วารสารเภสัชกรรมไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเป็นวารสารวิชาการอิเล็กทรอนิกส์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วารสารฯ มีวัตถุประสงค์คือเป็นสื่อกลางเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิชาการระหว่างนักวิจัยด้านเภสัชกรรม เภสัชกร นักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ ตลอดจนเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา</p> <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทางเภสัชกรรม ได้แก่การบริบาลทางเภสัชกรรม เภสัชกรรมสังคม การบริหารเภสัชกิจ เศรษฐศาสตร์ทางยา ระบาดวิทยาของยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เภสัชสาธารณสุข เภสัชพฤติกรรมศาสตร์ การคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ นิติเภสัชกรรม จริยศาสตร์เภสัชกรรม นโยบายด้านยาและสุขภาพ การประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางสังคมและการบริหารในการปฏิบัติงานเภสัชกรรม</p> <p> ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมไทย คือ บทความวิจัยต้นฉบับ บทความทบทวนวรรณกรรมทั้งแบบเชิงบรรยาย (review article) การวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) และการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) </p> <p> ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 วารสารได้เพิ่มจำนวนเล่มจาก 2 เป็น 4 ฉบับต่อปี ดังนี้ เล่มที่ 1 (มกราคม-มีนาคม) เล่มที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) เล่มที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) และเล่มที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม)</p> คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ th-TH วารสารเภสัชกรรมไทย 3027-6136 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความคิดเห็นและอยู่ในความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ มิใช่ความเห็นหรือความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ หรือคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากการพิมพ์&nbsp; บทความที่ได้รับการเผยแพร่โดยวารสารเภสัชกรรมไทยถือเป็นสิทธิ์ของวารสารฯ&nbsp;</p> ปกและสารบัญ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/268664 บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 บุคคลสำคัญ: รศ. ดร. ภญ.เฉลิมศรี ภุมมางกูร ผู้บุกเบิกการสอนและงานเภสัชกรรมคลินิกของไทย ตอนที่ 1: ชีวิตวัยเยาว์และการทำงานในระยะแรก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/267359 บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 1 2 ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานของเภสัชกรคลินิกในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/258372 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาและค้นหาทักษะและองค์ความรู้ใหม่ที่จำเป็นในการพัฒนางานเภสัชกรรมคลินิกในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (digital transformation) <strong>วิธีการ:</strong> รูปแบบงานวิจัยเป็นแบบผสมผสานวิธีการโดยประยุกต์ใช้การสร้างแผนที่มโนทัศน์ (concept mapping) ตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่เข้าร่วมกระบวนการซึ่งถูกคัดเลือกแบบจำเพาะเจาะจงจากตัวแทนเภสัชกรโรงพยาบาลและอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามรวม 24 คน ขั้นตอนการศึกษาประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและการจัดประชุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อระดมสมองในการตอบคำถามเจาะจง ได้แก่ “ทักษะและความรู้อะไรที่จะตอบโจทย์การทำงานทางด้านเภสัชกรรมคลินิกในอนาคตหรือยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน” การนำข้อมูลจากการจัดกลุ่มความคิดไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติ multidimensional scaling และ hierarchical cluster analysis เพื่อให้ได้แผนที่มโนทัศน์ <strong>ผลการวิจัย:</strong> จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า ปัญหาของเภสัชกรในการทำงานด้านเภสัชกรรม ได้แก่ ภาระงานที่เพิ่มขึ้นและการขาดอัตรากำลังคน ปัญหาในการสร้างเครือข่ายของฐานข้อมูลผู้ป่วย และการขาดทักษะที่จำเป็น เช่น ทักษะการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น ความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับเภสัชกรคลินิกในยุคดิจิตอลทรานสฟอร์เมชันทั้งหมด 4 กลุ่มที่ได้จากการระดมสมองและการจัดกลุ่มความคิด รวมทั้งการให้คะแนนความสำคัญและความเป็นไปได้ในปฏิบัติ ได้แก่ 1. ความรู้และทักษะในการบริบาลทางเภสัชกรรม 2. ความรู้และทักษะในการคิด จัดการข้อมูล และการนำไปใช้ประโยชน์ 3. ความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีใหม่ และ 4. ความรู้และทักษะในการสื่อสาร <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> เภสัชกรควรมีความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการจัดการข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนางานเภสัชกรรมคลินิกในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันต่อไป</p> จันทร์ทิพย์ กาญจนศิลป์ ราตรี สว่างจิตร พยอม สุขเอนกนันท์ โอลสัน ภัทรินทร์ กิตติบุญญาคุณ รจเรศ นิธิไพจิตร Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 3 12 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/263195 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อหาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษารวบรวมข้อมูลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตที่มารับบริการที่คลินิกรับยาต่อเนื่องและคลินิกทั่วไปที่มีรหัสวินิจฉัยโรค I10-I15 จากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 500 เตียงแห่งหนึ่งตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ถึง 31 มกราคม พ.ศ.2563 ปัจจัยที่ศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ได้แก่ ปัจจัยทางสังคมและประชากรศาสตร์ และปัจจัยทางสุขภาพและยา <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยทั้งสิ้น 7,849 คนในการศึกษาเป็นผู้ป่วยในคลินิกรับยาต่อเนื่อง 94 คน และผู้ป่วยในคลินิกทั่วไป 7,755 คน ความชุกของการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้คิดเป็นร้อยละ 79.4 ผู้ป่วยในคลินิกรับยาต่อเนื่องร้อยละ 73.4 และผู้ป่วยในคลินิกทั่วไปร้อยละ 79.5 ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลความดันโลหิตที่วัดระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ถึง 31 มกราคม พ.ศ.2563 พบว่า มีเพียง 4 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเพศชาย ดัชนีมวลกายที่มาก และจำนวนรายการยาลดความดันโลหิตที่ผู้ป่วยได้รับซึ่งมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงของการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ แต่การมีโรคหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วยลดความเสี่ยงของการควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเพศชาย ผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 18.4 kg/m<sup>2 </sup>และผู้ที่ใช้ยาลดความดันโลหิตมากกว่า 1 รายการ ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนส่งผู้ป่วยเข้าสู่คลินิกรับยาต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้</p> เบญจวรรณ บุญส่ง ดุจฤดี ชินวงศ์ ทิพาพร กาญจนราช สุระรอง ชินวงศ์ สกนธ์ สุภากุล Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 13 25 ผลของการใช้ลูกอมยาดอกขาวเพื่อการช่วยเลิกสูบบุหรี่ต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/264347 <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อประเมินผลของการใช้ลูกอมหญ้าดอกขาวชนิดเม็ดแข็งต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูบบุหรี่ที่มีประวัติโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อ <strong>วิธีการ:</strong> การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา “ผลของลูกอมหญ้าดอกขาวในการช่วยเลิกบุหรี่ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อ” ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงทดลองแบบสุ่มแบบปกปิดสองทางและมีกลุ่มที่ได้รับลูกอมหลอกเป็นกลุ่มควบคุม ผู้วิจัยสุ่มแยกผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มทดลองจำนวน 45 รายได้รับลูกอมหญ้าดอกขาวครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมจำนวน 48 รายได้รับลูกอมหลอก วันละ 3 ครั้งเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ การศึกษาประเมินคุณภาพชีวิตของตัวอย่างด้วยแบบสอบถาม SF-12v2 สามครั้ง คือ ก่อนและหลังใช้ลูกอมหญ้าดอกขาวและลูกอมหลอกเป็นเวลา 1 และ 3 เดือน <strong>ผลการวิจัย: </strong>การเปรียบเทียบคะแนนคุณภาพชีวิตทั้งสามครั้งระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในมิติต่าง ๆ ดังนี้ มิติสุขภาพทั่วไป (P=0.817) การทำหน้าที่ทางด้านร่างกาย (P=0.688) ข้อจำกัดที่เกิดจากปัญหาสุขภาพด้านร่างกาย (P=0.423) ข้อจำกัดที่เกิดจากปัญหาสุขภาพด้านจิตใจ (P=0.523) ความเจ็บปวดทางกาย (P=0.385) สุขภาพจิต (P=0.251) ความมีชีวิตชีวา (P=0.816) คะแนนรวมทางด้านร่างกาย (P=0.428) และคะแนนรวมทางด้านจิตใจ (P=0.051) แต่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างทั้งสองกลุ่มในมิติการทำหน้าที่ทางด้านสังคม (P=0.011) อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของคุณภาพชีวิตระหว่างกลุ่มที่ใช้ลูกอมหญ้าดอกขาวและกลุ่มที่ได้ลูกอมหลอกที่เดือนที่ 1 และ 3 พบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.447 และ 0.131 ตามลำดับ)<strong>สรุป: </strong>ผู้ป่วยโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อที่ใช้ลูกอมหญ้าดอกขาวเพื่อการเลิกสูบบุหรี่ในและผู้ที่ได้รับยาหลอก ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในเรื่องระดับคุณภาพชีวิตในมิติต่าง ๆ ที่ประเมิน ณ เวลา 1 และ 3 หลังการเข้าร่วมการวิจัย ยกเว้นในมิติการทำหน้าที่ทางด้านสังคมที่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ผลดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ใช้ลูกอมหญ้าดอกขาวและกลุ่มที่ได้ลูกอมหลอกในเดือนที่ 1 และ 3</p> กฤติน บัณฑิตานุกูล พรรณทิพา ศักดิ์ทอง Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 26 39 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง จัดการ และแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย ณ คลินิกชุมชนวัดใหม่ทุ่งคา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/264958 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการเฝ้าระวัง จัดการ และแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย ณ คลินิกชุมชนวัดใหม่ทุ่งคา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2 วงรอบ ผู้เข้าร่วมการศึกษาคือ คณะทำงานพัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพคลินิกชุมชนวัดใหม่ทุ่งคา (คณะทำงานฯ ) จำนวน 36 คน ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครูอย.น้อย และ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้วิจัยนำประเด็นปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยที่ได้จากการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพระดับพื้นที่คืนข้อมูลแก่คณะทำงานฯ และร่วมกันกำหนดแนวทางการเฝ้าระวัง จัดการ และแจ้งเตือนภัย จนได้รูปแบบที่ชื่อว่า WMA โดย W (watch) ประกอบด้วย PERN ได้แก่ P (proud) คือการสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่มีการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย E (educate) คือการให้ความรู้แก่คณะทำงานฯ โดยใช้หลักการหุ่นไล่กา 6อ-6เอ๊ะ R (reporting system) คือการสร้างระบบการรายงานผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย N (network) คือการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังในพื้นที่เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยเชิงรุก M (management) คือการจัดการผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยเบื้องต้น รายงานข้อมูลไปยังคณะทำงานฯ ระดับอำเภอ A (alert) คือการแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยผ่านทางกลุ่มไลน์คณะทำงานฯ การประเมินผลรูปแบบฯ ตามเกณฑ์ตัวชี้วัดที่กำหนดก่อนและหลังการแทรกแซง 3 เดือน ใช้แบบสอบถามวัดความรู้ก่อนและหลังการอบรมจำนวน 20 ข้อและการประเมินจากอัตราการรายงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยในช่องทางต่าง ๆ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> หลังใช้รูปแบบฯ ความรู้เฉลี่ยเรื่องการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยโดยรวมของคณะทำงานฯ เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 12.65±3.52 เป็น 17.62±2.13 คะแนน (คะแนนเต็ม 20) (P&lt;0.001) ความรู้รายด้านเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทุกด้าน การรายงานผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 100 การแจ้งเตือนภัยไปยังกลุ่มไลน์ระดับชุมชน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ 100 และรายงานข้อมูลเข้าระบบ Tawai for health เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ 100 <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> WMA model ทำให้คณะทำงานฯ มีความรู้เรื่องการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น การเฝ้าระวัง การจัดการ และการแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยดีขึ้น</p> เพิ่มพรรณ์ ธนะภาส ปาริฉัตร ชูสังข์ ประดิตร ปะนะรัตน์ ทิพย์รัตน์ บัวเพชร ชิดชนก เรือนก้อน Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 40 54 อุบัติการณ์การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยที่ได้รับ ยาโคลซาปีนที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265134 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาอุบัติการณ์การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยที่ได้รับยา clozapine ที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์<strong> วิธีการ: </strong>การศึกษาแบบเหตุไปหาผลแบบย้อนหลังโดยเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้ป่วยในที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทและได้รับยา clozapine ในช่วงระหว่าง 1 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2565 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ การใช้ยาร่วม โรคเรื้อรัง และปัจจัยอื่น ๆ กับการเกิดภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยที่ได้รับยา clozapine ใช้สถิติ cox proportional hazards regression <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>จากผู้ป่วยที่ได้รับยา clozapine 350 คน มี 51 คน ที่มีภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจ คิดเป็นอุบัติการณ์เท่ากับ 1.544 ต่อประชากร 1,000 คน-วัน ทั้งนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจที่มีภาวะปอดอักเสบ 4 คน ซึ่งคิดเป็นอุบัติการณ์ท่ากับ 0.121 ต่อประชากร 1,000 คน-วัน ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในผู้ที่ได้รับยา clozapine ได้แก่ การได้รับยา clorazepate (HR<sub>adj</sub>=5.51; 95%CI 1.29-23.51, P=0.021) การได้รับยา lorazepam (HR<sub>adj</sub>=2.00; 95% CI 1.05-3.79, P=0.034) การมีโรคร่วมเป็นความดันโลหิตสูง (HR<sub>adj</sub>=5.65; 95%CI 1.32-24.19, P=0.019) และการมีโรคร่วมเป็นเบาหวาน (HR<sub>adj</sub>=2.02; 95%CI 1.06-3.85, P=0.031) <strong>สรุป</strong>: ผู้ป่วยในที่ได้รับยา clozapine ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจคือ ผู้ป่วยที่ได้รับยา lorazepam หรือ clorazepate หรือมีโรคร่วมเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรเฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่มนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ</p> พิสิษฐ์ แถวจันทึก อภิรดี แสงงาม กมลรัตน์ โสมรักษ์ ทวนธน บุญลือ Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 55 63 ผลของการใช้แอปพลิเคชัน Sisaket Pharmacy Network ในการบริการเภสัชกรรมทางไกล ของเครือข่ายโรงพยาบาลและร้านยาชุมชนอบอุ่นในจังหวัดศรีสะเกษ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266355 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลลัพธ์จากการใช้แอปพลิเคชัน Sisaket Pharmacy Network (แอปพลิเคชันฯ) ที่พัฒนาขึ้นในการบริการเภสัชกรรมทางไกลของเครือข่ายโรงพยาบาลและร้านยาชุมชนอบอุ่นในจังหวัดศรีสะเกษ<strong> วิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เก็บข้อมูล 3 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึง สิงหาคม พ.