำหรับติดต่อกับผู้มารับบริการ สามารถค้นหาสถานะการดำเนินงาน และทำให้เจ้าหน้าสามารถปรับสถานะของขั้นตอนกระบวนงานได้ เว็บแอบพลิเคชันเริ่มใช้งานเมื่อ พ.ศ. 2563 การศึกษาใช้แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจต่อแอปที่พัฒนาขึ้นใน 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้มารับบริการ จำนวน 346 ราย และกลุ่มเจ้าหน้าที่ จำนวน 15 ราย นอกจากนี้ยังประเมินจำนวนครั้งของการโทรศัพท์หรือการมาติดต่อด้วยตนเองเพื่อติดตามสถานะการดำเนินงาน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มผู้มารับบริการมีความพึงพอใจเฉลี่ยโดยภาพรวมของต่อระบบที่พัฒนาขึ้น 4.09±0.70 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 กลุ่มเจ้าหน้าที่มีความพึงพอใจเฉลี่ยโดยภาพรวม 4.13±0.74 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 จำนวนครั้งของการสอบถามทางโทรศัพท์หรือการมาติดต่อด้วยตนเองลดลงจากร้อยละ 20.93 ของจำนวนคำขอทั้งหมดในปี พ.ศ. 2562 เป็นร้อยละ 7.38 ของจำนวนคำขอทั้งหมดในปี พ.ศ. 2565 <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การพัฒนาระบบดังกล่าว สามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ สอดคล้องกับการทำงานด้วยกระบวนการเดิมของเจ้าหน้าที่ สามารถลดการสอบถามทางโทรศัพท์หรือการมาติดต่อด้วยตนเองเพื่อติดตามสถานะการดำเนินงาน ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ จึงมีความพึงพอใจต่อระบบที่พัฒนาขึ้น</p> ไตรสิทธิ์ ชื่นปิติกุล, พีรยศ ภมรศิลปธรรม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267824 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 สิ่งท้าทายต่อการคงอยู่ในระบบของผู้บำบัดด้วยเมทาโดนระยะยาว ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/268186 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาสิ่งท้าทายต่อการคงอยู่ในระบบบำบัดด้วยเมทาโดนในระยะยาว ในมุมมองของผู้บำบัดที่อาศัยในพื้นที่ทุรกันดารของอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษาสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บำบัดยาเสพติดด้วยเมทาโดน 11 รายและผู้นำชุมชน 3 รายในอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกแบบจำเพาะเจาะจง ในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2565 – 30 เมษายน 2566 แนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างพัฒนาขึ้นโดยใช้ Risk Environment Framework, Health Belief Model และ Shared Decision Making Model การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการคงอยู่ในระบบของผู้บำบัดด้วยเมทาโดนระยะยาวที่สำคัญ คือ บริบทของพื้นที่อำเภอเวียงแหง ได้แก่ การมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาติดประเทศพม่าซึ่งเป็นเส้นทางการเดินทางของยาเสพติด ทำให้คนเข้าถึงยาเสพติดได้ง่าย การคมนาคมที่ยากลำบากทำให้ผู้บำบัดไม่สามารถรับยาได้ตามนัด การจำกัดปริมาณการจ่ายยาเมทาโดนทำให้ต้องมารับบริการบ่อยครั้ง จึงเป็นอุปสรรคสำหรับผู้บำบัดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาบำบัดกระทบต่อความเป็นอยู่ การขาดการเข้าถึงการศึกษาทำให้ประชาชนในอดีตไม่รู้ว่ายาเสพติดนั้นผิดกฎหมาย รวมถึงประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง จึงยากต่อการสื่อสารเพื่อการบำบัด ถ้ามีคนในครอบครัวที่สนับสนุนและมีคนในชุมชนที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกันที่คอยเป็นผู้ประสานงานในการบำบัดจะทำให้ความร่วมมือดีขึ้น <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> บริบทความทุรกันดารของพื้นที่อำเภอเวียงแหงส่งผลต่อการคงอยู่ในระบบการบำบัดด้วยเมทาโดนในระยะยาว หลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งเป็นอุปสรรคและสนับสนุนการบำบัดด้วยเมทาโดน ทำให้การบำบัดมีความซับซ้อนและต่างจากพื้นที่อื่น ดังนั้นรูปแบบการให้บริการควรคำนึงถึงบริบทพื้นที่ และบูรณาการกับภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง</p> ปณต อัศววิวัฒน์พงศ์, พักตร์วิภา สุวรรณพรหม, ศิริตรี สุทธจิตต์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/268186 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การจัดกลุ่มยาในคลังเวชภัณฑ์ด้วยวิธี FSN Analysis ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/268402 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> 1) เพื่อจัดกลุ่มยาในคลังโดยประยุกต์ FSN analysis และดำเนินการปรับปรุงการจัดการคลังยา และ 2) เพื่อประเมินผลลัพธ์ในการดำเนินงานหลังการนำ FSN analysis มาใช้จัดกลุ่มยา<strong> วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบเชิงปฏิบัติการที่แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน และทำซ้ำสองวงรอบ วงรอบละ 2 เดือน ขั้นตอนที่ 1 คือ การวางแผนดำเนินงาน ขั้นตอนที่ 2 คือ การลงมือปฏิบัติ เริ่มจาก ก. การทดลองนำร่อง ข. การวิเคราะห์พารามิเตอร์ที่ใช้ประกอบการแบ่งกลุ่ม FSN ได้แก่ ระยะเวลาการนำส่งสินค้า (lead time) สินค้าคงคลังขั้นต่ำ (safety stock) จุดสั่งซื้อใหม่ (re-order point) ปริมาณการสั่งซื้อขั้นต่ำ (minimum order quantity) และจำนวนวันเก็บสินค้าคงคลัง (days on hand) ค.การแบ่งกลุ่มยาโดยใช้ FSN analysis เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ความถี่ในการจ่ายออกมาก (fast: F) กลุ่มที่ความถี่จ่ายออกปานกลาง (medium: M) กลุ่มที่ความถี่จ่ายออกช้า (slow: S) กลุ่มที่ความถี่จ่ายออกช้ามาก (very slow (V) และกลุ่มที่ไม่มีการจ่ายออกเลย (non-moving: N) ง. การกำหนดนโยบายการจัดการยาคงคลังในแต่ละกลุ่ม และ จ. การประเมินตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น มูลค่าคงคลัง อัตรายาขาดคราวของยาที่เกิดจากความผิดพลาดของการจัดซื้อ ขั้นตอนที่ 3 คือ การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน ขั้นตอนที่ 4 คือ การสะท้อนกลับ โดยนำผลที่ได้มาสะท้อนกลับไปยังผู้ร่วมงาน และคณะผู้บริหารโรงพยาบาล <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> มูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของยาในกลุ่ม F, M, S, V และ N เท่ากับร้อยละ 29.06, 12.15, 17.74, 23.18, และ 17.87 ตามลำดับ มูลค่าคงคลังหลักที่ทำการวิจัยลดลง 994,076.04 บาท อัตราขาดคราวของยาคิดเป็นร้อยละ 0.07 ซึ่งไม่เกินเป้าหมายที่หน่วยงานกำหนด คือ ร้อยละ 0.5 ต่อเดือน <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การจำแนกกลุ่มยาแบบ FSN analysis ร่วมกับการออกนโยบายการจัดการยาคงคลังที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่ม ช่วยลดอัตราการขาดคราวของยา ลดมูลค่าคงคลังและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการคลัง</p> มารีย์ อินสม, นุศราพร เกษสมบูรณ์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/268402 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ความชุกของการโฆษณาทางสื่อออนไลน์ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ของสถานพยาบาลเอกชนในจังหวัดชลบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/269123 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความชุกของการโฆษณาทางสื่อออนไลน์ที่ผิดกฎหมายของสถานพยาบาลเอกชนที่ยื่นขออนุมัติโฆษณา (private healthcare facilities with advertising approval: PHFs-AA) กับสถานพยาบาลเอกชนที่ไม่ยื่นขออนุมัติ (private healthcare facilities with no advertising approval: PHFs-noAA) ในจังหวัดชลบุรี <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> รูปแบบของการศึกษาคือการวิจัยภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ ตัวอย่าง คือ PHFs-AA และยังประกอบกิจการทุกแห่ง รวมจำนวนทั้งสิ้น 90 แห่ง และ PHFs-noAA โดยการจับคู่กับ PHFs-AA ในอัตรา 1:2 เท่ากับ 180 แห่ง การศึกษาเก็บข้อมูลจากโฆษณาของตัวอย่างทางสื่อออนไลน์ ได้แก่ Facebook, Line, เว็บไซด์, Instagram, Youtube, Twitter และ TikTok ในช่วงวันที่ 1-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ผู้วิจัยตรวจสอบโฆษณาในประเด็นการฝ่าฝืนข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง <strong>ผลการศึกษา</strong> จากโฆษณาของ PHFs-AA และ PHFs-noAA ทั้งหมด 2,845 ชิ้น และ 2,086 ชิ้น ตามลำดับ PHFs-AA และ PHFs-noAA มีการโฆษณาฝ่าฝืนกฎหมาย จำนวน 1,670 ชิ้น (ร้อยละ 58.7) และ 1,481 ชิ้น (ร้อยละ 71.0) ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001) คลินิกเวชกรรมในกลุ่ม PHFs-AA และ PHFs-noAA มีการโฆษณาฝ่าฝืนกฎหมาย มากที่สุด จำนวน 1,393 ชิ้น (ร้อยละ 83.4 ของโฆษณาทั้งหมดที่ฝ่าฝืนกฎหมายในกลุ่ม PHFs-AA) และ 1,140 ชิ้น (ร้อยละ 77.0 ของโฆษณาทั้งหมดที่ฝ่าฝืนกฎหมายในกลุ่ม PHFs-noAA) ตามลำดับ โดยช่องทางที่พบการโฆษณาฝ่าฝืนกฎหมายมากที่สุดพบเหมือนกันทั้งสองประเภทคือ Facebook จำนวน 1,204 ชิ้น (ร้อยละ 62.6 ของโฆษณาทั้งหมดที่ฝ่าฝืนกฎหมายในกลุ่ม PHFs-AA) และ 934 ชิ้น (ร้อยละ 72.1 ของโฆษณาทั้งหมดที่ฝ่าฝืนกฎหมายในกลุ่ม PHFs-noAA) การประเมินโฆษณา 1 ชิ้นอาจฝ่าฝืนกฎหมายได้มากกว่า 1 ประเด็น ทั้งนี้ PHFs-AA และ PHFs-noAA มีประเด็นการฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมด 3,454 และ 4,241 ประเด็น ตามลำดับ PHFs-AA มีการฝ่าฝืน ประกาศกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและค่าใช้จ่าย ในการโฆษณาหรือประกาศเกี่ยวกับสถานพยาบาล พ.ศ.2562 มากที่สุด จำนวน 1,186 ชิ้น (ร้อยละ 34.3 ของการฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมดในกลุ่ม PHFs-AA) ส่วน PHFs-noAA มีการฝ่าฝืนการขออนุมัติโฆษณามากที่สุด จำนวน 1,548 ชิ้น (ร้อยละ 36.5 ของการฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมดในกลุ่ม PHFs-noAA) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การโฆษณาทางสื่อออนไลน์ของ PHFs-noAA มีการฝ่าฝืนกฎหมายสูงกว่า PHFs-AA อย่างมีนัยสำคัญ คลินิกเวชกรรมและช่องทาง Facebook พบการฝ่าฝืนกฎหมายมากที่สุด สำนักงานสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการยื่นขออนุมัติโฆษณา รวมถึงบทกำหนดโทษของการโฆษณาที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและปฏิบัติให้ถูกต้อง</p> รติกร ประเสริฐไทยเจริญ, ่ชิดชนก เรือนก้อน (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/269123 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การนำแนวทางการให้บริบาลทางเภสัชกรรมและการเลือกใช้ magnesium, riboflavin และ coenzyme Q10 เพื่อป้องกันไมเกรนกลับเป็นซ้ำไปใช้ในร้านยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/269129 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อจัดทำแนวทางการให้คำปรึกษาและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ผลิตภัณฑ์ฯ) ที่ประกอบด้วยmagnesium, riboflavin หรือcoenzyme Q10 เพื่อป้องกันไมเกรนกลับเป็นซ้ำ (แนวทางฯ) ประเมินความพึงพอใจของเภสัชกรชุมชนต่อแนวทางฯ และนำแนวทางฯ ไปประเมินส่วนประกอบและขนาดใช้ของผลิตภัณฑ์ฯ ที่จำหน่ายในร้านขายยา<strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> ผู้วิจัยสืบค้นวรรณกรรมปฐมภูมิเพื่อจัดทำแนวทางฯ การศึกษาประเมินความพึงพอใจต่อการนำแนวทางฯ ฉบับสมบูรณ์ไปใช้เป็นเวลา 1 เดือนโดยเภสัชกรจากร้านขายยาในเขตอำเภอเมืองจังหวัดปทุมธานีจำนวน 94 คน ผู้วิจัยใช้แนวทางฯ ประเมินผลิตภัณฑ์ฯ จำนวน 48 รายการที่จำหน่ายในร้านขายยาในประเด็นส่วนประกอบและขนาดใช้ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>แนวทางฯ ประกอบด้วยผลการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากการใช้magnesium, riboflavin หรือ coenzyme Q10 ในการป้องกันไมเกรนกลับเป็นซ้ำและแนวทางการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฯ เภสัชกรพึงพอใจต่อแนวทางฯ ฉบับสมบูรณ์ในระดับมาก (คะแนนเฉลี่ย 4.2±0.7 จากคะแนนเต็ม 5) ความพึงพอใจในด้านความเข้าใจในเนื้อหาและการนำไปใช้ด้านรูปแบบของแนวทางฯ และด้านภาพรวมของแนวทางฯ มีคะแนน 4.2±0.7,4.1±0.7 และ 4.3±0.7 จากคะแนนเต็ม 5 ตามลำดับผลิตภัณฑ์ฯ จำนวน 4 จาก 48 รายการ (ร้อยละ 8.3) มีส่วนประกอบและขนาดการใช้ตามหลักฐานทางวิชาการ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> เนื้อหาของแนวทางฯ ที่จัดทำขึ้นมีประโยชน์ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ฯ เพื่อป้องกันไมเกรนกลับเป็นซ้ำ ผลิตภัณฑ์ฯ ในร้านขายยาของเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานีจำนวนน้อยที่มีส่วนประกอบและขนาดใช้เป็นไปตามหลักฐานทางวิชาการ</p> ณัฏยา อุ่นจิตต์, ปวีณา สนธิสมบัติ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/269129 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 กลไกการดำเนินงานของเครือข่ายและการมีส่วนร่วมของชุมชนในระบบการเฝ้าระวังยาและ ผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน: กรณีศึกษาจังหวัดพะเยา จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/269704 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อวิเคราะห์กลไกการดำเนินงานของเครือข่ายและการมีส่วนร่วมของชุมชนในระบบการเฝ้าระวังยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชนของจังหวัดพะเยา เชียงราย และเชียงใหม่ <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้แนวคำถามแบบกึ่งโครงสร้าง การศึกษาคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ร่วมกับวิธีการบอกต่อ (snow-ball technique) ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยเภสัชกรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เภสัชกรโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ตัวแทนสภาองค์กรของผู้บริโภค ตัวแทนผู้ประกอบการร้านค้า ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และตัวแทนประชาชน รวมทั้งสิ้น 44 คน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลไกสำคัญในการดำเนินงานของเครือข่าย ประกอบด้วย 1) สมาชิกเครือข่ายที่มาจากหลายภาคส่วน โดยอาศัยแกนนำหรือต้นทุนเครือข่ายเดิมในพื้นที่ 2) ผู้ประสานงานทุกระดับมีศักยภาพและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน 3) งบประมาณที่เพียงพอต่อการจัดกิจกรรม และการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการดำเนินงาน 4) การจัดการเชิงระบบด้วยการขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการ พชอ. หรือการทำข้อตกลงความร่วมมือในพื้นที่ 5) การติดต่อสื่อสารระหว่างกันด้วยช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว และเหมาะสมกับกิจกรรม แกนนำเครือข่ายและผู้ประสานงานมีการตอบสนองต่อข้อมูลอย่างทันเวลา และ 6) การมีเครือข่ายภาคประชาชนร่วมดำเนินงานในทุกระดับ กลไกสำคัญเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้แก่ 1) การสร้างความตระหนักถึงปัญหาด้วยการการคืนข้อมูลปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพสู่ชุมชน 2) การจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกเครือข่ายเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และ 3) การมุ่งเน้นการให้คุณค่าแก่สมาชิกผ่านการให้ความชื่นชม เชิดชูเกียรติ และสร้างการยอมรับ <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>กลไกการดำเนินงานของเครือข่าย และกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนที่พบในการศึกษา ทำให้เครือข่ายระบบการเฝ้าระวังยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชนมีความเข้มแข็งและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ศิริรัตน์ สัตย์มิตร, รัตนาภรณ์ อาวิพันธ์, พักตร์วิภา สุวรรณพรหม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/269704 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 คุณลักษณะของการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนิสิตและบัณฑิตเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266349 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาแบบสอบถามในการวัดคุณลักษณะการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับนิสิตและบัณฑิตเภสัชศาสตร์ ฉบับภาษาไทย และเพื่อวัดคุณลักษณะการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนิสิตและบัณฑิตเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> ผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามวัดคุณลักษณะการเรียนรู้ตลอดชีวิตฉบับภาษาไทย จากแบบสอบถาม Jefferson Scale of Lifelong Learning-Health Professions Students Version (JeffSLL-HPS) ด้วยวิธีการแปลไปข้างหน้าพร้อมกับการทดสอบความตรงของเนื้อหาและความเชื่อมั่น ได้คำถามจำนวน 11 ข้อ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความเชื่อและแรงจูงใจในการเรียนรู้ ความสนใจต่อโอกาสในการเรียนรู้ และทักษะทางเทคนิคในการหาข้อมูล แบบสอบถามมีมาตรวัดแบบ Likert scale 4 ระดับ (1 = ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง, 4 = เห็นด้วยอย่างยิ่ง) ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นทางออนไลน์ในนิสิตเภสัชศาสตร์ ชั้นปีที่ 1-6 ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 และบัณฑิตเภสัชศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2563 ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นผ่านการประเมินความตรงของเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ศึกษา จำนวน 3 ท่านและมีความเชื่อมั่นเชิงความสอดคล้องภายในในระดับยอมรับได้ (ค่า Cronbach’s alpha = 0.84) ผู้เข้าร่วมการศึกษาประกอบด้วยนิสิตเภสัชศาสตร์จำนวน 560 คนจากทั้งหมด 562 คน (ร้อยละ 99.64) และบัณฑิตเภสัชศาสตร์จำนวน 63 คนจากทั้งหมด 95 คน (ร้อยละ 66.31) นิสิตชั้นปีที่ 5 และชั้นปีที่ 6 มีคะแนนรวมเฉลี่ยสูงกว่าชั้นปีที่ 1-4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001) ส่วนบัณฑิตเภสัชศาสตร์มีคะแนนรวมเฉลี่ยไม่แตกต่างจากนิสิตชั้นปีที่ 6 