วารสารเภสัชกรรมไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเป็นวารสารวิชาการอิเล็กทรอนิกส์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วารสารฯ มีวัตถุประสงค์คือเป็นสื่อกลางเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิชาการระหว่างนักวิจัยด้านเภสัชกรรม เภสัชกร นักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ ตลอดจนเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา</p> <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทางเภสัชกรรม ได้แก่การบริบาลทางเภสัชกรรม เภสัชกรรมสังคม การบริหารเภสัชกิจ เศรษฐศาสตร์ทางยา ระบาดวิทยาของยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เภสัชสาธารณสุข เภสัชพฤติกรรมศาสตร์ การคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ นิติเภสัชกรรม จริยศาสตร์เภสัชกรรม นโยบายด้านยาและสุขภาพ การประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางสังคมและการบริหารในการปฏิบัติงานเภสัชกรรม</p> <p> ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมไทย คือ บทความวิจัยต้นฉบับ บทความทบทวนวรรณกรรมทั้งแบบเชิงบรรยาย (review article) การวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) และการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) </p> <p> ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 วารสารได้เพิ่มจำนวนเล่มจาก 2 เป็น 4 ฉบับต่อปี ดังนี้ เล่มที่ 1 (มกราคม-มีนาคม) เล่มที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) เล่มที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) และเล่มที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม)</p> th-TH <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความคิดเห็นและอยู่ในความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ มิใช่ความเห็นหรือความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ หรือคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากการพิมพ์&nbsp; บทความที่ได้รับการเผยแพร่โดยวารสารเภสัชกรรมไทยถือเป็นสิทธิ์ของวารสารฯ&nbsp;</p> [email protected] (Assoc Prof Sanguan Lerkiatbundit) [email protected] (Phakjira Kitipanasin ) Sun, 17 Mar 2024 11:05:33 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปกและสารบัญ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262133 บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262133 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 บุคคลสำคัญ: เภสัชกรหญิงอิ่มศรี เกิดทรัพย์ศรี ตอนที่ 2: การพัฒนางานเภสัชกรรมโรงพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/263598 บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/263598 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลของการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาระหว่างการรักษาในระยะเข้มข้น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/258262 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เปรียบเทียบผลก่อนและหลังการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาในระหว่างการรักษาในระยะเข้มข้น <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษาแบบกึ่งทดลองในผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาในการรักษาระยะเข้มข้นครั้งนี้ ทำในโรงพยาบาลบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ระหว่าง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ถึง เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 การศึกษาคัดเลือกผู้ป่วยที่ไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาเข้าการศึกษาโดยวิธีนับเม็ดยาที่เหลือหลังจากผู้ป่วยรับประทานยา 14 วัน การแทรกแซง คือ การให้บริบาลทางเภสัชกรรมแบบปกติในโรงพยาบาล 3 ครั้ง คือ ในวันที่ 14, 28 และ 56 หลังเริ่มรับประทานยาและการลงเยี่ยมบ้านโดยเภสัชกร 1 ครั้ง ในวันที่ 21 หลังเริ่มรับประทานยา การเยี่ยมบ้านใช้เครื่องมือ INHOMESS สอนการ DOT (direct observe treatment) แก่ผู้ดูแล ร่วมกับค้นหาและแก้ไข DRPs และให้ความรู้ด้านยาแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยวัณโรคปอดจำนวน 117 รายหลังได้รับยานาน 14 วันพบว่ามีผู้ที่ไม่ให้ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา 40 ราย (ร้อยละ 34.19) และถูกเชิญเข้าร่วมการศึกษาทุกราย การประเมินผลในวันที่ 28 และ 56 หลังการแทรกแซงพบว่า มีผู้ไม่ร่วมมือในการใช้ยาเหลือ 2 รายและ 1 ราย ตามลำดับ การเยี่ยมบ้านในวันที่ 21 หลังเริ่มรับประทานยาพบ DRPs 11 ครั้งในผู้ป่วย 11 คน ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ การเลือกใช้ยาที่ไม่เหมาะสม (5 ครั้ง) เช่น ผู้ป่วยกินยาชง ยาสมุนไพรแก้ปวด หรือยาแคปซูลจากร้านชำ การกินใบกัญชาต้ม การแก้ไขทำโดยจัดการที่ตัวผู้ป่วยมากที่สุด (7 จากทั้งหมด 11 ปัญหา) โดยการปรับทัศนคติในการรักษา ผู้ป่วยมีคะแนนความรู้เรื่องโรคการปฏิบัติตัวและการใช้ยาก่อนให้ความรู้ในวันที่ 14 และหลังการเยี่ยมบ้านในวันที่ 28 เฉลี่ย 9.68±2.17 และ 13.05 ± 1.20 คะแนน ตามลำดับ (P&lt;0.001) เมื่อสิ้นสุดระยะเข้มข้น ผลการตรวจพบเชื้อในเสมหะและเอ็กซเรย์ปอดพบเชื้อในเสมหะทั้งหมด 2 ราย และมีร่องรอยโรคที่ปอด จำนวน 3 ราย คนในครอบครัวช่วยกำกับดูแลการรับประทานยาเพิ่มจาก 22 รายก่อนการบริบาลทางเภสัชกรรมเป็น 35 รายหลังการบริบาลทางเภสัชกรรม<strong> สรุป</strong><strong>: </strong>การบริบาลทางเภสัชกรรมแบบปกติร่วมกับการเยี่ยมบ้านมีประสิทธิภาพที่ดีในการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาต้านวัณโรคในระยะเข้มข้นของการรักษา</p> สมบัติ สุวรรณนันท์, สายทิพย์ สุทธิรักษา, รจเรศ นิธิไพจิตร (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/258262 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ภาวะหมดไฟในการทำงานและความพึงพอใจในการทำงานของเภสัชกรประจำโรงพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260171 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาระดับของภาวะหมดไฟและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะดังกล่าวในเภสัชกรประจำโรงพยาบาล และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะหมดไฟและความพึงพอใจในการทำงาน ตลอดจนแนวทางที่เภสัชกรรายงานว่าใช้เมื่อเกิดภาวะหมดไฟ <strong>วิธีการ</strong>: การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางของเภสัชกรประจำโรงพยาบาลที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งปฏิบัติงานมาอย่างน้อย 1 ปี จำนวน 1,400 คน การเลือกตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามเขตสุขภาพ ผู้วิจัยส่งจดหมายที่มีคิวอาร์โค้ดให้แก่กลุ่มตัวอย่างทางไปรษณีย์ เพื่อให้ตัวอย่างสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อตอบแบบสอบถามออนไลน์ การประเมินภาวะหมดไฟใช้แบบประเมินของ Mashlach และ Jackson หากพบภาวะหมดไฟอยู่ในระดับสูงอย่างน้อย 1 ด้านจะถือว่ามีภาวะหมดไฟ ความพึงพอใจในการทำงานใช้แบบประเมินของ Smith, Kendall และ Hulin การวิเคราะห์หาปัจจัยด้านการทำงานและความพึงพอใจในการทำงานต่อภาวะหมดไฟในการทำงานใช้สถิติ logistic regression <strong>ผลการวิจัย</strong>: เภสัชกรร้อยละ 31.2 ตอบกลับแบบสอบถาม ซึ่งมีความสมบูรณ์สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ 406 ราย เภสัชกรร้อยละ 29.6 มีภาวะหมดไฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ (ร้อยละ 23.4) ผู้ที่ปฏิบัติงาน 1-10 ปีและมีจำนวนชั่วโมงปฏิบัติงานนอกเวลามากกว่า 31 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มีโอกาสเกิดภาวะหมดไฟเป็น 3.82, และ 2.26 เท่าของผู้ที่ไม่มีลักษณะดังกล่าว ขณะที่ความพึงพอใจในการทำงานลักษณะการบังคับบัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของผู้บังคับบัญชาสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟที่ลดลง(odds ratio = 0.57) การผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบเป็นวิธีการลดภาวะหมดไฟที่ทั้งกลุ่มที่มีและไม่มีอาการหมดไฟ เลือกมากที่สุด <strong>สรุป</strong>: หนึ่งในสามของเภสัชกรโรงพยาบาลมีภาวะหมดไฟในการทำงาน ระยะเวลาในการปฏิบัติงานและจำนวนชั่วโมงที่ต้องปฏิบัติงานนอกเวลาเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะหมดไฟ ความพึงพอใจในการทำงานด้านลักษณะการบังคับบัญชาเป็นปัจจัยที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟ แนวทางที่เภสัชกรรายงานว่าเลือกใช้มากที่สุดเมื่อเกิดภาวะหมดไฟ คือ การผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ</p> พชรอร วรรณภีระ, ปวีณา สนธิสมบัติ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260171 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาร้านยาสู่มาตรฐานตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชนในจังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260242 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาร้านยาสู่มาตรฐานตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน (Good Pharmacy Practice: GPP) ในจังหวัดอุดรธานี และประเมินผลของการใช้แนวทางดังกล่าวต่อความสามารถในการปฏิบัติตาม GPP และความพึงพอใจของผู้ประกอบการสถานที่ขายยาแผนปัจจุบันต่อแนวทางฯ <strong>วิธีการ</strong>: การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ตัวอย่าง คือ ร้านขายยาแผนปัจจุบันทุกแห่งในจังหวัดอุดรธานี ผู้วิจัยใช้วงจรคุณภาพ 4 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผน (plan) โดยศึกษาบริบทและผลการตรวจประเมิน GPP จัดอบรมโดยเชิญวิทยากรจากทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามาถ่ายทอดความรู้ และเปิดเวทีสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญโดยผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยผู้ประกอบการสถานที่ขายยาแผนปัจจุบันและพนักงานเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคเพื่อกำหนดแผนพัฒนา และวางแผนสร้างแนวทางฯ 2) การดำเนินการตามแนวทางฯ (do) และการตรวจประเมินร้านยาตามมาตรฐาน GPP 3) การตรวจสอบ (check) ผลที่เกิดขึ้นเพื่อทบทวนแนวทางฯ และ 4) ปรับปรุงแนวทางฯ ตามปัญหาที่พบ (action) และนำมาดำเนินการเป็นวงจรต่อไป <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> แนวทางฯประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์ให้ร้านยาทราบเกณฑ์ GPP และให้ร้านยาทำแบบประเมินตนเองประกอบการตรวจร้านยาตามเกณฑ์ GPP การประเมินความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การจัดการร้านยาในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และการเชิญชวนร้านยาเข้าร่วมโครงการนี้กับหน่วยงานรัฐ 2) การใช้ช่องทาง Line official เพื่อตอบข้อซักถามของผู้ประกอบการร้านยา และ 3) การสนับสนุนอุปกรณ์ เช่น คู่มือ GPP สติ๊กเกอร์ประกอบตามเกณฑ์ จากการใช้แนวทางฯ พบว่า ร้านยาทุกแห่งผ่านการประเมินตาม GPP ค่าเฉลี่ยของคะแนนการประเมินมีดังนี้ หมวดที่ 1 สถานที่ (98.37±3.57) หมวดที่ 2 อุปกรณ์ (100±0.0) หมวดที่ 3 บุคลากร (98.36±4.29) หมวดที่ 4 การควบคุมคุณภาพยา (98.80±2.85) และหมวดที่ 5 วิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน (98.94±1.24) ผู้ประกอบการขายยาแผนปัจจุบันพึงพอใจต่อแนวทางฯ โดยรวมทุกด้านในระดับมากที่สุด (4.66±0.60 จากคะแนนเต็ม 5) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> แนวทางฯที่พัฒนาขึ้นเน้นการเตรียมความพร้อมให้ร้านยาทราบเกณฑ์ GPP ข้อกฎหมายและข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับร้านยาผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย ทำให้สถานที่ขายยาแผนปัจจุบันในจังหวัดสามารถปฏิบัติตาม GPP ได้ทุกแห่ง โดยไม่มีข้อใดได้รับการประเมินในระดับปรับปรุง แต่ยังมีประเด็นที่ต้องพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืน พนักงานเจ้าหน้าที่ควรชี้แจงรายละเอียด ความสำคัญ และเจตนารมณ์ในการใช้แนวทางฯ แก่ผู้ประกอบการร้านขายยาแผนปัจจุบันในการพัฒนาสถานที่ อุปกรณ์ และส่งเสริมให้เกิดงานบริการทางเภสัชกรรมที่ดีในร้านยา การร่วมกันแก้ไขสภาพปัญหาที่เป็นอยู่ต้องไม่เพิ่มภาระแก่ผู้ประกอบการมากนัก การดำเนินการนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร้านยาในจังหวัดอุดรธานีเข้าเป็นหน่วยบริการในระบบประกันสุขภาพต่อไป</p> วาณี ธนสีลังกูล (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260242 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อการจำหน่ายยาไม่เหมาะสม ของร้านชำในอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260244 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อสำรวจความชุกและหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาที่ไม่เหมาะสมในร้านชำของอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี <strong>วิธีการ:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยภาคตัดขวางเชิงสำรวจ การศึกษาใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสำรวจเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการร้านชำจำนวน 400 แห่งในเขตอำเภอจอมบึง ที่เลือกมาด้วยวิธีการแบบสุ่มอย่างง่ายระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 2 กันยายน พ.ศ. 2565 ตัวแปรที่วัดได้แก่ ประเภทยาที่จำหน่าย ลักษณะต่าง ๆ ของผู้ประกอบการและร้านชำ และแรงจูงใจที่เกี่ยวกับการจำหน่ายยาที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยโลจิสติก <strong>ผลการวิจัย: </strong>จำนวนร้านชำที่สำรวจทั้งสิ้น 250 ร้าน พบร้านชำที่จำหน่ายยาจำนวน 179 ร้าน โดยจำหน่ายยาที่ไม่เหมาะสมหรือยาที่ไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้าน จำนวน 136 ร้าน (ร้อยละ 75.98) ส่วนใหญ่จำหน่ายยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ยาอันตราย และผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สมุนไพรขายทั่วไปโดยไม่มีใบอนุญาตขาย ร้อยละ 67.65, 57.35 และ 63.24 ตามลำดับ พบการจำหน่ายยาอันตรายกลุ่มยาปฏิชีวนะ กลุ่มยา NSAIDs และยาชุดในร้านชำร้อยละ 12.50,10.29, และ 5.15 ตามลำดับ พบยาหมดอายุในร้านชำร้อยละ 12.29 แหล่งที่มาของยาที่ไม่เหมาะสมคือ ร้านขายยาแผนปัจจุบัน ร้อยละ 75.74 รองลงมาคือ ร้านขายส่งร้อยละ 13.97 แหล่งที่มาส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอจอมบึง (ร้อยละ 79.41) ความต้องการของคนในชุมชนเป็นแรงจูงใจในการจำหน่ายยาที่ไม่เหมาะสมของร้านชำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=4.25, 95%CI=1.23-14.71; P=0.022) ปัจจัยอื่นที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมดังกล่าว ได้แก่ ระยะทางระหว่างร้านชำถึงร้านยา (OR=0.92, 95%CI=0.85-0.99; P=0.044) <strong>สรุป: </strong>ร้านชำในอำเภอจอมบึงมีความชุกสูงในการจำหน่ายยาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยจากการใช้ยาได้ การจำกัดหรือแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และภาครัฐทั้งการดำเนินของเชิงรับและเชิงรุก</p> เฉลิมพงษ์ ลิมสัมนาภรณ์, คณิตา ดวงแจ่มกาญจน์, นิวัฒน์ ศักดิ์สิทธิ์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260244 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 กระบวนการตัดสินใจซื้อยาสมุนไพรและอาหารที่มีการแสดงสรรพคุณ เป็นยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรังในอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260270 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษากระบวนการตัดสินใจซื้อยาสมุนไพรและอาหารที่แสดงสรรพคุณเป็นยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรังอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม <strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำนวน 14 คนในตำบลบ่อใหญ่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ที่เคยซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ จำนวน 1 ครั้งขึ้นไปใน 3 เดือนที่ผ่านมา การเก็บข้อมูลดำเนินการตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2562 ถึงมกราคม 2563 <strong>ผลการวิจัย: </strong>กระบวนการตัดสินใจซื้อยาสมุนไพรและอาหารที่มีการแสดงสรรพคุณเป็นยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรังนั้นมี ปัจจัยที่ส่งผลกระทบดังต่อไปนี้ ลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ รายได้ โรคประจำตัว อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ และความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับยาสเตียรอยด์ ส่งผลต่อการตัดสินใจในขั้นตอนการตระหนักถึงปัญหา การประเมินผลทางเลือก และการตัดสินใจซื้อ กลุ่มอ้างอิงหรือบุคคลอื่นในสังคมรอบตัว ได้แก่ เพื่อน เพื่อนบ้าน คนใกล้ชิด และกลุ่มคนที่ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุหรือโทรทัศน์นั้น ส่งผลต่อขั้นตอนการค้นหาข้อมูลและประเมินผลทางเลือก แรงจูงใจ ความเชื่อ และประสบการณ์ตรงที่มีต่อผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในปัจจุบันมีผลต่อขั้นตอนสุดท้าย คือ การตัดสินใจซื้อ สิ่งกระตุ้นทางการตลาดด้านการโฆษณามีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อมากที่สุดทั้งในขั้นตอนการค้นหาข้อมูลและการประเมินผลทางเลือก <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ควรมีการสร้างเสริมความรู้และความเชื่อที่ถูกต้องในด้านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ปลอดภัย อีกทั้งภาครัฐควรพัฒนาสื่อการให้ความรู้และความตระหนักในด้านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบของสื่อเป็นรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่สื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงการดำเนินการด้านกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับสื่อโฆษณาที่ไม่เหมาะสมและผู้ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพภายในชุมชน</p> วรรษมน สัจจพงษ์, ศราวุฒิ อู่พุฒินันท์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260270 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของนิสิตปริญญาตรี ในรายวิชาฉลาดบริโภคยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260329 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตในรายวิชาฉลาดบริโภคยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong>การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้เก็บข้อมูลกับนิสิต จำนวน 166 คน โดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ Spearman rank-order correlation coefficient เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคฯ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนิสิตหญิง (ร้อยละ 57.8) อายุเฉลี่ย 19.59±1.07 ปี <em>มีคะแนน</em>ความรอบรู้ด้านสุขภาพเฉลี่ย 71.95±12.24 (เต็ม 88 คะแนน) <em>และคะแนน</em>พฤติกรรมการป้องกันโรคฯ เฉลี่ย 27.31±3.91 (เต็ม 33 คะแนน) ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับพฤติกรรมการป้องกันโรคฯ <em>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ </em>(r<sub>s</sub> = 0.345, P&lt;0.001) <em> </em><em><strong>สรุป</strong></em><em>: การสร้างเสริมให้นิสิตมี</em>พฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่าง<em>เหมาะสมนั้น ควรทำโดยพัฒนานิสิตให้เกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านกิจกรรมหรือสื่อช่องทางต่าง ๆ </em></p> สมศักดิ์ อาภาศรีทองสกุล, อิสรา จุมมาลี (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260329 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการ NCD Delivery โรงพยาบาลพานในมุมมองของผู้ให้บริการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260447 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อประเมินความคิดเห็นในมุมมองของผู้ให้บริการที่มีต่อโครงการ NCD delivery โรงพยาบาลพานตามกรอบแนวคิดของ CIPP<sub>IEST</sub> Model <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>โครงการ NCD delivery หรือโครงการของโรงพยาบาลพานที่ส่งยาให้กับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึงบ้านเป็นรายบุคคล โดยนำส่งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อประสานต่อให้อาสาสมัครทางสาธารณสุขประจำพื้นที่จัดส่งยาไปให้ผู้ป่วยแต่ละคนตามบ้าน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยการศึกษาเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามชนิดที่ตอบด้วยตนเองในผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลพาน 58 คน ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 41 คน ส่วนการศึกษาเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลพาน 16 คน ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 7 คน และอาสาสมัครสาธารณสุข 7 คน ข้อมูลที่เก็บ คือ ความคิดเห็นที่มีต่อโครงการตามกรอบแนวคิด CIPP<sub>IEST</sub> Model ทั้ง 8 ด้าน ได้แก่ บริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลิต ผลกระทบ ประสิทธิผล ความยั่งยืน และการถ่ายโยงความรู้ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ผลการสำรวจด้วยแบบสอบถามพบว่า คะแนนเฉลี่ยด้านประสิทธิผลมีค่าสูงที่สุด (3.92<u>+</u>0.79 จากคะแนนเต็ม 5) ซึ่งสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์เชิงลึกที่กล่าวว่าเป็นโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้รับบริการ และตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ความเหมาะสมด้านกระบวนการมีคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด (3.31<u>+</u>0.84 จากคะแนนเต็ม 5) ซึ่งสอดคล้องกับการสัมภาษณ์เชิงลึกซึ่งพบว่า ควรปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานให้รัดกุมและชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ปัญหาหลักในด้านกระบวนการปฏิบัติงานคือผู้ป่วยไม่ได้รับยา จึงควรมีการถอดบทเรียนเพื่อเรียนรู้ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ให้บริการเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า NCD delivery เป็นโครงการที่เกิดประโยชน์สูงสุดและตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างดีเยี่ยม แต่ต้องปรับปรุงโดยเฉพาะด้านกระบวนการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น</p> วราภรณ์ โชติธนานุรักษ์, อารีวรรณ เชี่ยวชาญวัฒนา (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260447 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ไม่เหมาะสมในร้านชำภายในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260450 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการจัดการปัญหาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่เหมาะสมในร้านชำภายในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนาที่จัดการปัญหาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่เหมาะสมในร้านชำ 53 ร้านในพื้นที่อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา โดยนำรูปแบบการจัดการปัญหาที่ชื่อว่า PERMMPAN GROCERY MODEL 1.1 มาทดลองใช้ในหนึ่งหมู่บ้านที่มีร้านชำทั้งหมดสามร้าน แล้วนำไปขยายผลในพื้นที่ใหญ่ขึ้นครอบคลุมทั้งอำเภอรัตภูมิใน 11 หมู่บ้านซึ่งมีร้านชำทั้งหมด 50 ร้าน PERMMPAN GROCERY MODEL 1.1 มีองค์ประกอบหลักได้แก่ P (Participation) หรือความร่วมมือกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง E (Evaluation) หรือการประเมินมาตรฐานร้านชำ R (Recommendation) หรือการให้ข้อเสนอแนะในประเด็นที่สำคัญ M (Motivation) หรือ การกระตุ้น M (MOU) หรือการทำข้อตกลงความร่วมมือ P (Practice) หรือการฝึกตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ A (Ability) หรือการพัฒนาศักยภาพ และ N (Network) หรือการมีเครือข่ายเฝ้าระวัง การประเมินผลทำในช่วงก่อนและหลังการแทรกแซง 1 เดือนโดยการวัดความรู้และการปฏิบัติเรื่องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพของผู้ประกอบการร้านชำโดยใช้แบบสอบถาม การประเมินตามเกณฑ์ร้านชำติดดาว และชุมชนปลอดยาอันตราย <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> หลังใช้รูปแบบการจัดการปัญหาพบว่า ความรู้เรื่องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพในร้านชำโดยรวมของผู้ประกอบการร้านชำเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 9.94±2.94 ในช่วงก่อนการวิจัยเป็น 12.82±2.78 (จากคะแนนเต็ม 16) ในช่วงหลังการจัดการฯ (P&lt;0.001) หากพิจารณาความรู้รายด้าน พบว่า ผู้ประกอบการร้านชำมีความรู้เรื่องการดูฉลากผลิตภัณฑ์สุขภาพเพิ่มขึ้นจาก 3.96±1.42 เป็น 5.04±1.21 (จากคะแนนเต็ม 6, P&lt;0.001) ความรู้เฉลี่ยเรื่องการดูวันที่ผลิตวันที่หมดอายุเพิ่มขึ้นจาก 0.86±0.76 เป็น 1.78±1.15 (จากคะแนนเต็ม 3, P&lt;0.001) ความรู้เฉลี่ยเรื่องกฎหมายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพในร้านชำเพิ่มขึ้นจาก 2.78±1.08 เป็น 3.32±0.91 (จากคะแนนเต็ม 4, P&lt;0.001) ความรู้เฉลี่ยเรื่องการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างเหมาะสมเพิ่มขึ้นจาก 2.34±0.63 เป็น 2.68±0.51 (จากคะแนนเต็ม 3, P&lt;0.001) การปฏิบัติเรื่องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพในร้านชำโดยรวมของผู้ประกอบการร้านชำเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 5.4±2.78 ในช่วงก่อนการวิจัยเป็น 8.52±1.93 ในช่วงหลังการจัดการปัญหาฯ (จากคะแนนเต็ม 10, P&lt;0.001) หากพิจารณาการปฏิบัติรายด้านพบว่า ผู้ประกอบการร้านชำมีการปฏิบัติเฉลี่ยเรื่องการดูฉลากผลิตภัณฑ์สุขภาพเพิ่มขึ้นจาก 2.32±1.72 เป็น 3.90±1.42 (จากคะแนนเต็ม 5, P&lt;0.001) การปฏิบัติเรื่องการดูวันที่ผลิตวันที่หมดอายุเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72 