ศ. 2566 ตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยจำนวน 164 คนที่รับบริการผ่านแอปพลิเคชันฯ ที่ช่วยให้เภสัชกรโรงพยาบาลและเภสัชกรร้านสามารถให้คำแนะนำด้านยาก่อนและหลังผู้ป่วยรับบริการเภสัชกรรมทางไกล ตลอดจน ติดตามปัญหาจากการใช้ยา (drug related problems: DRPs) และผลข้างเคียงที่เกิดจากยา ผลลัพธ์ที่ศึกษา ได้แก่ DRPs ที่พบก่อนการรับบริการเภสัชกรรมทางไกลที่ประเมินโดยเภสัชกรโรงพยาบาลศรีสะเกษ DRPs ที่พบหลังรับการบริการเภสัชกรรมทางไกลซึ่งประเมินโดยเภสัชกรรร้านยาใน 14 วันถัดมา และความพึงพอใจของผู้รับบริการที่มีต่อการบริการเภสัชกรรมทางไกล ซึ่งประเมินหลังผู้ป่วยรับยาทางไปรษณีย์ <strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>ก่อนการให้บริการเภสัชกรรมทางไกล พบ DRPs 46 ปัญหาในผู้ป่วย 46 ราย (ร้อยละ 28.05) DRPs ที่พบมากที่สุด 4 อันดับแรก คือ ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา (ร้อยละ 80.43 ของ DRPs ทั้งหมด) รองลงมา คือ ผู้ป่วยได้รับยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง (ร้อยละ 4.35 ของ DRPs ทั้งหมด) การซื้อยารับประทานเอง (ร้อยละ 4.35 ของ DRPs ทั้งหมด) และอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น (ร้อยละ 4.35 ของ DRPs ทั้งหมด) การติดตาม DRPs พบว่า DRPs ได้รับการแก้ไข 44 ปัญหา (ร้อยละ 95.65) DRPs ที่พบในขั้นตอนการให้คำแนะนำหลังรับบริการเภสัชกรรมทางไกลมีจำนวน 8 ปัญหา DRPs ที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ผู้ป่วยได้รับยาช้ากว่าปกติ/ลงวันนัดในระบบผิด (2 ปัญหา) ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา (2 ปัญหา) และอาการของโรคไม่ดีขึ้น (2 ปัญหา) DRPs ทั้งหมดได้รับติดตามและแก้ไข ส่วน DRPs ที่พบในผู้ป่วยของคลินิกจิตเวชในช่วงก่อนรับบริการเภสัชกรรมทางไกลมี 23 ปัญหา DRPs ที่พบมากที่สุด 4 อันดับแรก คือ ความไม่ร่วมมือในการใช้ (ร้อยละ 80.43 ของ DRPs ในคลินิกจิตเวชทั้งหมด) รองลงมา คือ การได้รับยาไม่ครบจำนวน (ร้อยละ 4.35) การซื้อยาชนิดอื่นรับประทานเอง (ร้อยละ 4.35) และอาการของโรคไม่ดีขึ้น (ร้อยละ 4.35) DRPs ทั้งหมดได้รับการติดตามโดยเภสัชกร DRPs ที่พบหลังรับบริการพบ DRPs 5 ครั้งโดยเป็นความไม่ร่วมมือในการใช้ยา 2 ปัญหา ความพึงพอใจในการรับบริการเภสัชกรรมทางไกลโดยผู้รับบริการมีค่าเฉลี่ยที่ 3.80±0.44 (จากคะแนนเต็ม 4) <strong>สรุป </strong><strong>: </strong>แอปพลิเคชัน Sisaket Pharmacy network สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามความปลอดภัยด้านยาให้แก่ผู้ป่วยและสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลและร้านยาในเครือข่ายได้ แอปพลิเคชันฯ นี้สามารถเพิ่มบทบาททางวิชาชีพของเภสัชกรชุมชมได้มากขึ้น</p> รวิวรรณ ฉลาดล้ำ นุศราพร เกษสมบูรณ์ Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 64 75 ประสิทธิผลของน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265649 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวที่วัดผลก่อนและหลังทดลองในตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย จำนวน 31 คนที่ได้รับน้ำมันกัญชาในการดูแลแบบประคับประคอง การศึกษาเก็บข้อมูลสองครั้ง คือ ก่อนการใช้น้ำมันกัญชาและหลังการใช้เป็นเวลา 3 เดือน โดยประเมินคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพด้วยแบบ EQ-5D-5L และติดตามอาการต่าง ๆ ด้วยแบบประเมิน ESAS (Edmonton Symptom Assessment System) ประเมินผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองใช้แบบประเมิน POS (the Palliative care Outcome Scale<strong>)</strong> และประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยแบบประเมิน 2Q <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพโดยรวมมีค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการใช้น้ำมันกัญชา 3 เดือนเท่ากับ 69.03±32.49, 86.00±21.08 ตามลำดับ โดยคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.018) คะแนนอรรถประโยชน์ก่อนและหลังทดลอง เท่ากับ 0.858±0.18, 0.955±0.07 ตามลำดับ ซึ่งดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.004) อาการปวด เหนื่อย/อ่อนเพลีย คลื่นไส้ วิตกกังวล เบื่ออาหาร การสบายกายและใจ เหนื่อยหอบ และอาการอื่น ๆ หลังการใช้น้ำมันกัญชาดีขึ้นกว่าก่อนการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.018, 0.030, 0.040, 0.006, 0.008, 0.006, 0.012 และ 0.030 ตามลำดับ) ผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองภาพรวมก่อนและหลังทดลอง เท่ากับ 0.82±1.15, 0.52±0.89 ตามลำดับ ซึ่งดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.013) ผลลัพธ์ด้านอาการปวด และอาการอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกหลังทดลองดีขึ้นกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.013, 0.032 ตามลำดับ) ผู้ป่วยความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าก่อนทดลอง จำนวน 5 และหลังทดลองจำนวน 1 คน <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> น้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มอรรถประโยชน์ ช่วยลดอาการปวด และอาการอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก จึงอาจเป็นทางเลือกให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองได้</p> รัศมี สุขนรินทร์ กฤษฎนัย ศรีใจ เพียงกมล ทองสมบูรณ์ จินดา ม่วงแก่น คณิตา เพ็งสลุด นิติรัตน์ มีกาย Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 76 85 ประสิทธิผลของเจลทำความสะอาดผสมสารสกัดรากกวาวเครือขาวในการดูแลอวัยวะเพศภายนอก ของสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะปากช่องคลอดและช่องคลอดฝ่อแห้ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265665 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินประสิทธิผลของเจลทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอกผสมสมุนไพรสารสกัดรากกวาวเครือขาวในการดูแลอวัยวะเพศภายนอกของสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะปากช่องคลอดและช่องคลอดฝ่อแห้ง <strong>วิธีการ:</strong> การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมปกปิดแบบสองทาง กลุ่มตัวอย่าง 72 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มจำนวนเท่ากัน คือ กลุ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ผสมสารสกัดรากกวาวเครือขาวและว่านหางจระเข้ ในขนาดกวาวเครือดิบ 20 มิลลิกรัมต่อวันและกลุ่มควบคุมใช้ผลิตภัณฑ์ผสมว่านหางจระเข้ ทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ผู้วิจัยสัมภาษณ์อาสาสมัครแบบตัวต่อตัวเพื่อประเมินภาวะปากช่องคลอดและช่องคลอดฝ่อแห้งในช่วงก่อนเริ่มศึกษาและหลังการใช้ผลิตภัณฑ์สัปดาห์ที่ 4 และ12 <strong>ผลการวิจัย:</strong> เมื่อสิ้นสุดการศึกษา ภาวะปากช่องคลอดและช่องคลอดฝ่อแห้ง ได้แก่ สภาพผิวแห้งและรอยแดงบริเวณอวัยวะเพศภายนอก อาการแห้ง อาการแสบคัน และอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ของอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม ลดลงเมื่อเทียบกับระดับที่ประเมินก่อนเริ่มศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ปัญหาสภาพผิวและอาการจากภาวะปากช่องคลอดและช่องคลอดฝ่อแห้งของกลุ่มทดลองลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) ยกเว้นการลดลงของอาการเจ็บปวดในช่องคลอดของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.10) อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม มีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ และพบอาการข้างเคียง คือ ระคายเคืองเล็กน้อยขณะฟอก <strong>สรุป:</strong> การใช้เจลทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอกผสมสารสกัดรากกวาวเครือขาวและว่านหางจระเข้ ในขนาดกวาวเครือดิบ 20 มิลลิกรัมต่อวัน มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการดูแลสภาพผิวอวัยวะเพศภายนอกและลดอาการจากภาวะปากช่องคลอดและช่องคลอดฝ่อแห้งของสตรีวัยหมดประจำเดือนได้ดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีกวาวเครือขาว</p> นิศาชล ทองคำ สุวิภา อึ้งไพบูลย์ Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 86 100 ความชุกของการแสดงฉลากที่ไม่ถูกต้องและการปลอมปนสารห้ามใช้ของ เครื่องสำอางที่จดแจ้งด้วยระบบ E-submission ในจังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265898 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อศึกษาความชุกของการแสดงฉลากที่ไม่ถูกต้อง และการปลอมปนสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางที่จดแจ้งด้วยระบบ E-submission ในจังหวัดเขียงใหม่ <strong>วิธีกา</strong>ร: การวิจัยภาคตัดขวางครั้งนี้ศึกษาคำขอจดแจ้งเครื่องสำอางที่ให้ผู้ประกอบการถ่ายรูปฉลากเครื่องสำอาง พร้อมนำส่งผลิตภัณฑ์เพื่อตรวจสอบสารห้ามใช้ 4 ชนิดด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น การศึกษาประเมินความรู้ของผู้ประกอบการเกี่ยวกับฉลากที่ถูกต้องและสารห้ามใช้โดยส่งแบบสอบถามในรูปแบบ Google Forms ผ่าน Line official <strong>ผลการวิจัย:</strong> จำนวนคำขอจดแจ้งเครื่องสำอางของจังหวัดเชียงใหม่ที่อนุมัติผ่านในระบบ E-submission ปีงบประมาณ 2565 ทั้งสิ้น 1,282 คำขอ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงสูง 216 คำขอ (ร้อยละ 16.85) และความเสี่ยงต่ำ 1,066 คำขอ (ร้อยละ 83.15) การตรวจสอบฉลากเครื่องสำอาง 127 รายการพบฉลากไม่ถูกต้อง 97 รายการ (ร้อยละ 76.38) เครื่องสำอางประเภทขออนุญาตนำเข้ามีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากที่ไม่ถูกต้องมากกว่าเครื่องสำอางประเภทขออนุญาตผลิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ร้อยละ 100 และร้อยละ 73.45 ตามลำดับ P= 0.039) การตรวจสอบสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง 68 รายการ พบสารห้ามใช้ 9 รายการ (ร้อยละ 13.24) เครื่องสำอางที่พบสารไฮโดรควิโนน มีสัดส่วนของการแสดงฉลากไม่ถูกต้องน้อยกว่าเครื่องสำอางที่ไม่พบสารไฮโดรควิโนนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ร้อยละ 33.33 และ ร้อยละ 75.80 ตามลำดับ, P= 0.047) การประเมินความรู้เกี่ยวกับการแสดงฉลากที่ถูกต้องและสารห้ามใช้ของผู้ประกอบการ 36 คน ได้คะแนนเฉลี่ย 13.81 ± 2.65 คะแนน (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) <strong> สรุป</strong><strong>:</strong> คำขอจดแจ้งเครื่องสำอางผ่านระบบ E-submission พบเครื่องสำอางประเภทความเสี่ยงต่ำมากกว่าความเสี่ยงสูง เครื่องสำอางประเภทนำเข้า และไม่มีสารไฮโดรควิโนนมีโอกาสพบฉลากที่ไม่ถูกต้องมากกว่า และอาจพบสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ฉลากถูกต้องได้ ผลการศึกษาอาจใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวางแผนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวัง ติดตามผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จดแจ้งผ่านระบบ E-submission เพื่อลดความเสี่ยงแก่ผู้บริโภคต่อไป</p> ปิยพร ชัยชนะพูนผล ชิดชนก เรือนก้อน Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 101 111 ลักษณะของฉลากบรรจุยาในคลินิกเวชกรรมเอกชน: การศึกษาเชิงตัดขวางในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265919 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของการแสดงฉลากบรรจุยาครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งรายละเอียดการแสดงฉลากบรรจุยาของคลินิกเวชกรรมในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี <strong>วิธีการ:</strong> งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงตัดขวางที่เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ร่วมกับการลงพื้นที่สำรวจระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ถึง 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ในคลินิกเวชกรรมทั่วไปและเวชกรรมเฉพาะทางที่ขึ้นทะเบียนก่อนวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565 และตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี การศึกษาเก็บข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้จ่ายยา คลินิก และฉลากยาที่ส่งมอบจริงให้กับผู้ป่วย ได้แก่ 1) ช่องทางติดต่อคลินิก 2) ชื่อผู้ป่วยและวันที่จ่ายยา 3) ชื่อยา 4) รูปแบบ ความแรง 5) วิธีการใช้ 6) ข้อบ่งใช้ 7) คำเตือน ข้อควรระวัง และ 8) วันหมดอายุ ผลลัพธ์ในการศึกษาประกอบด้วย การแสดงฉลากยาครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด การแสดงองค์ประกอบสำคัญของฉลากยาครบถ้วน และจำนวนองค์ประกอบบนฉลากบรรจุยา <strong>ผลการวิจัย</strong>: จากคลินิกที่สำรวจ 89 แห่ง พบเพียงร้อยละ 3.4 ที่เขียนฉลากบรรจุยาครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และมีเพียงร้อยละ 12.4 ที่ฉลากบรรจุยามีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน โดยองค์ประกอบที่มีการระบุไว้ส่วนใหญ่ ได้แก่ วิธีใช้ยา (ร้อยละ 89.9) รายละเอียดของสถานพยาบาล (ร้อยละ 82.0) วันหมดอายุ (ร้อยละ 57.3) และชื่อยาภาษาอังกฤษ (ร้อยละ 56.2) ผลการประเมินแต่ละองค์ประกอบบนฉลากโดยพนักงานผู้ปฏิบัติงานในคลินิกและเจ้าพนักงานบังคับใช้กฎหมายพบว่ามีความสอดคล้องกันต่ำ (kappa statistics -0.03 ถึง 0.38) นอกจากนี้การมีผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมมากกว่าหนึ่งคนเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการมีจำนวนองค์ประกอบบนฉลากที่เพิ่มขึ้น (adjusted beta-coefficient 1.29; 95% CI: 0.42 ถึง 2.17) และเพิ่มแนวโน้มการเขียนฉลากยาที่มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน (adjusted odds ratio 42.50; 95% CI 2.96 ถึง 610.86) <strong>สรุป:</strong> คลินิกเวชกรรมที่สำรวจส่วนใหญ่ยังเขียนฉลากบรรจุยาไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด การส่งเสริมความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับองค์ประกอบที่ต้องแสดงบนฉลากบรรจุยาน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการดำเนินงานที่สำคัญก่อนที่กฎหมายจะถูกบังคับใช้อย่างจริงจังต่อไปในอนาคตอันใกล้</p> กิตติพศ ใครบุตร ณัฐ นาเอก รุ่งทิวา หมื่นปา Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 112 124 การสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านยาต่อการเข้าร่วมในระบบหมอพร้อมสเตชัน: กรณีศึกษาจังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266030 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อสำรวจความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมในระบบหมอพร้อมสเตชันของผู้ประกอบการร้านยา และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเข้าร่วมดังกล่าว <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการสำรวจภาคตัดขวางในกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านยาแผนปัจจุบันในจังหวัดอุดรธานี ระหว่างกรกฎาคม - สิงหาคม พ.