ทั้งนิสิตและบัณฑิตเภสัชศาสตร์มีคะแนนมากที่สุดในองค์ประกอบความเชื่อและแรงจูงใจในการเรียนรู้ องค์ประกอบที่มีคะแนนน้อยที่สุดคือ ความสนใจต่อโอกาสในการเรียนรู้ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> งานวิจัยนี้ได้พัฒนาแบบสอบถามวัดคุณลักษณะการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนิสิตและบัณฑิตเภสัชศาสตร์ฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ข้อมูลที่ได้บ่งบอกถึงคุณลักษณะการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนิสิตและบัณฑิตเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนหรือการศึกษาต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะในการเรียนรู้ตลอดชีวิตอยู่เสมอ ทั้งนี้ควรมีการติดตามคุณลักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระยะยาวต่อไป</p> ปวิตรา พูลบุตร, กฤษณี สระมุณี, วนรัตน์ อนุสรณ์เสงี่ยม, อารีรัตน์ ลีละธนาฤกษ์, พรชนก ศรีมงคล, สกุลรัตน์ รัตนาเกียรติ์, อรกัญญา กาลพันธา, วราพร ภูนาสี (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266349 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ผลของการพยากรณ์ปริมาณในการจัดซื้อด้วยการจัดกลุ่มยาแบบ ABC-VEN Analysis และการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน: กรณีศึกษาโรงพยาบาลศรีบุญเรือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270216 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการพัฒนาระบบการจัดซื้อยาโดยการพยากรณ์ปริมาณในการจัดซื้อด้วยการจัดกลุ่มยาแบบ ABC-VEN analysis และการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาเก็บข้อมูลปริมาณการใช้ยาของโรงพยาบาลศรีบุญเรืองทุกรายการเฉพาะรายการยาที่จัดซื้อเอง ย้อนหลัง 3 ปีงบประมาณ (2562-2564) รวมจำนวนทั้งหมด 355 รายการ การศึกษานำข้อมูลการใช้ยาดังกล่าวมาจัดทำแผนการจัดซื้อยาประจำปีงบประมาณ 2565 และนำมาแบ่งกลุ่มยาตามระบบ ABC-VEN analysis หลังจากนั้นดำเนินการจัดซื้อยาตามค่าพยากรณ์ปริมาณยาที่ควรจัดซื้อทีคำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน การประเมินผลทำโดยเปรียบเทียบอัตราการสำรองยาเฉลี่ย ร้อยละของปริมาณยาขาดคราว และร้อยละปริมาณยาหมดอายุระหว่างก่อนการพัฒนาระบบ (เมษายน 2564 ถึงกันยายน 2564) กับหลังจากการพัฒนาระบบ (ตุลาคม 2564 ถึงมีนาคม 2565) <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> จำนวนรายการยาจำแนกตามกลุ่ม ABC-VEN มีดังนี้ AV 15 รายการ (ร้อยละ 4.2) BV 16 รายการ (ร้อยละ 4.5) CV 60 รายการ (ร้อยละ 16.9) AE 56 รายการ (ร้อยละ 15.8) BE 66 รายการ (ร้อยละ 18.6) CE 105 รายการ (ร้อยละ 29.6) AN 4 รายการ (ร้อยละ 1.1) BN 11 รายการ (ร้อยละ 3.1) และ CN 22 รายการ (ร้อยละ 6.2) กลุ่ม AN มีค่าเฉลี่ยของความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์ (mean absolute percentage error) น้อยที่สุดเท่ากับ 20.96 หลังการพัฒนาระบบพบว่า อัตราการสำรองยาเฉลี่ย 6 เดือนลดลงเหลือเฉลี่ย 58.80 วัน จากเดิมเฉลี่ย 83.56 วัน ร้อยละของปริมาณยาขาดคราวลดลงจาก 2.25 เป็น 1.13 ทั้งนี้ ไม่พบรายการยาที่หมดอายุทั้งในช่วงก่อนและหลังพัฒนาระบบ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ระบบการจัดซื้อยาที่จำแนกกลุ่มยาเป็น ABC-VEN และพยากรณ์ปริมาณยาที่ต้องการจัดซื้อยาโดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน ช่วยลดอัตราการสำรองยา รวมทั้งลดปัญหายาขาดคราว และไม่ก่อให้เกิดปัญหายาหมดอายุ </p> อัจฉรา รัตนสีหา, อารีวรรณ เชี่ยวชาญวัฒนา (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270216 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากการใช้ยา enalapril ขนาดสูงเปรียบเทียบกับ การใช้ enalapril ขนาดต่ำร่วมกับ manidipine ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มี โรคความดันโลหิตสูงและมีภาวะอัลบูมินนูเรีย: การทดลองสุ่มแบบเปิดที่มีกลุ่มควบคุม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270337 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากการใช้ enalapril ขนาดสูง เปรียบเทียบกับการใช้ enalapril ขนาดต่ำร่วมกับ manidipine ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ยังไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ตามเป้าหมายและมีภาวะอัลบูมินนูเรีย <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมแบบเปิดครั้งนี้ทำที่โรงพยาบาลป่าซาง จังหวัดลำพูน แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มควบคุมได้รับ enalapril ขนาดสูง (30 - 40 mg/วัน) และกลุ่มทดลองได้รับ enalapril ขนาดต่ำ (5 - 20 mg ต่อวัน) ร่วมกับ manidipine (10 - 20 mg/วัน) เก็บข้อมูล 24 สัปดาห์ ติดตามผลการรักษา 3 ครั้ง (วันที่ 0, สัปดาห์ที่ 12 ± 2, และสัปดาห์ที่ 24 ± 2) วิเคราะห์ผลแบบ modified intention to treat ในผู้ป่วยที่ได้รับยาที่ใช้ในการศึกษาอย่างน้อย 1 ครั้ง ทดสอบความแตกต่างของตัวแปรระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ t-test หรือ Fisher’s exact test และเปรียบเทียบผลการรักษาโดยใช้ Generalized Estimating Equation (GEE) <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> enalapril ขนาดสูง และ enalapril ขนาดต่ำร่วมกับ manidipine ลดระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยที่มีภาวะอัลบูมินนูเรียได้ดีไม่แตกต่างกัน การใช้ enalapril ขนาดสูงมีประสิทธิภาพในการลดระดับ UACR (urine albumin to creatinine ratio) ในผู้ป่วยที่มีภาวะแมคโครอัลบูมินนูเรียมากกว่าการใช้ enalapril ขนาดต่ำร่วมกับ manidipine อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ประสิทธิภาพของการรักษาทั้งสองรูปแบบในผู้ป่วยที่มีภาวะไมโครอัลบูมินนูเรียไม่แตกต่างกัน ในด้านความปลอดภัยผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับ enalapril ขนาดสูงเกิดอาการไอสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ enalapril ขนาดต่ำร่วมกับ manidipine อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับอาการข้างเคียงอื่น ๆ พบอุบัติการณ์ไม่แตกต่างกัน <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ยังไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้และมีภาวะแมคโครอัลบูมินนูเรียแนะนำให้รักษาด้วยยา enalapril ขนาดสูง ผู้ป่วยที่มีภาวะไมโครอัลบูมินนูเรียสามารถให้การรักษาได้ทั้งการใช้ enalapril ขนาดต่ำร่วมกับ manidipine และการใช้ enalapril ขนาดสูง</p> อธิชา ฉันทวุฒินันท์, สุระรอง ชินวงศ์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270337 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเอไอแชทบอทเป็นเครื่องมือสอบถามอันตรกิริยาระหว่างสมุนไพรและไซโตโครม พี450 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270356 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาเอไอแชทบอทเป็นเครื่องมือสอบถามอันตรกิริยาระหว่างสมุนไพรและไซโตโครม พี450 (CYP450) และประเมินความถูกต้องและความเหมาะสมต่อการใช้งานเอไอแชทบอทดังกล่าว <strong> วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาประกอบด้วย 2 ระยะ ได้แก่ 1. การพัฒนาเอไอแชทบอทจากข้อมูลอันตรกิริยาระหว่างสมุนไพรและ CYP450 ที่ผ่านการสืบค้นและประเมินอย่างเป็นระบบแล้ว โดยใช้แพลตฟอร์ม Google Sheet เชื่อมต่อกับ Dialogflow และแอปพลิเคชัน Line และ 2. การประเมินแชทบอทโดยเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 ท่าน ประกอบด้วยเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอันตรกิริยาระหว่างยาหรือสมุนไพร 7 ท่าน และเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศศาสตร์ทางสุขภาพ 3 ท่าน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> เอไอแชทบอทที่พัฒนาสามารถตอบคำถามในเรื่องข้อมูลอันตรกิริยาระหว่างสมุนไพรและ CYP450 ได้ 5 isoforms ได้แก่ CYP3A4, CYP1A2, CYP2D6, CYP2C9 และ CYP2C19 ผลการประเมินแชทบอท 5 ด้าน ได้แก่ 1) ประสิทธิภาพในการทำงานของเอไอแชทบอท 2) ความง่ายต่อการใช้งาน 3) ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม 4) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้แชทบอท และ 5) ความพึงพอใจโดยรวม พบค่าคะแนนรวมเฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับมาก (4.44 ± 0.60 จากคะแนนเต็ม 5) และมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในด้านความง่ายต่อการใช้งาน (4.53 ± 0.52) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> เอไอแชทบอทสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือสอบถามอันตรกิริยาระหว่างสมุนไพรและ CYP450 ได้ด้วยความพึงพอใจในระดับสูง ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงแชทบอทให้ตอบคำถามได้ครบถ้วนตามความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น</p> พิชญา สมานมิตร, ลาวัลย์ ศรัทธาพุทธ, นัทที พรประภา (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270356 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ความท้าทาย การปรับตัว และการเตรียมความพร้อมรับมือความท้าทาย ในการให้บริการเมทาโดนระยะยาวของโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 1 และ 2 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270407 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อสำรวจความท้าทาย การปรับตัว และการเตรียมความพร้อมรับมือความท้าทายในอนาคตของโรงพยาบาลรัฐ ในเขตสุขภาพที่ 1 และ 2 ที่ให้บริการเมทาโดนระยะยาว (methadone maintenance therapy : MMT) <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งประกอบด้วยคำถาม 4 ส่วน ได้แก่ 1) ความท้าทายในการรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดของบริการ MMT; 2) การปรับตัวของบริการ MMT ให้เหมาะกับพื้นที่; 3) ปัจจัยที่สนับสนุนการยอมรับและขยายบริการ MMT; และ 4) การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ท้าทาย การศึกษาเก็บข้อมูลระหว่างกันยายน 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> โรงพยาบาล 37 แห่ง ในเขต 1 และ 2 ที่เปิดบริการ MMT ตอบกลับแบบสอบถาม โรงพยาบาลได้เผชิญความท้าทายทั้งแบบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรง เช่น การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส 2019 และความท้าทายที่เป็นแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากลักษณะของโรคสมองติดยา บริบทผู้เสพติดสารกลุ่มโอปิออยด์ เช่น พฤติกรรมของผู้ป่วย บริบททางสังคม และข้อจำกัดด้านความพร้อมของระบบบริการ โรงพยาบาลผ่านการปรับตัวโดยเฉพาะด้านกำลังคน ด้านแนวทางปฏิบัติ ด้านสถานที่และอุปกรณ์ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำแผนอัตรากำลังและอุปกรณ์สำรองให้พร้อมใช้ การออกแบบแนวทางการให้บริการที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และความพร้อมของเจ้าหน้าที่เป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้เกิดการยอมรับและขยายการบริการ MMT อย่างยั่งยืนในชุมชน <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> บริการ MMT พบความท้าทายของการดำเนินงานโดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต โรงพยาบาลได้ตอบสนองและปรับตัวในการพัฒนาบริการที่แตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นต้องอาศัยหลายกลไกทั้งในและนอกระบบบริการสุขภาพ เพื่อสนับสนุนให้ระบบบริการคงบริการในสถานการณ์วิกฤตและเติบโตยั่งยืนต่อไป</p> กรุณา สุขทอง, ศิริตรี สุทธจิตต์, พักตร์วิภา สุวรรณพรหม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270407 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา: การศึกษาการใช้ทะเบียนจัดการ ความเสี่ยงโดยบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270549 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการความเสี่ยงในการป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา (medication errors; MEs) โดยใช้ทะเบียนจัดการความเสี่ยง (risk register: RR) ตามบริบทของโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนาโดยอาศัยความร่วมมือของบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการใช้ยา ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล แพทย์แผนไทย เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และเจ้าหน้าที่ห้องยา รวม 50 คนเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการความเสี่ยงในการป้องกัน MEs กระบวนการวิจัยประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผนการดำเนินงาน 2) การลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ 3) การสังเกตการณ์ปฏิบัติตามแผน 4) การสะท้อนผลและการปรับปรุงแผน และ 5) การประเมินความพึงพอใจของบุคลากรหลังการพัฒนากระบวนการ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> กระบวนการจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกัน MEs ที่พัฒนาขึ้นจากกระบวนการเดิม คือ 1) การนำข้อมูล MEs มาจัดลำดับความสำคัญ 2) การกำหนดผู้รับผิดชอบหลักใน MEs แต่ละประเภท 3) การนำ MEs มาขึ้นทะเบียนใน “risk register on google drive” 4) การออกแบบมาตรการเพื่อป้องกัน MEs และการสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงานผ่านทางโปรแกรม “คู่มือ/แนวทางปฏิบัติ/CPG” และ 5) การติดตามระดับความเสี่ยงและทบทวนมาตรการป้องกัน MEs ตามรอบที่กำหนด หลังการใช้มาตรการป้องกัน MEs พบว่า MEs ที่มีความรุนแรงระดับ E ขึ้นไปลดลงจากร้อยละ 2.08 เป็น 0 ระดับ C-D ลดลงจากร้อยละ 21.53 เป็น 10.00 และระดับ A-B เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 76.39 เป็น 90.00 การประเมินความพึงพอใจของบุคลากรทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ กระบวนการทำงาน บุคลากร ผลลัพธ์ของการดำเนินการ และการสื่อสาร พบว่าอยู่ในระดับมาก<strong> สรุป</strong><strong>:</strong> การพัฒนากระบวนการในการจัดการความเสี่ยงโดยใช้ RR ทำให้สามารถดักจับ MEs ได้มากขึ้น และทำให้อันตรายจาก MEs ในผู้ป่วยลดลง</p> สุวคนธ์ กลมกูล, วิบูลย์ วัฒนนามกุล (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270549 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ความสอดคล้องต่อการปฏิบัติงานจริงของกรอบสมรรถนะด้านเภสัชสาธารณสุขสำหรับเภสัชกรไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270806 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องต่อการปฏิบัติงานจริงของกรอบสมรรถนะด้านเภสัชสาธารณสุขสำหรับเภสัชกรไทยที่ถูกพัฒนาขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีขอบเขตและผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงโดยผู้เชี่ยวชาญในงานวิจัยก่อนหน้า <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางในเภสัชกรทั่วประเทศไทยตลอดห่วงโซ่อุปทานยา จำนวน 394 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินออนไลน์ในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม พ.ศ.2566 กลุ่มตัวอย่างประเมินความสอดคล้องต่อการปฏิบัติงานจริงของกรอบสมรรถนะด้านเภสัชสาธารณสุขบนมาตรวัด 4 ระดับจาก 1 (ไม่สอดคล้อง) ถึง 4 (สอดคล้องอย่างยิ่ง) กรอบสมรรถนะประกอบด้วย 5 กลุ่มสมรรถนะ 17 สมรรถนะ และ 54 สมรรถนะเชิงพฤติกรรม การศึกษาวิเคราะห์กลุ่มย่อยเพื่อหาความแตกต่างของผลการประเมินระหว่างเภสัชกรที่มีลักษณะงานต่างกัน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> คะแนนรวมของกรอบสมรรถนะด้านเภสัชสาธารณสุขมีความสอดคล้องต่อการปฏิบัติงานจริงในระดับปานกลาง 2.90 ± 0.67 (จากคะแนนเต็ม 4) กลุ่มสมรรถนะที่มีความสอดคล้องเรียงลำดับจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด ได้แก่ การสื่อสารเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ (3.48 ± 0.70) การสร้างเสริมสุขภาพระดับบุคคลและครอบครัว (2.89 ± 0.74) การจัดการข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ (2.78 ± 0.86) ระบาดวิทยาด้านเภสัชศาสตร์และการสนับสนุนภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและโรคระบาด (2.70 ± 0.95) และ การเสริมพลังชุมชนเพื่อชุมชนมีสุขภาวะ (2.68 ± 0.85) กลุ่มเภสัชกรที่ลักษณะงานเน้นผลิตภัณฑ์ยามีค่าเฉลี่ยคะแนนความสอดคล้องน้อยกว่าลักษณะงานอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สมรรถนะเชิงพฤติกรรมส่วนใหญ่ถูกประเมินว่าเป็นสมรรถนะสำหรับเภสัชกรทั้งระดับเริ่มต้นและระดับสูง (ร้อยละ 94.44 ของสมรรถนะเชิงพฤติกรรมทั้งหมด)<strong> สรุป</strong><strong>:</strong> ความสอดคล้องต่อการปฏิบัติงานจริงของกรอบสมรรถนะด้านเภสัชสาธารณสุขที่พัฒนาขึ้นมีความแตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะงาน ผลการศึกษาครั้งนี้เป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการออกแบบสมรรถนะเภสัชกรไทยให้ตอบสนองต่อระบบสาธารณสุขไทยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p> ธนายุต อุ้ยเมฆากุล, ศิริตรี สุทธจิตต์ , พักตร์วิภา สุวรรณพรหม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270806 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครื่องมือบ่งชี้ทางคลินิกในการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำ ในผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับยาเคมีบำบัด ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270877 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาเครื่องมือบ่งชี้ทางคลินิกในการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำจากยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งปอด <strong>วิธีการ:</strong> การศึกษารูปแบบ retrospective cohort study เก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนและเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เข้ารับการรักษาในระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565 กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำและกลุ่มที่ไม่เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำ การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ กับภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำ จากนั้นนำผลที่ได้ไปพัฒนาเครื่องบ่งชี้ทางคลินิกโดยการถ่วงน้ำหนักคะแนนด้วยสถิติ mixed effect model การศึกษาหาจุดตัดของคะแนนเสี่ยงด้วยวิธีการโค้ง receiver operating characteristic (ROC) และนำเสนอความสามารถของคะแนนเสี่ยงในการทำนายภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำ <strong>ผลการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่าง 799 รายที่เข้ารับการรักษาทั้งหมด 2,617 ครั้ง เกิดภาวะเม็ดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำ 20 ครั้ง และไม่เกิดภาวะดังกล่าว 2,597 ครั้ง ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลก่อนการเข้ารับยาเคมีบำบัดที่น้อยกว่า 3,000 cell<strong>/</strong>mm<sup>3</sup> การได้รับยาเคมีบำบัดกลุ่ม platinums กลุ่ม vinca alkaloids และกลุ่ม topoisomerase II inhibitors เมื่อนำปัจจัยที่พบมาพัฒนาเกณฑ์คะแนนเสี่ยง ได้คะแนนเสี่ยงที่มีช่วงคะแนน 0 - 6<strong>.</strong>5 คะแนน พื้นที่ใต้โค้ง ROC เท่ากับร้อยละ 83<strong>.</strong>63 จุดตัดคะแนนที่ได้มีดังนี้ ความเสี่ยงต่ำ (&lt; 2<strong>.</strong>0 คะแนน) ความเสี่ยงปานกลาง (2<strong>.</strong>0 - 2<strong>.</strong>5 คะแนน) และความเสี่ยงสูง (&gt; 2<strong>.</strong>5 คะแนน) ได้ค่า LHR<strong>+ </strong>(95%CI) เท่ากับ 0<strong>.</strong>37 (0<strong>.</strong>19 - 0<strong>.</strong>73), 2<strong>.</strong>54 (1<strong>.</strong>55 - 4<strong>.</strong>14), และ 12<strong>.</strong>99 (5<strong>.</strong>79 - 29<strong>.</strong>11) ตามลำดับ <strong>สรุป:</strong> เครื่องมือบ่งชี้ทางคลินิกที่พัฒนาขึ้นเพื่อทำนายการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำจากยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งปอด มีความถูกต้องสูงและมีความสามารถในการทำนายดี อย่างไรก็ตามควรมีการทดสอบยืนยันก่อนนำไปใช้ในสถานพยาบาลอื่น ๆ ที่มีบริบทแตกต่างออกไป</p> พิชญุตม์ รัตนธัญพัทธ์, นราวดี เนียมหุ่น, อภิชาต ตันตระวรศิลป์, บุษยมาส ชีวสกุลยง, ชิดชนก เรือนก้อน (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/270877 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบวิธีการรักษาแบบเฉพาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ โรงพยาบาลเศรษฐาธิราช สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/271147 <p>เพื่อออกแบบวิธีการรักษาแบบเฉพาะราย (tailor-made interventions: TMIs) ในผู้ป่วยโรคเบาหวานของโรงพยาบาลเศรษฐาธิราชในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป ลาว) <strong>วิธีการ:</strong> การศึกษานี้ดำเนินการที่คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลเศรษฐาธิราช สปป.ลาว การศึกษาแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวางในผู้ป่วยอายุ 45 ปี ขึ้นไปที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 โดยอาจมีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ มีค่า HbA1c ตั้งแต่ 7% ขึ้นไปและระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 130 mg/dL ความรู้เรื่องโรคเบาหวานและวิธีการจัดการของผู้ป่วยวัดด้วยแบบวัด Diabetes Knowledge Questionnaires (DKQ) จำนวน 24 ข้อ แบบวัด Brief Medication Questionnaires (BMQ) ใช้เพื่อประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย การค้นหาและการจัดประเภทปัญหาการใช้ยา (drug-related problems: DRPs) ใช้เกณฑ์ของ Pharmaceutical Care Network Europe working group (PCNE Version 9.1, 2020) การศึกษาระยะที่ 2 เป็นการสัมภาษณ์แบบกลุ่มระหว่างทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานในคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลเศรษฐาธิราช โดยอาศัยข้อมูลจากวิจัยระยะที่ 1 การสัมภาษณ์เป็นการระดมสมองและออกแบบ TMIs ที่เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเข้าร่วมการศึกษา 110 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง (ร้อยละ 59.1) อายุเฉลี่ย 56.00±9.20 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารเฉลี่ยอยู่ที่ 185 ± 65.31 mg/dLและ HbA1c เฉลี่ย คือ ร้อยละ 9.26±1.94 ตัวอย่างส่วนใหญ่ (86 รายหรือร้อยละ 78.18) มีคะแนนเมื่อประเมินด้วยแบบวัด DKQ อยู่ระหว่าง 9 to 18 จากคะแนนเต็ม 24 ผู้ป่วยร้อยละ 40 ไม่ร่วมมือในการใช้ยาเมื่อประเมินด้วย BMQ ประเภทของ DRP ที่พบบ่อยที่สุด คือ “P1.1 ไม่มีผลของการรักษาด้วยยา” (ร้อยละ 85 ของผู้ป่วย) การศึกษาในระยะที่ 2 พบ 3 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา TMIs คือ มุมมองด้านการให้บริการปัจจุบัน มุมมองเกี่ยวกับอุปสรรคภายในองค์กรต่อการให้บริการผู้ป่วย และบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์ใน TMIs ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะให้ใช้เครื่องมือในการประเมินและให้ความรู้ ตลอดจนข้อเสนอต่อบทบาทของเภสัชกรใน TMIs ร่วมกับแพทย์และพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่พบ DRPs และมีผลการรักษาที่ไม่ดี <strong>สรุป</strong>: ทีมบุคลาการทางการแพทย์เห็นพ้องกันถึงความสำคัญของ TMIs ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มีปัญหาการไม่ใช้ยาตามสั่งและมีผลลัพธ์การรักษาไม่ดี รูปแบบการให้บริการนี้น่าจะช่วยเพิ่มมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย และยังช่วยให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพของผู้ป่วยดียิ่งขึ้น</p> สำเร็จ ศรีเมืองบา, ภัทรินทร์ กิตติบุญญาคุณ, วนรัตน์ อนุสรณ์เสงี่ยม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/271147 