เป็นร้อยละ 86 (P=0.07) การปฏิบัติเฉลี่ยเรื่องกฎหมายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพในร้านชำเพิ่มขึ้นจาก 1.74±0.96 เป็น 2.86±0.45 (จากคะแนนเต็ม 3, P&lt;0.001) การปฏิบัติเรื่องการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เหมาะสมเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 62 เป็นร้อยละ 90 (P&lt;0.001) ร้านชำทั้งหมด 50 ร้านผ่านมาตรฐานร้านชำติดดาวเพิ่มขึ้นจาก 0 ร้าน เป็น 50 ร้านในช่วงหลังการจัดการฯ โดยผ่านมาตรฐานร้านชำติดดาวระดับ 3 ดาว, 4 ดาว และ 5 ดาว จำนวน 9, 20 และ 21 ร้าน ตามลำดับ ชุมชนผ่านเกณฑ์ร้านชำปลอดยาอันตรายเพิ่มขึ้นจาก 0 ชุมชน เป็น 11 ชุมชน สรุป: PERMMPAN GROCERY MODEL1.1 ทำให้ผู้ประกอบการร้านชำมีความรู้และมีการปฏิบัติเรื่องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพในร้านชำดีขึ้น ร้านชำและชุมชนเป็นสถานที่ซึ่งมีผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น</p> เพิ่มพรรณ์ ธนะภาส, อรวรรณ บุญเรือง, อนันต์ ยอดสวัสดิ์, วิทัศนีย์ พวงแก้ว, อัจฉรียา ฟองศรี, ชัญญาภัค สิริธันธน, ปาริชาติ สุขมาก, มาริสา เพชรกระ, อำพรพันธุ์ จันทกูล, นคร กาเหย็ม, สริดา อับดุลกะเดช, ฮาบีบ๊ะห์ บิลหมาด, ณัฐธิดา คงขำ, อภิรัฐ มาราสา, รุสนา เต๊ะหมาน, รีต้า เจะหมีน (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260450 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาและการประเมินระบบโปรแกรมประยุกต์บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อช่วยในการอ่านฉลากยาสำหรับผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260634 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนโทรศัพท์มือถือเพื่อช่วยในการอ่านฉลากยาสำหรับสูงอายุ และประเมินการใช้งานระบบ <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) การวิจัยพัฒนาระบบโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งประกอบด้วย 1.1) การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งาน 1.2) การออกแบบที่เชื่อมประสานระหว่างผู้ใช้งานกับระบบหรือผลิตภัณฑ์ 1.3) การออกแบบเชิงเทคนิค และ 2) การประเมินผล 2.1) การทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศทางสุขภาพจำนวน 5 ท่าน 2.2) การทดสอบโดยอาสาสมัครผู้สูงอายุ จำนวน 20 คน เพื่อประเมินด้านประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความพึงพอใจการใช้ระบบ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้ใช้ระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลในการพัฒนาฉลากยาที่สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมประยุกต์บนโทรศัพท์มือถือ ระบบโปรแกรมประยุกต์อ่านฉลากยาออกเสียงสามารถใช้งานได้ตามที่กำหนดไว้ และผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านสารสนเทศทางสุขภาพทั้ง 5 ท่าน ผลการประเมินการใช้งานโดยอาสาสมัครพบประสิทธิภาพแลประสิทธิผลในร้อยละ 85 (17 คนจาก 20 คน) จึงผ่านเกณฑ์การประเมิน ระยะเวลาใช้งานตั้งแต่เปิดโทรศัพท์จนถึงกดปุ่มสแกนเฉลี่ย คือ 4.09±3.21 วินาที และใช้ระยะเวลาตั้งแต่กดปุ่มสแกนจนถึงสแกน QR code สำเร็จ เฉลี่ย 3.56±3.61 วินาที ผู้ใช้มีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด (คะแนนเฉลี่ยมากกว่า 4.00 จากคะแนนเต็ม 5) ทั้งในด้านลักษณะของฉลากยา ความสะดวกในการใช้งาน และประโยชน์ที่ได้รับ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ฉลากยาที่พัฒนาขึ้นสามารถสั่งพิมพ์จากระบบสารสนเทศโรงพยาบาลได้อัตโนมัติและสามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมประยุกต์บนโทรศัพท์มือถือที่พัฒนาขึ้นได้ โดยผู้สูงอายุสามารถใช้งานโปรแกรมประยุกต์เพื่อทบทวนความเข้าใจวิธีการรับประทานยาได้อย่างถูกต้องตรงตามฉลากยา</p> ณัฐกรณ์ ศรีบุรมย์, วีรยุทธ์ เลิศนที (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260634 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลลัพธ์ทางสุขภาพของการใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง: การศึกษาเวชปฏิบัติในคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260829 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาเบื้องต้นครั้งนี้เก็บข้อมูลย้อนหลังจากบันทึกทางการแพทย์ของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ ณ คลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2563 ถึง 30 เมษายน พ.ศ.2565 ผลลัพธ์ที่ศึกษา ได้แก่ ความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองซึ่งประเมินด้วย Palliative Performance Scale (PPS) ความรุนแรงรายอาการซึ่งประเมินด้วย Edmonton Symptom Assessment System (ESAS) และคุณภาพชีวิตซึ่งประเมินด้วยแบบสอบถาม EQ-5D-5L โดยประเมินก่อน (สัปดาห์ที่ 0) และหลังการใช้สารสกัดกัญชา (สัปดาห์ที่ 4) <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยจำนวน 20 ราย อายุเฉลี่ย 60.95 ± 8.53 ปี เป็นเพศหญิงร้อยละ 60 มีการใช้สารสกัดกัญชา 3 สูตร ได้แก่ THC:CBD (1:1) 9 ราย THC เด่น 13 mg/ml 9 ราย และ THC เด่น 17 mg/ml 2 ราย หลังใช้ในสัปดาห์ที่ 4 พบว่า ผู้ป่วยมีค่ามัธยฐานของคะแนนคุณภาพชีวิต (พิสัยของควอไทล์) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จาก 0.76 (0.45, 0.89) เป็น 0.79 (0.61, 0.92) (P=0.017) และค่ามัธยฐานของอาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 4 (2, 5.5) เป็น 2 (2, 3) (P=0.01) เมื่อวิเคราะห์แยกตามสูตรยาที่ตัวอย่างได้รับพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับสูตร THC:CBD (1:1) มีค่ามัธยฐานของคะแนนคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จาก 0.74 (0.64, 0.87) เป็น 0.86 (0.74, 0.91) (P=0.011) และมีค่ามัธยฐานของอาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 4 (2, 6) เป็น 2 (1, 3) (P=0.012) การศึกษานี้พบผลข้างเคียงในผู้ป่วย 4 ราย อาการที่พบบ่อยคือ ปากแห้งคอแห้ง (ร้อยละ 10) และง่วงซึม (ร้อยละ 10) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การใช้สารสกัดกัญชามีผลลดอาการปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง ผลข้างเคียงที่พบไม่รุนแรง ได้แก่ ปากแห้งคอแห้ง และง่วงซึม</p> อาทิตยา สินสุริยศักดิ์ , วรภัทร เชิงปัญญา , รัตนาภรณ์ รักชาติ , จาตุรันต์ เสียงดี, นภเกตน์ สิงห์คำ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260829 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การปรับตัวของเภสัชกรต่อการนำหุ่นยนต์ทางเภสัชกรรม มาใช้ในโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260838 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: 1) เพื่อศึกษาการปรับตัวของเภสัชกรโรงพยาบาลต่อการใช้หุ่นยนต์ทางเภสัชกรรม และปัจจัยทำนายการปรับตัว และ 2) เพื่อศึกษาความเชื่อและทัศนคติของเภสัชกรโรงพยาบาลต่อการใช้หุ่นยนต์ในกลุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ และปัจจัยทำนายความเชื่อและทัศนคติต่อการใช้หุ่นยนต์ <strong>วิธีการ</strong>: การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง ผู้เข้าร่วมการศึกษา คือ เภสัชกรโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไปในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 115 แห่งที่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม 2 ชุด ให้เลือกตอบตามประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ ประกอบด้วยคำถาม 5 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ประเภทหุ่นยนต์ ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สมรรถนะทางวิชาชีพเภสัชกรรม การปรับตัว และความเชื่อและทัศนคติต่อการใช้หุ่นยนต์ แบบสอบถามพัฒนาจากแนวคิดของRoy ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา และทดสอบความเที่ยง แบบสอบถามถูกส่งไปยังโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งทั่วประเทศ <strong>ผลการวิจัย</strong>: ผู้ร่วมการวิจัยตอบแบบสอบถาม 283 ราย (อัตราการตอบกลับร้อยละ 49.22) กลุ่มที่มีประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ 59 คน คะแนนเฉลี่ยการปรับตัวอยู่ในระดับปานกลาง (3.61±0.39 จากคะแนนเต็ม 5) ส่วนใหญ่ใช้หุ่นยนต์เครื่องนับเม็ดยา (ร้อยละ 60.3) และใช้ในงานห้องจ่ายยาผู้ป่วยใน (ร้อยละ 55.2) กลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ 224 คน คะแนนเฉลี่ยเรื่องความเชื่อและทัศนคติต่อการใช้หุ่นยนต์อยู่ในระดับดีมาก (3.72 ± 0.38 จากคะแนนเต็ม 5) ร้อยละ 69.4 คาดว่าจะมีการนำหุ่นยนต์เครื่องนับเม็ดยามาใช้ และร้อยละ 64.2 