ศ. 2565 แบบสอบถามในการวิจัย ประกอบด้วยคำถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของร้านยา เหตุผลของการเข้าร่วมและไม่เข้าร่วมระบบหมอพร้อมสเตชัน และความคิดเห็นต่อระบบหมอพร้อมสเตชัน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ผู้วิจัยสำรวจร้านยา 102 ร้าน มีร้านยาเข้าร่วมในระบบหมอพร้อมสเตชัน 24 ร้าน เหตุผลสำหรับร้านยาที่ไม่เข้าร่วมระบบหมอพร้อมสเตชัน ได้แก่ บุคลากรไม่เพียงพอ (ร้อยละ 60.3<strong>) </strong>การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคโควิด-19 (ร้อยละ 57.7) และพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการให้บริการ (ร้อยละ 35.9) นอกจากนี้ ร้านยาส่วนใหญ่เห็นว่า การเข้าร่วมระบบหมอพร้อมสเตชันช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเดินทางเข้าสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 และทำให้ร้านยามีบทบาทในการให้ความรู้ประชาชนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่า เภสัชกรใช้เวลานานขึ้นในการให้บริการ การวิเคราะห์ปัจจัยแบบพหุตัวแปรพบว่า การเป็นร้านยาเดี่ยว (adjusted odds ratio [AOR]=0.02, 95% CI: 0.00-0.19, P=0.001) และระยะเวลาประกอบกิจการ 5-10 ปี (AOR=0.08, 95% CI: 0.01-0.66, P=0.019) สัมพันธ์กับการลดการเข้าร่วมระบบหมอพร้อมสเตชัน ในทางกลับกัน การมีผู้ประกอบการเป็นเภสัชกร (AOR=39.00, 95% CI: 2.68-599.32, P=0.007) สัมพันธ์กับการเพิ่มการเข้าร่วมระบบหมอพร้อมสเตชัน <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ร้านยาแผนปัจจุบันประมาณสามในสี่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการหมอพร้อมสเตชันเนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอและกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ผู้กำหนดนโยบายควรมีกลยุทธ์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ร้านยาเข้าร่วมโครงการของรัฐเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการและเป็นการส่งเสริมบทบาทเภสัชกรในการให้บริการประชาชนต่อไป</p> จิราวรรณ กุลวิทิต นทพร ชัยพิชิต ปาจรีย์ มงคล Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 125 138 คุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับยาต้านเศร้า https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265970 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินคุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาในนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับยาต้านเศร้า <strong>วิธีการ:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาทุกระดับชั้น จำนวน 76 คนที่ได้รับยาต้านเศร้า ณ ฝ่ายส่งเสริมสุขภาวะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2566 การประเมินคุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาใช้แบบสอบถาม Patient-Reported Outcomes Measure of Pharmaceutical Therapy (PROMPT) ฉบับย่อ <strong>ผลการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 21.33 ± 2.94 ปี คุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 8 มิติ (16 ข้อคำถาม) อยู่ในระดับปานกลางถึงดี (มีค่าคะแนนอยู่ในช่วงคะแนน 51-75 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) โดยแต่ละมิติมีค่าเฉลี่ยคะแนน ดังนี้ มิติที่ 1 การได้รับ ข้อมูลยาและโรคมีคะแนนเฉลี่ย 59.08 ± 18.61 คะแนน; มิติที่ 2 ความพึงพอใจเกี่ยวกับประสิทธิผลของยามีคะแนนเฉลี่ย 59.87 ± 20.65 คะแนน; มิติที่ 3 ผลกระทบจากอาการข้างเคียงของยามีคะแนนเฉลี่ย 55.59 ± 26.33 คะแนน; มิติที่ 4 ผลทางด้านจิตใจของการใช้ยามีคะแนนเฉลี่ย 60.20 ± 23.16 คะแนน; มิติที่ 5 ความสะดวกในการใช้ยาคะแนนเฉลี่ย 68.75 ± 27.12 คะแนน; มิติที่ 6 การมียาให้ใช้และเข้าถึงการใช้ยามีคะแนนเฉลี่ย 70.39 ± 29.92 คะแนน; มิติที่ 7 ความสัมพันธ์ทางด้านการรักษามีคะแนนเฉลี่ย 70.39 ± 27.00 คะแนนและมิติที่ 8 คุณภาพชีวิตโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ย 59.54 ± 22.35 คะแนน <strong>สรุป:</strong> ผลการวิจัยทำให้ทราบถึงคุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาในแต่ละมิติของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับยาต้านเศร้าเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการติดตามการรักษาและใช้ในการพัฒนาแนวทางของการบริบาลทางเภสัชกรรมต่อไป</p> จักรพงค์ มัชฌิมาภิโร ธารีวรรณ เทียมเมฆ ภุชงค์ เหล่ารุจิสวัสดิ์ ทัดตา ศรีบุญเรือง Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 139 149 ผลของการให้บริการตามรูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมร่วมกับสหวิชาชีพใน คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย ณ โรงพยาบาลห้วยเกิ้ง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266083 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อวัดผลลัพธ์ของการให้บริการตามรูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมร่วมกับสหวิชาชีพ (multidiscipli- nary pharmaceutical care model: MPCM) ณ คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลห้วยเกิ้ง จังหวัดอุดรธานี (คลินิกกัญชาฯ) <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ต่อเนื่องจากระยะวางแผน การศึกษาประกอบด้วย 3 ระยะ คือ 1. ระยะปฏิบัติการ โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาจากการใช้ยา (drug related problems: DRPs) ในผู้ป่วยนอกที่เข้ารับบริการในคลินิกกัญชาฯ อย่างต่อเนื่องจำนวน 120 คน โดยเป็นผู้ป่วยในกลุ่มที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกเรื้อรัง โรคไมเกรน โรคนอนไม่หลับ และโรคมะเร็ง ร้อยละ 30.8, 26.6, 17.5 และ 7.5 ตามลำดับ ต่อมาทดลองให้บริการตาม MPCM ที่ออกแบบจากระยะวางแผนในผู้ป่วย 3 เดือน 2. ระยะสังเกตการณ์เป็นการประเมินผลลัพธ์หลังการใช้ MPCM จากจำนวน DRPs เฉลี่ยที่เปลี่ยนแปลง และ 3. ระยะสะท้อนผลเป็นการใช้วิธีการสนทนากลุ่มในทีมสหวิชาชีพเพื่อสอบถามความเห็นต่อ MPCM <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> จำนวน DRPs ทั้งหมดก่อนการนำ MPCM มาใช้เท่ากับ 81 ครั้ง หรือเฉลี่ย 0.68 ปัญหาต่อราย หลังการนำ MPCM มาใช้พบ DRPs ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเหลือ 10 ครั้งหรือเฉลี่ย 0.08 ปัญหาต่อราย (P=0.045) ทั้งก่อนและหลังการนำ MPCM มาใช้พบว่า DRPs ประเภทที่ส่งผลต่อความปลอดภัยมากกว่าประเภทที่ส่งผลต่อการรักษา สาเหตุของ DRPs ที่พบมากที่สุด คือ พฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยไม่เหมาะสม ซึ่งพบว่ามีจำนวนลดลงจาก 44 ครั้งเหลือ 4 ครั้ง (ลดลงร้อยละ 90.9) หลังจากนำ MPCM มาใช้ ทั้งนี้ในช่วงก่อนนำ MPCM มาใช้ เภสัชกรแก้ไข DRPs ด้วยความพยายาม 81 ครั้ง โดยเป็นผู้ประสานงานระหว่างแพทย์ พยาบาล เภสัชกรท่านอื่น ๆ ทั้งในและนอกโรงพยาบาล รวมถึงผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย มีการยอมรับการแก้ไขปัญหาจำนวน 77 ปัญหา (ร้อยละ 95.0) ผู้ป่วย 105 ราย (ร้อยละ 87.5) มีผลการรักษาที่ดีขึ้นภายหลังจากการนำ MPCM มาใช้ ส่วนในขั้นตอนสะท้อนผล ทีมสหวิชาชีพเห็นตรงกันว่า MPCM ที่ร่วมกันออกแบบเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย และทำให้ระบบงานมีคุณภาพมากขึ้นและเห็นควรใช้ต่อไป <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ขั้นตอนการบริการตาม MPCM ในคลินิกกัญชาฯ ลด DRPs ทั้งระดับผู้ป่วยและระดับผู้สั่งใช้ยา โดยเภสัชกรมีบทบาทสำคัญในการค้นหา ป้องกัน และแก้ไข DRPs ร่วมกับทีมสหวิชาชีพและผู้ป่วย ส่งผลให้ผลการรักษาดีขึ้นและผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากการใช้ยามากขึ้น จึงควรนำ MPCM ไปปรับใช้ในคลินิกกัญชาฯ ต่อไป</p> ศักดิ์ชาย ขัติยา นุศราพร เกษสมบูรณ์ Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 150 163 การใช้กฎความสัมพันธ์เพื่อศึกษารูปแบบการสั่งใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่มีโรคร่วมจำแนกตามการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในโรงพยาบาลตำรวจ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266116 <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อให้ทราบรูปแบบการสั่งใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีโรคร่วมจำแนกตามการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในโรงพยาบาลตำรวจด้วยกฎความสัมพันธ์ <strong>วิธีการ:</strong> การศึกษาเชิงพรรณาครั้งนี้ เก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่รับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดจากห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอกระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2565 และมีผลตรวจน้ำตาลในเลือด การวิเคราะห์รูปแบบการสั่งใช้ยาใช้กฎความสัมพันธ์ด้วยอัลกอริทึมอพริโอริในโปรแกรม RStudio <strong>ผลการวิจัย</strong>: การศึกษาพบใบสั่งยา 51,502 ใบที่เข้าเกณฑ์การศึกษา โรคร่วมที่พบมาก ได้แก่ ความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น ส่วนมากรูปแบบการสั่งใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่ไม่มี/มีโรคร่วมคล้ายคลึงกัน คือ มีการใช้ยา metformin มากที่สุด และใช้ร่วมกับยา glipizide และ/หรือ pioglitazone และยา metformin ร่วมกับยากลุ่ม DPP-4 inhibitors (dipeptidyl peptidase-4 inhibitors) หรือ SGLT-2 inhibitors (sodium-glucose co-transporter-2 inhibitors) ยกเว้นผู้ป่วยโรคร่วมไตวายเรื้อรังที่ใช้ยาฉีดอินซูลินเป็นส่วนมาก และผู้ป่วยโรคร่วมโรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรังใช้ยา metformin ร่วมกับยากลุ่ม SGLT-2 inhibitors มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น จากรูปแบบการสั่งใช้ยาผู้ป่วยที่ไม่มี/มีโรคร่วม ในผู้ป่วยกลุ่มที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย และผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนใหญ่มีรูปแบบการสั่งใช้ยาคล้ายคลึงกัน แต่มีค่าสนับสนุนการสั่งใช้ยาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) ยกเว้นผู้ป่วยที่มีโรคร่วมไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีการสั่งใช้ยาแตกต่างกัน และส่วนใหญ่การสั่งใช้ยามีค่าสนับสนุนไม่แตกต่างกัน <strong>สรุป:</strong> กฎความสัมพันธ์ด้วยอัลกอริทึมอพริโอริ ช่วยค้นหารูปแบบการสั่งใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดจากใบสั่งยาจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว การมีโรคร่วมและความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีความเกี่ยวข้องกับการสั่งใช้ยาสำหรับผู้ป่วย ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาปรับการดูแลและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยต่อไป</p> อรวรรณ สุภาพ วีรยุทธ์ เลิศนที Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 164 186 กลยุทธ์การสื่อสารของผู้มีอิทธิพลทางความคิดด้านสุขภาพบนสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266125 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ศึกษากลยุทธ์การสื่อสารของผู้มีอิทธิพลทางความคิดด้านสุขภาพบนสื่อสังคมออนไลน์ <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการเก็บข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดด้านสุขภาพจำนวน 5 คนที่มีผู้ติดตามบนสื่อสังคมออนไลน์ตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไปและเนื้อหาที่เผยแพร่ต้องเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมด ผู้ให้ข้อมูลได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจงและอ้างอิงต่อเนื่องปากต่อปาก <strong>ผลการวิจัย</strong>: สื่อออนไลน์ที่ผู้มีอิทธิพลทางความคิดใช้ คือ Facebook page และ TikTok ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดในระดับ micro-influencers 1 คน (ผู้ติดตาม 1,000-100,000 บัญชี) และ macro-influencers 4 คน (ผู้ติดตาม 100,000 ถึง 1 ล้านบัญชี) ทุกคนได้เปิดเผยตัวตนว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์ กลยุทธ์การสื่อสารที่ใช้ได้คำนึงถึงความต้องการและพื้นฐานความรู้ของกลุ่มผู้ติดตามซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป จึงมีการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สื่อความรู้ที่น่าสนใจ สอดแทรกความตลก และเป็นข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ ผู้ให้ข้อมูลมักนำเสนอประเด็นสุขภาพที่กำลังได้รับความสนใจในสังคม <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> กลยุทธ์การสื่อสารของผู้มีอิทธิพลทางความคิดด้านสุขภาพที่ได้ผลเหมือนกันมี 5 กลยุทธ์ คือ 1) การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงประเด็น 2) การใช้สื่อความรู้ประกอบการอธิบายตามแต่ทักษะของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอสั้น 3) การใช้มุกตลกเป็นส่วนช่วยในการดึงดูดความสนใจ 4) การใช้แหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และ 5) การนำเสนอเนื้อหาที่กำลังเป็นกระแสสังคมหรือ real-time contents</p> จักรวรรดิ์ มานะการ วิบูลย์ วัฒนนามกุล Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 187 198 การปรับเกณฑ์คัดกรองการตรวจพันธุกรรมอัลลีล HLA-B*58:01 ในผู้ป่วยรายใหม่ที่มีข้อบ่งใช้ ยา allopurinol เพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังชนิดรุนแรงในโรงพยาบาลท่าสองยาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/271491 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาการตรวจอัลลีล HLA-B*58:01 ในผู้ป่วยรายใหม่ที่มีข้อบ่งใช้ยา allopurinol โดยการปรับเกณฑ์คัดกรอง ตลอดจนศึกษาผลต่อสัดส่วนของผู้ป่วยที่ได้รับการคัดกรอง และศึกษาความแตกต่างของการตรวจพบอัลลีล HLA-B*58:01 ระหว่างผู้ป่วยชาวไทยและผู้ป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ และระหว่างเพศชายกับหญิงในโรงพยาบาลท่าสองยาง <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาปรับเปลี่ยนเกณฑ์การคัดกรองใหม่โดยให้มีการส่งตรวจผู้ป่วยทุกรายที่เป็นรายใหม่และมีข้อบ่งใช้ยา allopurinol ทั้งนี้ แพทย์ทุกท่านสามารถส่งตรวจได้ในผู้ป่วยทุกคนและทุกสิทธิของการประกันสุขภาพ การศึกษาเปรียบเทียบสัดส่วนของผู้ป่วยรายใหม่ที่มีข้อบ่งใช้ยา allopurinol และได้รับการตรวจคัดกรองพันธุกรรมอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนการพัฒนา (1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566) กับหลังพัฒนา (1 มกราคม ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2567) การศึกษายังเปรียบเทียบผลการตรวจพบอัลลีล HLA-B*58:01 ระหว่างผู้ป่วยชาวไทยและผู้ป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ และระหว่างเพศชายกับหญิง <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> หลังการปรับเกณฑ์คัดกรองฯ ผู้ป่วยได้รับการส่งตรวจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.001) จากร้อยละ 34.8 (54/155 ราย) เป็น 97.4 (37/38 ราย) พบผู้ป่วยที่มีอัลลีล HLA-B*58:01 ในช่วงก่อนการพัฒนา จำนวน 4 รายจากที่ส่งตรวจ 54 ราย (ร้อยละ 7.4) และช่วงหลังการพัฒนาพบจำนวน 1 รายจากที่ส่งตรวจ 37 ราย (ร้อยละ 2.7) ผู้ป่วยที่ได้รับการส่งตรวจทั้งหมด 91 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยจำนวน 44 ราย ตรวจพบอัลลีล HLA-B*58:01 จำนวน 5 ราย (ร้อยละ 11.4 ของกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย และร้อยละ 5.5 ของผู้ป่วยทั้งหมดที่ได้รับการส่งตรวจ) ผู้ป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 47 ราย ตรวจพบจำนวน 0 ราย ผู้ป่วยชาวไทยตรวจพบมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มชาติพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.017) สัดส่วนการตรวจพบอัลลีล HLA-B*58:01 ของเพศชายและหญิง เท่ากับร้อยละ 5.7 และ 4.8 ตามลำดับ ซึ่งไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.867) ผู้ป่วยทุกรายในการศึกษาไม่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนัง <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การปรับเกณฑ์คัดกรองฯ ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจคัดกรองพันธุกรรมอัลลีล HLA-B*58:01 ก่อนเริ่มยา allopurinol มากขึ้น