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้ข่าวสารและอันตรายเกี่ยวกับการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และวิธีการล้างผักคะน้าของผู้บริโภค ณ ตลาดหนองแคน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/271436 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาการรับรู้ข่าวสาร การรับรู้อันตราย ประสบการณ์การได้รับอันตราย ความรู้เกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และวิธีการล้างทำความสะอาดผักคะน้าก่อนนำมาบริโภคของผู้บริโภค ณ ตลาดหนองแคน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคผักคะน้าที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ถึง 65 ปีที่ซื้อผักคะน้าในตลาดหนองแคน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นผู้ที่เตรียมผักคะน้าก่อนนำไปประกอบอาหารรับประทานเองในครัวเรือน การศึกษาใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญจำนวน 372 คน การศึกษาใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลระหว่างเดือน สิงหาคม ถึง ธันวาคม 2564 <strong>ผลการวิจัย:</strong> ตัวอย่างร้อยละ 87.6 เคยได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตัวอย่างร้อยละ 92.7 รับรู้ว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ปนเปื้อนในผักคะน้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตัวอย่างร้อยละ 9.7 เคยได้รับอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ปนเปื้อนในผักคะน้า โดยมีอาการต่างๆ ดังนี้ คือ คลื่นไส้/อาเจียน (9 คน) ท้องเสีย (7 คน) วิงเวียน/เวียนศีรษะ (6 คน) ปวดศีรษะ/มึนงง/หน้ามืด (3 คน) ปวดท้อง (3 คน) อาหารเป็นพิษ (1 คน) ผื่นแดง (1 คน) ระคายคอ (1 คน) และคันริมฝีปาก (1 คน) ตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเท่ากับ 7.8±1.6 (คะแนนเต็ม 10) ตัวอย่างทุกคนได้ล้างทำความสะอาดผักคะน้าก่อนการบริโภค วิธีการล้างแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 1) ล้างด้วยน้ำและแช่ด้วยน้ำ 2) ล้างด้วยน้ำและแช่ด้วยน้ำผสมสารต่าง ๆ อีก 1 ชนิด และ 3) ล้างด้วยน้ำและแช่ด้วยน้ำผสมสารต่างๆ มากกว่า 1 ชนิด <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ตัวอย่างส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารและอันตรายเกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตัวอย่างบางส่วนเคยได้รับอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ปนเปื้อน ตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยสามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง ตัวอย่างทุกคนล้างผักคะน้าก่อนการบริโภค ข้อมูลจากงานวิจัยนี้สามารถนำไปสร้างโปรแกรมให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเพื่อป้องกันอันตรายและลดการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช</p> พิไลพร วันพฤติ, ไพบูลย์ ดาวสดใส, ทิพาพร กาญจนราช, สุทิน ชนะบุญ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/271436 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมโดย อาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลโคกยาง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277312 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อประเมินประสิทธิของผลรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) โคกยาง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง <strong>วิธีการ</strong>: การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองในตัวอย่างกลุ่มเดียวที่วัดผลก่อนและหลังการแทรกแซง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในพื้นที่รับผิดชอบของ รพสต. โคกยาง จำนวน 50 คน การศึกษาดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง ธันวาคม 2567 กิจกรรมหลักของรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ 1) กิจกรรมสร้างสัมพันธภาพ โดยตรวจคัดกรองและตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ให้ความรู้เรื่องการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม และสร้างเครือข่ายออกกําลังกายผ้าขาวม้า 2) กิจกรรมการเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุในชุมชนและบัดดี้ผู้สูงวัย และ 3) กิจกรรมออกกำลังกายป้องกันภาวะสมองเสื่อม เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบทดสอบสมรรถภาพของสมองเบื้องต้น (Thai Mini-Mental State Examination หรือ TMSE-Thai) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม และแบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันภาวะสมองเสื่อม การประเมินทำก่อนให้การแทรกแซงและหลังให้การแทรกแซงเป็นเวลา 6 สัปดาห์<strong> ผลการศึกษา</strong>: คะแนนเฉลี่ยของสมรรถภาพของสมองหลังใช้รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (29.10±1.58 และ 28.25±1.89 ตามลำดับ; P&lt;0.05) คะแนนเฉลี่ยของความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม (13.92±1.07 และ 8.72±6.29 ตามลำดับ) และพฤติกรรมการป้องกันภาวะสมองเสื่อม (2.14±0.35 และ 1.96±0.19 ตามลำดับ) มีลักษณะเช่นเดียวกัน <strong>สรุป</strong>: การมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุในการดูแลสุขภาพของตนเอง ผู้เกี่ยวข้องสามารถนำรูปแบบการดำเนินการในการวิจัยนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุในบริบทของชุมชนอื่นได้ต่อไป</p> อุษณา โกเอี้ยน, บุบผา รักษานาม, สุขุมาภรณ์ ศรีวิศิษฐ, ภานุพงศ์ สยังกุล, ปรีชา ถิ่นนัยธร, เกริกพล ดิสสระ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277312 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700 บุคคลสำคัญ: รศ. ดร. ภญ.เฉลิมศรี ภุมมางกูร ผู้บุกเบิกการสอนและงานเภสัชกรรมคลินิกของไทย ตอนที่ 2: ชีวิตการทำงานช่วงต้น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276141 บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276141 Thu, 20 Mar 2025 00:00:00 +0700