จะนำหุ่นยนต์ไปใช้ในห้องจ่ายยาผู้ป่วยใน ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถทำนายการปรับตัวของกลุ่มที่มีประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ (b=0.446, P&lt;0.05) และสามารถทำนายความเชื่อและทัศนคติต่อการนำหุ่นยนต์มาใช้ในกลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ใช้หุ่นยนต์ (b=0.235, P&lt;0.05) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <strong>สรุป</strong>: ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถทำนายการปรับตัว ความเชื่อและทัศนคติต่อการใช้หุ่นยนต์ทางเภสัชกรรมของเภสัชกรโรงพยาบาล หากเภสัชกรได้รับการพัฒนาทักษะดังกล่าวอย่างเพียงพอ เภสัชกรจะสามารถปรับตัวได้ดีและมีความพร้อมและสามารถใช้หุ่นยนต์ในการพัฒนางานเภสัชกรรมได้ดี</p> วนิดา ขนาดนิด, รัตนาภรณ์ อาวิพันธ์, เพ็ญกาญจน์ กาญจนรัตน์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260838 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การสำรวจความคิดเห็นต่อระบบมาตรฐานการจัดการขนส่งสำหรับ โลจิสติกส์โซ่ความเย็นผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260907 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อมาตรฐานการจัดการและแนวทางปฏิบัติสำหรับการขนส่ง การจัดเก็บ และการจัดเรียงสินค้าในกระบวนการโลจิสติกส์ ตลอดทั้งห่วงโซ่ความเย็นในประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ <strong>วิธีการ: </strong>ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานจัดเก็บ ขนส่ง และกระจายยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ของประเทศไทยและจากต่างประเทศ และนำหัวข้อสำคัญจากมาตรฐานต่าง ๆ มาพัฒนาเป็นแบบสอบถามเพื่อรวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบมาตรฐานฯ ดังกล่าวในประเทศไทย การศึกษาส่งแบบสอบถามในรูปเอกสารไปยังตัวอย่างจำนวน 332 คน ได้แก่ ผู้ผลิตยาและเวชภัณฑ์ ผู้รวบรวมและกระจายยา ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ผู้แทนยา พนักงานขายและร้านขายยาค้าปลีก เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานในการกำกับดูแล <strong>ผลการวิจัย</strong>: ตัวอย่างร้อยละ 24.83 ไม่เคยรู้จักมาตรฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บ ขนส่ง และกระจายผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ใดเลย ตัวอย่างในกลุ่มผู้ผลิตทั้งหมดไม่เคยทราบเกี่ยวกับมาตรฐานดังกล่าว ความคิดเห็นของตัวอย่างเกี่ยวกับระบบมาตรฐานการจัดการขนส่งผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ในประเทศไทยในด้านบุคลากร ด้านระบบเอกสาร ด้านการขนส่ง ด้านอาคารสถานที่และอุปกรณ์ ด้านการจัดเก็บผลิตภัณฑ์ยา และด้านข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการคืนผลิตภัณฑ์ยา ยาปลอม รวมถึงการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ยา มีค่าเฉลี่ยในระดับสูง โดยมีพิสัยระหว่าง 4.52-4.83 (จากคะแนนเต็ม 5) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทำให้เห็นแนวทางในการพัฒนาที่สำคัญ คือ การให้ความรู้เพิ่มเติม และเผยแพร่แนวปฏิบัติแต่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังทำให้ทราบประเด็นในระบบมาตรฐานฯ ที่แต่ละภาคส่วนให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ <strong>สรุป</strong>: ตัวอย่างเห็นด้วยมากกับทุกประเด็นต่อแนวทางของการขนส่ง การจัดเก็บ และการจัดเรียงยาและเวชภัณฑ์ในกระบวนการห่วงโซ่ความเย็นในประเทศไทย ทำให้สามารถนำมาตรฐานฯ ดังกล่าวมาพัฒนาในระดับนโยบายสำหรับวางระบบมาตรฐานการจัดการขนส่งสำหรับโลจิสติกส์โซ่ความเย็นผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ภายในประเทศให้ดียิ่งขึ้นต่อไป</p> มธุกร สายนาคำ, ชีวาพร ไชยพันธ์, ขวัญฤทัย ศรีวงษ์, อาทิตย์ อภิโชติธนกุล, จิราวรรณ เนียมสกุล, กสิณ รังสิกรรพุม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/260907 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาคลินิกเติมยาในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของโรงพยาบาลระนอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261001 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาคลินิกเติมยาในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของโรงพยาบาลระนอง <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ศึกษาในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและ/หรือโรคเบาหวานที่ควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดได้ และไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรงร่วม จำนวน 39 คน ผู้ป่วยได้รับการเติมยาและการบริบาลเภสัชกรรมโดยเภสัชกรจากคลินิกเติมยาจำนวน 2 ครั้งแต่ละครั้งห่างกัน 3 เดือน (เดือนที่ 0 และ 3) ผลลัพธ์ทางคลินิกที่ศึกษา ได้แก่ ค่าความดันโลหิต ค่าน้ำตาลในเลือด (fasting blood sugar; FBS) และความร่วมมือในการใช้ยาที่วัดจากการนับเม็ดยาเหลือและแบบสอบถามพฤติกรรมการใช้ยา MTB-Thai (Medication Taking Behavior measure for Thai patients) ซึ่งถูกประเมินจำนวน 3 ครั้ง ในเดือนที่ 0, 3 และ 6 หลังจากเข้าร่วมการวิจัย นอกจากนี้ยังวัด HbA1c 2 ครั้ง ในเดือนที่ 0 และ 6 ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการรับบริการในคลินิกเติมยาและคลินิกอายุรกรรมประเมินในเดือนที่ 3 และ 6 และความพึงพอใจของบุคลากรทางการแพทย์ต่อการบริการคลินิกเติมยาซึ่งประเมินหลังจากเปิดให้บริการ 1 สัปดาห์ <strong>ผลการวิจัย:</strong> ในการประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกจำนวน 3 ครั้ง พบค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว/คลายตัว 136.41 ± 12.11 / 78.87 ± 9.39, 135.56 ± 13.50 / 79.18 ± 10.48 และ 134.38 ± 14.18 / 76.21 ± 8.14 mmHg ตามลำดับ (P=0.60 และ 0.11 สำหรับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว/คลายตัว ตามลำดับ) ค่าเฉลี่ย FBS เท่ากับ 130.50 ± 13.81, 132.69 ± 12.34 และ 132.25 ± 13.10 mg/dl ตามลำดับ (P=0.74) และ HbA1c เดือนที่ 0 และ 6 เท่ากับ 7.16 ± 0.62 และ 6.98 ± 0.50% ตามลำดับ (P=0.17) ผลลัพธ์หลักทางคลินิกทั้งหมดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยโดยวิธีการนับเม็ดยาเหลือ จำนวน 3 ครั้ง มีค่าร้อยละ 84.29 ± 6.00, 89.55 ± 3.09 และ 91.35 ± 3.08 ตามลำดับ (P&lt;0.001) และจากแบบสอบถาม MTB-Thai (เต็ม 24) มีคะแนน 23.35 ± 0.90, 23.79 ± 0.52 และ 23.97 ± 0.16 ตามลำดับ (P&lt;0.001) โดยรวมความร่วมมือในการใช้ยามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยที่คลินิกเติมยาน้อยกว่าคลินิกอายุรกรรม (43.84 ± 1.59 และ 107.59 ± 6.48 นาที ตามลำดับ; P&lt;0.001) ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการให้บริการของคลินิกเติมยามากกว่าคลินิกอายุรกรรมแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (4.00 ± 0.65 และ 4.69 ± 0.52 ตามลำดับ จากคะแนนเต็ม 5, P=0.64) ส่วนบุคลากรทางการแพทย์มีความพึงพอใจและต้องการให้มีคลินิกเติมยาคู่กับคลินิกอายุรกรรมต่อเนื่อง <strong>สรุป:</strong> การให้บริการในคลินิกเติมยาโดยเภสัชกรสำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดได้ มีผลลัพธ์ทางคลินิกไม่แตกต่างจากคลินิกอายุรกรรม แต่สามารถทำให้ความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มมากขึ้น</p> คัทลียา ธัญญประยูร, จันทรรัตน์ สิทธิวรนันท์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261001 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความสมเหตุผลของการใช้ยาปฏิชีวนะในบาดแผลสดจากอุบัติเหตุ: กรณีโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261192 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อหาความชุกของการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีบาดแผลสดจากอุบัติเหตุประเมินการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะดังกล่าวตามแนวทางการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และความชุกของการติดเชื้อของบาดแผลหลังการรักษา <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบบไปข้างหน้าครั้งนี้ทำในผู้ป่วยที่มารับการรักษาบาดแผลสดจากอุบัติเหตุ ณ โรงพยาบาลเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ถึง 31 พฤษภาคม 2563 การศึกษาเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยอิเล็กทรอนิกส์และการสัมภาษณ์ผู้ป่วย ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ข้อมูลลักษณะบาดแผล ข้อมูลการรักษาด้วยยา และผลลัพธ์ทางคลินิกที่ 14 วันถัดมา ได้แก่ ผลการรักษาและการติดเชื้อของบาดแผล <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วย 360 รายเข้าร่วมการศึกษา พบการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะในผู้ป่วยร้อยละ 37.5 ยาปฏิชีวนะที่ใช้มากที่สุดร้อยละ 63.7 คือ dicloxacillin ระยะเวลาของการใช้ยาเฉลี่ย 5.1 ± 1.6 วัน การสั่งใช้ยามีความสมเหตุผลร้อยละ 30.8 การใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม 249 ครั้ง ประกอบด้วยการไม่สั่งใช้ยาที่จำเป็น ระยะเวลาไม่เหมาะสม การสั่งใช้ยาโดยไม่จำเป็น และชนิดของยาไม่เหมาะสม ในผู้ป่วยร้อยละ 54.6, 27.7, 16.1 และ 1.6 ตามลำดับ การศึกษาพบแผลติดเชื้อในผู้ป่วยร้อยละ 1.67 <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ร้อยละของการใช้ยาปฏิชีวนะในผู้ป่วยบาดแผลสดจากอุบัติเหตุของโรงพยาบาลผ่านเกณฑ์การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบที่กำหนดไว้ที่น้อยกว่าร้อยละ 40 แต่การสั่งใช้ส่วนใหญ่ไม่สมเหตุผลและอัตราการเกิดแผลติดเชื้อต่ำ</p> กานต์ ชัยทอง, ณัฐกานต์ นากรุงศรี, เชิดชัย สุนทรภาส (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261192 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อวิธีใช้ยาสูดพ่นสำหรับโรคหอบหืดและ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261165 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาสื่อให้ความรู้เรื่องยาสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสื่อ และความพึงพอใจของผู้ใช้งาน <strong>วิธีการ</strong>: ผู้วิจัยพัฒนาสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมด้วย ADDIE Model ด้วยโปรแกรม Unity3D และ Vuforia Engine สื่อประกอบด้วยความรู้เรื่องยาสูดพ่นชนิด MDI 8 หัวข้อ ผู้ใช้สามารถสแกนกล่องยาสูดพ่นชนิด MDI ผ่านกล้องของสมาร์ทโฟนเพื่อเข้าถึงสื่อให้ความรู้ สื่อได้รับการประเมินประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 4 คน การประเมินประสิทธิผลของสื่อทำโดยผู้วิจัยประเมินความถูกต้องของขั้นตอนการใช้ยาและความรู้เรื่องยาสูดพ่นชนิด MDI ของผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย 2 กลุ่มที่แบ่งกลุ่มด้วยการสุ่มแยกกลุ่ม เป็นกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำเรื่องการใช้ยาสูดพ่นชนิด MDI ผ่านสื่อ และกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำจากเภสัชกร การประเมินทำทันทีหลังการดูสื่อหรือได้รับคำแนะนำ ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยกลุ่มที่ได้ดูสื่อเป็นผู้ประเมินความพึงพอใจต่อสื่อ <strong>ผลการวิจัย</strong>: สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพโดยรวมคิดเป็นร้อยละ 85 ส่วนในด้านประสิทธิผล กลุ่มที่ใช้สื่อมีคะแนนเฉลี่ยความเข้าใจวิธีและขั้นตอนการพ่นยาสูดพ่นชนิด MDI 11.33±1.44 จากคะแนนเต็ม 13 คะแนน ซึ่งไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำจากเภสัชกร (11.60±0.67) กลุ่มที่ใช้สื่อมีค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับยาสูดพ่นชนิด MDI 8.87±1.07 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับคำแนะนำจากเภสัชกร (8.30±1.06) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อสื่อเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (4.50±0.12 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) โดยมีความพึงพอใจสูงสุดด้านความรู้เรื่องการใช้ยาสูดพ่น (4.67±0.61) <strong>สรุป</strong>: สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมสำหรับให้ความรู้เรื่องยาสูดพ่นชนิด MDI ที่พัฒนาขึ้น สามารถใช้เป็นสื่อให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคหอบหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการใช้งาน ผลการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ในการสร้างสื่อให้ความรู้เรื่องยาและสุขภาพอื่นต่อไป</p> ศรินรัตน์ โตบารมีกุล, สรวง รุ่งประกายพรรณ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261165 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่เภสัชกรมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิโดยใช้การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเป็นฐาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261217 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่เภสัชกรมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ โดยใช้การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ<strong> วิธีการ:</strong> การศึกษาแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 คือการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ โดยรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่เริ่มมีฐานข้อมูลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 การศึกษาคัดเลือกงานวิจัยทุกประเภทที่มีการแทรกแซงในผู้ป่วยจิตเภทโดยเภสัชกร หรือรูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่เภสัชกรมีส่วนร่วม และต้องรายงานผลลัพธ์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม หรือก่อนให้การดูแล ระยะที่ 2 คือ การสนทนากลุ่มในบุคลากรที่เกี่ยวข้องในประเด็นปัญหาและอุปสรรคของการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในรูปแบบเดิม โดยผู้วิจัยนำเสนอรูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีจากการศึกษาในระยะที่ 1 เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ ร่วมกับการรับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสนทนาในการแก้ไขปัญหาการดูแลผู้ป่วยจิตเภท และพัฒนาเป็นรูปแบบการดูแลจิตเภทของโรงพยาบาลเทพสถิต <strong>ผลการวิจัย:</strong> การศึกษาระยะแรกพบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวม 20 เรื่อง เป็นงานวิจัยแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trials: RCT) และที่ไม่ใช่ RCT อย่างละ 10 เรื่อง รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี มีทั้งการแทรกแซงโดยเภสัชกร เช่น การบริบาลทางเภสัชกรรม การให้ความรู้โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ และการดูแลผู้ป่วยเป็นทีมสหวิชาชีพ ระยะที่ 2 พบว่า สิ่งที่สามารถนำไปปรับใช้กับโรงพยาบาล ได้แก่ 1) ผู้ป่วยรายใหม่ทุกรายควรได้รับการจัดทำฐานข้อมูลผู้ป่วย 2) ในผู้ป่วยที่รับยาต่อเนื่องควรให้ความรู้ ควรเฝ้าระวังอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาและปรับขนาดยาตามความเหมาะสม และ 3) ในผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ทีมสหวิชาชีพควรเข้าไปดูแลผู้ป่วยร่วมกับชุมชน <strong>สรุป:</strong> การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทของโรงพยาบาลเทพสถิต โดยใช้การทบทวนทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ร่วมกับการสนทนากลุ่ม ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่ผลลัพธ์ของการดูแลยังต้องประเมินผลต่อไป</p> ปุณฑริกา อัครภูมิผล, พรชนก ศรีมงคล, จันทร์ทิพย์ กาญจนศิลป์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261217 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง บนหอผู้ป่วยอายุรกรรมของโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261459 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>พัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องบนหอผู้ป่วยอายุรกรรมของโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยจำนวน 300 รายที่มีการทำงานของไตบกพร่องจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2559 ถึง 30 ก.