ผู้ป่วยชาวไทยตรวจพบอัลลีล HLA-B*58:01 มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ เพศชายและหญิงพบไม่ต่างกัน ควรมีการนำกระบวนการนี้ไปปรับใช้ในการตรวจคัดกรองอัลลีลของ HLA-B ที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังชนิดรุนแรงในยารายการอื่นต่อไป</p> ตรีนุช เปี่ยมปรีชา เกสร บุญมา วิทยา ศิริพร สุชาติ เปี่ยมปรีชา Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 199 208 ความคิดเห็นของผู้ประกอบการต่อสถานการณ์การแข่งขันของอุตสาหกรรมสารสกัดยาสมุนไพร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266464 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันและวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสารสกัดยาสมุนไพรของไทย <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้ประกอบด้วยการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิเกี่ยวกับสถานการณ์การแข่งขันของอุตสาหกรรมสารสกัดยาสมุนไพร และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ประกอบการหรือผู้แทนโรงงานที่ผลิตสารสกัดสมุนไพรเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยาสมุนไพรที่ยังดำเนินกิจการ จำนวน 14 ราย ที่คัดเลือกมาแบบเจาะจง <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ในปี พ.ศ. 2565 ตลาดสารสกัดยาสมุนไพรของประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 0.81 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่งของตลาดอยู่ที่อันดับ 31 คิดเป็นร้อยละ 0.41 ของตลาดสารสกัดยาสมุนไพรทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งการตลาดของประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึงร้อยละ 7.38 และมูลค่าการส่งออกสารสกัดสมุนไพรจากประเทศไทยเพิ่มเป็นมูลค่ากว่า 13.77 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 0.31 ของตลาดส่งออกสารสกัดสมุนไพรโลก อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2560-2565) ประเทศไทยมีการนำเข้าสารสกัดสมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการสารสกัดสมุนไพรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะขาดดุลทางการค้าของสารสกัดสมุนไพร การสร้างความสามารถในการแข่งขันควรมุ่งเน้นที่การพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบและทรัพยากรมนุษย์ การเข้าถึงเงินทุน การใช้เทคโนโลยีทันสมัย ความต้องการของตลาดต่อคุณภาพและความปลอดภัยของสารสกัดยาสมุนไพร และการวางกลยุทธและการบริหารเพื่อการเติบโตและแข่งขันในตลาด <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> อุตสาหกรรมสารสกัดยาสมุนไพรของประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดทั้งในปัจจุบันและอนาคต และมีแนวโน้มเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ควรเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการผลิตสารสกัดสมุนไพร รวมถึงการสร้างความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับการผลิตให้ดียิ่งขึ้น เสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสารสกัดยาสมุนไพรในระดับสากล</p> พิชญารัตน์ วรรณวุฒิกุล ระพีพรรณ ฉลองสุข Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 209 228 การรักษาและป้องกันพิษ cyanide จากการใช้ sodium nitroprusside https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266907 <p>บทความนี้ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบทั้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาและเภสัชพลศาสตร์ของ sodium nitroprusside (SNP) กลไกการเกิดพิษ และวิธีการจัดการและป้องกันพิษ cyanide จากการใช้ SNP โดย SNP เป็นยาเก่าแก่ที่มีการใช้มายาวนานกว่า 100 ปี โดยเฉพาะในข้อบ่งชี้สำหรับลดความดันโลหิตเฉียบพลันในผู้ป่วยภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต หรือใช้ในการรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน SNP เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง ออกฤทธิ์เร็ว และสามารถลดความดันโลหิตได้อย่างไม่จำกัด จากการที่ตัวยาสามารถทำปฏิกิริยากับ oxyhemoglobin ในเลือด แล้วเกิดการสังเคราะห์ methemoglobin พร้อมปลดปล่อย nitric oxide ซึ่งมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดช่วยในการลดความดันโลหิตได้ทันที อย่างไรก็ตาม พบว่าจะเกิดการปลดปล่อย cyanide ออกมาร่วมด้วยจากปฏิกิริยาดังกล่าว ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงต่อภาวะพิษ cyanide ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับขนาดยา SNP สูงเกิน 2 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/นาที ผู้ป่วยที่มีโปรตีนอัลบูมินในเลือดต่ำ หรือผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง ดังนั้น ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการตรวจติดตามความดันโลหิต อิเล็กโทรไลต์ ตรวจแก๊สจากหลอดเลือดแดง (arterial blood gas) และเฝ้าระวังอาการจากภาวะพิษ cyanide ในระหว่างที่ได้รับยาดังกล่าว หากสงสัยว่าเกิดภาวะพิษหรือในรายที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดพิษ cyanide สามารถใช้ยาแก้พิษหรือป้องกันพิษ cyanide จาก SNP ได้แก่ sodium nitrite, sodium thiosulfate และ hydroxocobalamin โดยยาดังกล่าวจะทำให้เกิดการจับและเปลี่ยนรูป cyanide กลายเป็นสารที่ไม่ก่อพิษ แล้วขับออกทางปัสสาวะต่อไป</p> พัณณิตา วัฒนเรืองชัย พรพรรณ วัฒนเรืองชัย Copyright (c) 2023 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 229 241 การพัฒนาระบบคัดกรองคำสั่งใช้ยาในผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/266604 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong> เพื่อประเมินอัตรา ประเภท และระดับความรุนแรงของความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา (prescribing errors: PEs) ก่อนและหลังการพัฒนาระบบคัดกรองคำสั่งใช้ยาในผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ <strong>วิธีการ</strong>: การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผนและกำหนดรูปแบบของระบบคัดกรองคำสั่งใช้ยาในผู้ป่วยนอก การนำขั้นตอนการคัดกรองคำสั่งใช้ยาโดยเภสัชกรมาเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการทำงานของงานบริการเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก และการประเมินผลลัพธ์ ได้แก่ ประเภทของ PEs และความรุนแรงของ PEs ที่ประเมินโดยใช้เกณฑ์ของ National Coordinating Council for Medication Error Reporting and Prevention (NCC MERP) โดยเก็บข้อมูลก่อนการพัฒนาระบบ 6 เดือนและหลังการพัฒนาระบบ 6 เดือน<strong> ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> การนำขั้นตอนคัดกรองคำสั่งใช้ยาโดยเภสัชกรมาเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการทำงานของงานบริการเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ทำให้เภสัชกรดักจับ PEs ได้เพิ่มขึ้นจาก 4.80 ครั้งต่อ 1,000 ใบสั่งยา เป็น 7.83 ครั้งต่อ 1,000 ใบสั่งยา ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.001) ประเภทของ PEs หลังการพัฒนาระบบที่พบมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ จำนวนยาผิด ขนาดยามากไป และขนาดยาน้อยไป ในช่วงก่อนการพัฒนาระบบพบระดับความรุนแรงของ PEs ในระดับ A-D หลังการพัฒนาระบบพบว่าระดับความรุนแรงของ PEs ลดลง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ A-B ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่ถึงตัวผู้ป่วย <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การนำขั้นตอนการคัดกรองคำสั่งใช้ยามาเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการทำงานของงานบริการเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ทำให้สามารถดักจับ PEs ได้เพิ่มขึ้น และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วย</p> กฤติกา กสิโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 242 255 การสำรวจรายการยาที่ร้านยาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ขายผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ โดยพนักงานของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเป็นผู้ซื้อยาในสถานที่จากร้านยาและส่งให้ผู้บริโภค https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/265969 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อสำรวจรายการและสถานะทางกฎหมายของยาที่ร้านยาในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ขายผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์โดยพนักงานของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเป็นผู้ซื้อยาในสถานที่จากร้านยาและส่งให้ผู้บริโภค (หรือผู้รับฝากซื้อ) และหาแนวทางการจัดการขายยาดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม การวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวางระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม ถึง 6 มิถุนายน พ.ศ.2566 ทำเพื่อสำรวจรายการและสถานะทางกฎหมายของยาที่มีขายผ่านช่องทางการฝากซื้อออนไลน์ของร้านยาที่ตั้งในอำเภอเมืองเชียงใหม่บนแอปพลิเคชันของบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพทำเพื่อหาแนวปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกรายเดี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านนโยบายและกฎหมายสาธารณสุข เภสัชกรร้านยา และประชาชน รวมทั้งหมด 12 คน และยังมีการสนทนากลุ่มกับผู้ปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุขและนิติกรประจำเขตสุขภาพ รวม 3 คน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ร้านยา 56 แห่งในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่มีช่องทางขายยาผ่านการฝากซื้อออนไลน์ ยาที่พบการขาย 2,575 รายการ แบ่งสถานะทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 เป็นยาควบคุมพิเศษ 4 รายการ (ร้อยละ 0.19) ยาอันตราย 209 รายการ (ร้อยละ 8.12) ยาสามัญประจำบ้าน 693 รายการ (ร้อยละ 26.91) และยาที่ไม่ใช่ยาควบคุมพิเศษหรือยาอันตราย 1,668 รายการ (ร้อยละ 64.78) แนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหาที่ผู้ให้ข้อมูลเสนอ ได้แก่ การทบทวนกฎหมายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงช่องทางการเข้าถึงยาของประชาชน การจัดกลุ่มยาตามความเสี่ยงและกำหนดให้ยาบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยสามารถขายผ่านออนไลน์ การกำหนดให้มีการซักประวัติและส่งมอบยาโดยเภสัชกรเท่านั้น การจัดตั้งระบบเฝ้าระวังการขายยาออนไลน์ระดับประเทศ และการเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้บริโภค <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> รายการยาที่ปรากฏบนแอปพลิเคชันการฝากซื้อยาออนไลน์จากร้านยาในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ทั้งนี้จำเป็นต้องการทบทวนกฎหมายที่ควบคุมช่องทางการขายยาและการโฆษณายาทางออนไลน์ และกำหนดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยของประชาชน</p> จุฬาลักษณ์ ทรัพย์ทวีสิน ปฐวี เดชชิต เวโรจน์ เหล่าโภคิน นันทวรรณ กิติกรรณากรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 256 265 ประสิทธิผลและอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้น้ำมันกัญชาสูตรต่าง ๆ ในคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/272618 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลและอาการไม่พึงประสงค์ของน้ำมันกัญชาสูตร Cannabis Oil GPO (THC:CBD = 1:1), THC Cannabis Oil (GPO) และน้ำมันกัญชาตำรับหมอเดชา ที่ใช้ในคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้ป่วย 128 คนที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกกัญชาทางการแพทย์ของโรงพยาบาลนครพิงค์ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ผู้วิจัยโทรศัพท์ติดตามผู้ป่วยในวันที่ 7 และ 14 หลังการใช้ยาเพื่อประเมินอาการไม่พึงประสงค์ที่พบและประเมินประสิทธิผลโดยสอบถามอาการของโรคที่ผู้ป่วยใช้กัญชาในการรักษาว่าอาการดีขึ้น คงเดิม หรือแย่ลงเมื่อเทียบกับอาการก่อนใช้น้ำมันกัญชา <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยมะเร็งในระยะประคับประคอง (ร้อยละ 42.97) ข้อบ่งใช้ของกัญชาที่พบมากที่สุด คือ รักษาอาการนอนไม่หลับ (ร้อยละ 33.60) รองลงมาคือรักษาอาการปวด (ร้อยละ 32.03) ในวันที่ 7 หลังใช้ยา cannabis oil GPO (THC:CBD = 1:1), THC cannabis oil (GPO) และน้ำมันกัญชาตำรับหมอเดชา ร้อยละของผู้ที่รายงานว่ามีอาการที่ดีขึ้น คือ 61.04, 77.78 และ 80.00 ตามลำดับ ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.199) ในวันที่ 14 หลังใช้ยาทั้งสาม ร้อยละของผู้ที่มีอาการที่ดีขึ้น คือ 79.22, 80.56 และ 93.33 ตามลำดับ และไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.629) ร้อยละของผู้ใช้ cannabis oil GPO (THC:CBD = 1:1), THC cannabis oil (GPO) และน้ำมันกัญชาตำรับหมอเดชา ที่รายงานว่าพบอาการไม่พึงประสงค์ในวันที่ 7 หลังใช้ยา คือ 18.18, 13.89 และ 6.67 ตามลำดับ ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.544) อาการไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุดในวันที่ 7 หลังใช้ยาทั้งสามสูตร คือ ปากแห้ง ตาแห้ง คอแห้ง (ร้อยละ 9.09, 5.56 และ 6.67 ตามลำดับ) ร้อยละของผู้ใช้ทั้งสามสูตรที่รายงานว่าพบอาการไม่พึงประสงค์ในวันที่ 14 หลังใช้ยาไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน (P=0.796) โดยร้อยละของผู้ที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ คือ 9.09, 5.56 และ 6.67 ตามลำดับ <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 80 ที่ใช้น้ำมันกัญชาสูตร Cannabis Oil GPO (THC:CBD = 1:1) และ THC Cannabis Oil (GPO) และร้อยละ 93 ของผู้ป่วยที่ใช้น้ำมันกัญชาตำรับหมอเดชารายงานว่า ยามีประสิทธิผลช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น ประสิทธิภาพของยาทั้งสามสูตรไม่แตกต่างกัน ผู้ป่วยร้อยละ 5.56-9.09 เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาเมื่อประเมินในวันที่ 14 ของการใช้ยา </p> ธันยานี พิมสารี Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 266 273 ความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275191 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษาความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ (electronic-health literacy: e-HL) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy: HL) และพฤติกรรมการดูแลตนเองของประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และ 2) เพื่อทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองฯ ด้วย e-HL และ HL <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง จำนวน 374 คน ที่เลือกมาด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละตำบล การเก็บข้อมูลดำเนินการในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยใช้แบบสอบถามชนิดตอบเองเพื่อประเมิน e-HL, HL และพฤติกรรมการดูแลตนเองฯ <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ย e-HL, HL และพฤติกรรมการดูแลตนเองฯ เท่ากับ 3.36 ±1.05, 3.81 ±0.77 และ 3.63 ±0.70 ตามลำดับ (จากคะแนนเต็ม 5) HL ด้านการเข้าใจข้อมูลในการดูแลตนเอง (Beta=0.30, P<em>&lt;</em>0.001) และ HL ด้านการตัดสินในการจัดการตนเอง (Beta=0.19, P=0.003) สามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการดูแลตนเองฯ ได้ ร้อยละ 20.30 <strong>สรุป:</strong> ผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการพัฒนา HL ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเข้าใจข้อมูลการดูแลตนเอง และด้านการตัดสินใจในการจัดการตนเอง เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ดีต่อไป</p> บุบผา รักษานาม ธนารัตน์ หมัดเชี่ยว สุขุมาภรณ์ ศรีวิศิษฐ พิมาน ธีระรัตนสุนทร ภาณุพงศ์ สยังกุล Copyright (c) 2024 วารสารเภสัชกรรมไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 17 1 274 282