ย. 2560 ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาคู่มือการปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง และการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรม ระยะที่ 3 เป็นการดำเนินการบริบาลทางเภสัชกรรมเต็มรูปแบบในผู้ป่วย 40 ราย<strong> ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ระยะที่ 1 พบปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ยา 254 ปัญหา ได้แก่ 1) ได้รับยารับยาที่ถูกต้อง แต่ขนาดมากเกินไป 77 ปัญหา 2) เกิดอันตรกิริยาระหว่างยา 75 ปัญหา 3) ไม่ได้รับยาที่ควรจะได้ 56 ปัญหา 4) ได้รับยาที่ไม่เหมาะสม 34 ปัญหา 5) เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา 7 ปัญหา และ 6) ได้รับยาที่ถูกต้องแต่ขนาดน้อยเกินไป 5 ปัญหา การศึกษาในระยะที่ 2 ทำให้ได้คู่มือการปรับขนาดยาตามการทำงานไต และรูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมอย่างเต็มระบบบนหอผู้ป่วย ระยะที่ 3 พบปัญหาที่เกี่ยวกับยาทั้งหมด 42 ปัญหา จำแนกได้ดังนี้ 1) เกิดอันตรกิริยาระหว่างยา 16 ปัญหา 2) ได้รับยาที่ถูกต้องแต่ขนาดมากเกินไป 10 ปัญหา 3) ไม่ได้รับยาที่ควรจะได้ 5 ปัญหา 4) ไม่ได้รับยาตามแพทย์สั่ง 5 ปัญหา 5) ได้รับยาที่ไม่เหมาะสม 3 ปัญหา 6) เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา 3 ปัญหา โดยทั้ง 42 ปัญหาได้รับการแก้ไขและติดตามโดยเภสัชกรตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล แพทย์หรือผู้ป่วยให้การยอมรับและปฏิบัติตามที่เภสัชกรแนะนำ คิดเป็นร้อยละ 61.90 ของคำแนะนำ แพทย์หรือผู้ป่วยให้การยอมรับแต่ปรับเปลี่ยนบางส่วนทำให้ปัญหาลดลง ร้อยละ 38.10 ของคำแนะนำ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การบริบาลทางเภสัชกรรมโดยเภสัชกร ส่งผลให้สามารถตรวจพบและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับยาได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัย และได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา</p> อริยะ วัฒนชัยสิทธิ์, รจเรศ นิธิไพจิตร, ปาริฉัตร เกิดจันทึก (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261459 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การสำรวจสถานการณ์การปฏิบัติงานให้บริการช่วยเลิกบุหรี่ ของบัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261487 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อสำรวจการให้บริการเลิกบุหรี่และหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้บริการเลิกบุหรี่ของบัณฑิตคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย <strong>วิธีการ:</strong> งานวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้ เก็บข้อมูลจากบัณฑิตของคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย 19 แห่งที่จบการศึกษาในปีการศึกษา 2561 - 2563 จำนวน 358 คน การศึกษาเลือกตัวอย่างแบบตามความสะดวก การศึกษาเก็บข้อมูลในช่วง เม.ย.-พ.ค. 2565 ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 67.6) อายุเฉลี่ย 26.15 ± 1.73 ปี สำเร็จการศึกษาสาขาการบริบาลทางเภสัชกรรมร้อยละ 76.5 จบในปีการศึกษา 2563 ร้อยละ 60.9 มีใบประกอบวิชาชีพร้อยละ 95.5 เป็นเภสัชกรโรงพยาบาลร้อยละ 41.9 และมีประสบการณ์การทำงาน 1-1.9 ปี (ร้อยละ 42.2) ส่วนใหญ่เคยเรียนเกี่ยวกับบุหรี่ (ร้อยละ 77.7) โดยเรียนเฉลี่ย 9.25 ± 7.29 ชั่วโมง และเคยให้บริการเลิกบุหรี่ระหว่างเรียนร้อยละ 60.9 หรือเฉลี่ย 3.14 ± 3.90 รายต่อปี หลังจบการศึกษาส่วนใหญ่ไม่เคยให้บริการเลิกบุหรี่ ไม่เคยอบรมเพิ่มเติม และไม่เคยเข้าร่วมโครงการที่ช่วยเลิกบุหรี่ (ร้อยละ 64.8, 84.6, และ 90.8 ตามลำดับ) ปัจจัยเอื้อที่ส่งผลต่อการให้บริการช่วยเลิกบุหรี่มากที่สุดคือ ความสุขในการปฏิบัติงาน รองลงมาคือการที่ผู้บริหารทุกระดับให้ความสำคัญ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และการวางระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ (คะแนนเฉลี่ย 3.84±1.06, 3.74±1.13 และ 3.69±1.09 ตามลำดับ จากคะแนนเต็ม 5) ประสบการณ์ในการทำงาน การฝึกอบรมเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่หลังจบการศึกษาและการให้บริการช่วยเลิกบุหรี่ขณะกำลังศึกษา มีความสัมพันธ์กับการให้บริการช่วยเลิกบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> บทบาทการให้บริการช่วยเลิกบุหรี่ของเภสัชกรนั้นควรได้รับการเน้นย้ำถึงความสำคัญตั้งแต่การเรียนการสอนในคณะและการฝึกอบรมเพิ่มเติมหลังจบการศึกษา การที่หน่วยงานของเภสัชกรมีนโยบายและแผนการทำงานที่ชัดเจน และสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีเป็นปัจจัยเอื้อที่ทำให้เภสัชกรให้บริการช่วยเลิกบุหรี่ให้กับประชาชน</p> เสถียร พูลผล, อดิณัฐ อำนวยพรเลิศ, ภัณฑิรา ปริญญารักษ์, กรแก้ว จันทภาษา, กิติยศ ยศสมบัติ, ชวนชม ธนานิธิศักดิ์, ทวีศักดิ์ มณีโรจน์, ธิดารัตน์ มานะพัฒนเสถียร, ประสิทธิชัย พูลผล, ปวันรัตน์ ปัณณทัตพิทยุตม์, วิวัฒน์ ถาวรวัฒนยงค์, ศิราณี ยงประเดิม, สุชาดา สูรพันธุ์, สุพรรณิการ์ พรวัฒนกวี, ภาณุมาศ ภูมาศ, ขัตติยะ มั่งคั่ง (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261487 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของทีมสหสาขาวิชาชีพต่อคุณภาพชีวิตและปัญหาจากการใช้ยาใน ผู้ป่วยโรคเบาหวานและ/หรือความดันโลหิตสูงที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไตเรื้อรัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261717 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินคุณภาพชีวิตและปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลจากคลินิกโรคไตเรื้อรังโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ โดยมีเภสัชกรให้คำแนะนำเรื่องยาและการดูแลตนเองเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรค ตลอดจนค้นหาปัญหาจากการใช้ยา <strong>วิธีการ:</strong> การศึกษาส่วนแรกเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบเก็บข้อมูลไปข้างหน้าเพื่อรวบรวมปัญหาจากการใช้ยาและคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยโรคไตก่อนเข้ารับการดูแลจากคลินิกโรคไตเรื้อรัง การศึกษาส่วนที่สองเป็นการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในคลินิกโรคไตเรื้อรังโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ตัวแปรหลักที่ใช้ในการศึกษา คือ ปัญหาจากการใช้ยาและคุณภาพชีวิตซึ่งวัดโดยแบบประเมิน EQ-5D-5L <strong>ผลการวิจัย:</strong> ตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง จำนวน 234 คน อายุเฉลี่ย 64.53±10.12 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง พบปัญหาจากการใช้ยาทั้งสิ้น 134 ปัญหาในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-2 ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ผู้ป่วยใช้/รับประทานยาน้อยกว่าแพทย์สั่งหรือไม่ได้รับประทานยา (ร้อยละ 77.61) การศึกษาแก้ไขปัญหาที่ตัวผู้ป่วยหรือผู้ดูแลโดยการให้คำปรึกษาด้านยาเป็นหลัก ส่วนใหญ่คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาได้รับการยอมรับและดำเนินการตามทั้งหมด ผลลัพธ์ของการจัดการปัญหา คือ ปัญหาส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไข ค่าเฉลี่ยคะแนนอรรถประโยชน์ของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนเข้าร่วมการศึกษาเท่ากับ 0.9526±0.0617 ในเวลา 3 เดือน ผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 3a-3b และ 4-5 มีค่าอรรถประโยชน์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.044 และ &lt;0.001 ตามลำดับ) และที่ 6 เดือน ผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4-5 ที่มีค่าอรรถประโยชน์ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.005) <strong>สรุป: </strong>การให้คำแนะนำดูแลผู้ป่วยโรคไตโดยเภสัชกรร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพในคลินิกโรคไตเรื้อรังสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการใช้ยาและสามารถเพิ่มคะแนนอรรถประโยชน์ในผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 3-5 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> สุนันท์ชนก น้ำใจดี, อัมพรพรรณ ธีรานุตร, นันทวรรณ ภู่เนาวรัตน์, อนุสรา นามสง่า, สุดาพร ไทยเทวรักษ์, ดวงใจ อดิศักดิ์สดใส, ศุภลักษณ์ วงษ์มา, นวลอนงค์ สุดจอม, สุณี เลิศสินอุดม (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/261717 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความเหนื่อยล้าในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรของเภสัชกรโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262086 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษา 1) ระดับความเหนื่อยล้าในการทำงานและระดับความผูกพันต่อองค์กรของเภสัชกรในโรงพยาบาลเอกชน 2) ปัจจัยที่มีผลต่อระดับความเหนื่อยล้าในการทำงานและระดับความผูกพันต่อองค์กรของเภสัชกรโรงพยาบาลเอกชน <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>รูปแบบงานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ เภสัชกรโรงพยาบาลเอกชนจำนวน 690 คน การศึกษาเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามทางไปรษณีย์และออนไลน์ การวัดระดับความเหนื่อยล้าในการทำงานโดยใช้แบบวัด MBI-Human Services Survey ตามแนวคิดของ Maslach และ Jackson และวัดระดับความผูกพันต่อองค์กรโดยใช้แบบวัดตามแนวคิดของ Allen และ Meyer <strong>ผลการวิจัย: </strong>กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความเหนื่อยล้าในการทำงานด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ เท่ากับ 19.83±11.09 การลดค่าความเป็นบุคคล เท่ากับ 3.80±4.51 และการลดค่าความสำเร็จส่วนบุคคล เท่ากับ 12.15±6.76 ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความเหนื่อยล้าในการทำงานด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ คือ สถานภาพสมรส โรคประจำตัว ขนาดโรงพยาบาล และการรับรู้เกี่ยวกับความสำเร็จในงาน (R<sup>2 </sup>= 0.30) ปัจจัยที่มีผลต่อความเหนื่อยล้าในการทำงานด้านการลดค่าความเป็นบุคคล คือ อายุและการรับรู้เกี่ยวกับความสำเร็จในงาน (R<sup>2 </sup>= 0.26) ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความเหนื่อยล้าในการทำงานด้านการลดค่าความสำเร็จส่วนบุคคล คือ จำนวนผู้ป่วยใน และการรับรู้ต่อระบบบริหาร (R<sup>2 </sup>= 0.24) กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรด้านจิตใจ เท่ากับ 3.50±0.61 ด้านการคงอยู่ เท่ากับ 3.29±0.45 และด้านบรรทัดฐาน เท่ากับ 3.26±0.60 ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านจิตใจ คือ เพศ อายุ ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน ตำแหน่งงาน และการรับรู้เกี่ยวกับความสำเร็จในงาน (R<sup>2 </sup>= 0.32) ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านการคงอยู่ คือ อายุ ระดับการศึกษา ภาระครอบครัว การรับรู้ลักษณะงานที่รับผิดชอบ และการรับรู้เกี่ยวกับความสำเร็จในงาน (R<sup>2 </sup>= 0.21) ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านบรรทัดฐาน คือ อายุ ขนาดโรงพยาบาล การรับรู้ลักษณะงานที่รับผิดชอบ และการรับรู้เกี่ยวกับความสำเร็จในงาน (R<sup>2 </sup>= 0.20) <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>เภสัชกรโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่มีความเหนื่อยล้าโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ และมีความผูกพันต่อองค์กรโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งความเหนื่อยล้าในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรของเภสัชกรโรงพยาบาลเอกชน การลดหรือจัดการกับปัจจัยอย่างเหมาะสมจะนำไปสู่การลดความเหนื่อยล้าในการทำงานและเพิ่มความผูกพันต่อองค์กร</p> เบญจลักษณ์ ศรีดี, หทัยกาญจน์ เชาวนพูนผล (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262086 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาและการประเมินแบบวัดความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร อย่างสมดุลสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวกัมพูชา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262552 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินแบบวัดความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารอย่างสมดุล (the Knowledge Test on Balanced Diet Consumption: KTBDC) สำหรับนักศึกษาชาวกัมพูชาที่สร้างขึ้นจากคำแนะนำการการบริโภคอาหารอย่างสมดุลขององค์การอนามัยโลก <strong>วิธีการ:</strong> ผู้วิจัยได้พัฒนาแบบวัดความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมและการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างนักศึกษากัมพูชาแบบซึ่งหน้า แบบวัด KTBDC ที่พัฒนาขึ้นมีคำถามจำนวน 25 ข้อ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมในประเด็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคำแนะนำในการบริโภคอาหารอย่างสมดุล การเปรียบเทียบแคลอรี่ และการประมาณปริมาณของคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไฟเบอร์ในอาหาร คำตอบของคำถามแต่ละข้อเป็นแบบ 3 ตัวเลือก คือ “ใช่” “ไม่ใช่” และ “ไม่ทราบ” คำถามแต่ละข้อได้รับการประเมินความตรงเชิงประจักษ์ และความตรงตามเชิงเนื้อหาด้วยดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (item objective congruence index: IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน หลังจากนั้น นักศึกษามหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีในกัมพูชาจำนวน 95 คนตอบแบบสอบถาม KTBDC การศึกษาคำนวณดัชนีความยาก (P<sub>i</sub>) และดัชนีอำนาจการจำแนก (D<sub>i</sub>) ของข้อคำถามรายข้อ และคำนวณดัชนีความยากและดัชนีอำนาจการจำแนกของภาพรวมของแบบวัด KTBDC จากค่าเฉลี่ยดัชนีความยากรายข้อ () และค่าเฉลี่ยดัชนีอำนาจการจำแนก () ตามลำดับ ความเที่ยงของแบบวัดความรู้ประเมินโดยค่า Kuder-Richardson 20 (KR-20) <strong>ผลการวิจัย</strong>: กลุ่มตัวอย่าง 50 ราย (ร้อยละ 52.6) เป็นเพศหญิง ค่าเฉลี่ยอายุของตัวอย่างเท่ากับ 22.3±1.9 (พิสัย:18-27) ปี ข้อคำถามทั้ง 25 ข้อมีค่า IOC &gt; 0.5 ดัชนีความยากโดยรวมของแบบวัด KTBDC อยู่ในระดับปานกลาง (: 0.49) และดัชนีอำนาจจำแนกโดยรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม ( &gt;0.67) ความเที่ยงเท่ากับ 0.92 <strong>สรุป</strong>: แบบวัด KTBDC มีความตรงตามวัตถุประสงค์ของการประเมินและความสม่ำเสมอของคำถามในแบบวัดอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งบ่งชี้ว่า แบบวัดมีความตรงและความเที่ยงในการประเมินความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารอย่างสมดุลในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวกัมพูชา การศึกษาในอนาคตควรเน้นในเรื่องความสามารถขยายผลเพื่อนำแบบวัดไปใช้ในปะชากรกลุ่มอื่นและบริบทอื่น เพื่อให้มั่นใจว่า แบบวัดสามารถประยุกต์ใช้ได้ในวงกว้าง</p> เซยลา เฮียง, ทิพาพร กาญจนราช, ไพบูลย์ ดาวสดใส, ดุจฤดี ชินวงศ์ (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262552 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาต้านเชื้อราสำหรับป้องกันเชื้อราแคนดิดาในช่องปากและลำคอในผู้ป่วยเอชไอวี : การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานเครือข่าย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262250 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาต้านเชื้อราในการป้องกันการติดเชื้อราแคนดิดาในช่องปากและลำคอของผู้ป่วยเอชไอวี <strong>วิธีการ:</strong> สืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ PubMed, EMBASE, CENTRAL, Web of Science, Scopus, ProQuest, ClinicalTrials.gov และThai Library Integrated System (Thai LIS) จนถึง 31 ธันวาคม 2565 โดยคัดเลือกงานวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมที่ศึกษาประสิทธิผลและ/หรือความปลอดภัยของการใช้ยาต้านเชื้อราทุกรูปแบบเพื่อป้องกันเชื้อราแคนดิดาในช่องปากหรือลำคอในผู้ป่วยเอชไอวีเข้าการศึกษา ผลลัพธ์หลัก คือ การป้องกันการติดเชื้อราแคนดิดาในช่องปากและลำคอครั้งแรกและการติดเชื้อซ้ำ ผู้วิจัยรวมขนาดผลลัพธ์ด้วยการวิเคราะห์อภิมานเครือข่ายตามหลัก frequentist framework โดยใช้การวิเคราะห์แบบสุ่ม และประมาณค่า Surface Under the Cumulative Ranking (SUCRA) โดยใช้สถิติแบบ Bayesian เพื่อจัดลำดับประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาต้านเชื้อราแต่ละชนิด <strong>ผลการวิจัย:</strong> มีงานวิจัย 15 ฉบับที่ศึกษาในผู้ป่วยเอชไอวี 3,597 รายอายุระหว่าง 18 – 70 ปี ถูกคัดเข้าการศึกษา ในทุกการศึกษา ผู้ป่วยมีค่า CD4 เฉลี่ยน้อยกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ส่วนมากศึกษาผลของยาต้านเชื้อราแบบรับประทานเทียบกับยาหลอก ระยะเวลาการให้ยาและติดตามผลอยู่ในช่วง 4-176 สัปดาห์ ผลการวิเคราะห์อภิมานเครือข่าย พบว่า การให้ยาต้านเชื้อราไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อราแคนดิดาครั้งแรกทั้งในช่องปากและในลำคอ แต่การใช้ยาฟลูโคนาโซลทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์ และยาไอทราโคนาโซลแบบรายวัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อราแคนดิดาซ้ำในช่องปากได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (RR=0.27, 95%Cl 0.16-0.44; RR=0.65, 95%Cl 0.47-0.90; RR =0.43, 95%Cl 0.25-0.75 ตามลำดับ) และการได้รับฟลูโคนาโซลทั้งสองรูปแบบนี้ ยังสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำในลำคอได้ร้อยละ 83 และ 79 ตามลำดับเมื่อเทียบกับยาอมคลอไตรมาโซล รายงาน AEs ที่พบบ่อย ได้แก่ อาการในระบบทางเดินอาหาร และการเกิดผื่น <strong>สรุป:</strong> ยาต้านเชื้อราไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อราแคนดิดาครั้งแรกในช่องปากและลำคอของผู้ป่วยเอชไอวี แต่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อนี้ซ้ำ โดยยาที่มีประสิทธิผลดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อราแคนดิดาซ้ำในช่องปากและลำคอในผู้ป่วยเอดส์ คือ ยาฟลูโคนาโซลแบบรายวัน</p> นุจริน รัตนแสง, ภาณุมาศ ภูมาศ, ณัฐวัฒน์ ตีระวัฒนพงษ์, ราตรี สว่างจิตร (ผู้แต่ง) Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/262250 Sun, 17 Mar 2024 00:00:00 +0700