วารสารเภสัชกรรมไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP
<p> วารสารเภสัชกรรมไทยเป็นวารสารวิชาการอิเล็กทรอนิกส์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วารสารฯ มีวัตถุประสงค์คือเป็นสื่อกลางเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิชาการระหว่างนักวิจัยด้านเภสัชกรรม เภสัชกร นักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ ตลอดจนเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา</p> <p> วารสารเภสัชกรรมไทยเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทางเภสัชกรรม ได้แก่การบริบาลทางเภสัชกรรม เภสัชกรรมสังคม การบริหารเภสัชกิจ เศรษฐศาสตร์ทางยา ระบาดวิทยาของยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เภสัชสาธารณสุข เภสัชพฤติกรรมศาสตร์ การคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ นิติเภสัชกรรม จริยศาสตร์เภสัชกรรม นโยบายด้านยาและสุขภาพ การประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางสังคมและการบริหารในการปฏิบัติงานเภสัชกรรม</p> <p> ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมไทย คือ บทความวิจัยต้นฉบับ บทความทบทวนวรรณกรรมทั้งแบบเชิงบรรยาย (review article) การวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) และการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) </p> <p> ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 วารสารได้เพิ่มจำนวนเล่มจาก 2 เป็น 4 ฉบับต่อปี ดังนี้ เล่มที่ 1 (มกราคม-มีนาคม) เล่มที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) เล่มที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) และเล่มที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม)</p>
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
th-TH
วารสารเภสัชกรรมไทย
3027-6136
<p> ผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความคิดเห็นและอยู่ในความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ มิใช่ความเห็นหรือความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ หรือคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากการพิมพ์ บทความที่ได้รับการเผยแพร่โดยวารสารเภสัชกรรมไทยถือเป็นสิทธิ์ของวารสารฯ </p>
-
ปกและสารบัญ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/278190
บรรณาธิการ วารสารเภสัชกรรมไทย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
-
การพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินคุณภาพการจัดการด้านยาในโรงเรียน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/274596
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาเครื่องมือในการประเมินคุณภาพของการจัดการด้านยาในโรงเรียนของประเทศไทยสำหรับใช้ติดตามปัญหาและพัฒนาคุณภาพในเรื่องดังกล่าว<strong> วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบ่งเป็น 5 ระยะ ประกอบด้วย 1) การรวบรวมเกณฑ์สำหรับประเมินการจัดการด้านยาในโรงเรียนจากการศึกษาในอดีต 2) การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางออนไลน์เกี่ยวกับการจัดการด้านยาในโรงเรียน จำนวน 6 ท่านในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เพื่อขอความคิดเห็นในการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินที่รวบรวมได้ 3) การสำรวจโดยใช้วิธี Delphi ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจำนวน 21 ท่านถึงความเห็นชอบต่อเกณฑ์การประเมินบนมาตรวัด 1-5 (ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึง เห็นด้วยอย่างยิ่ง การสำรวจดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน พ.ศ.2567 4) การสำรวจด้วยวิธี Delphi ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 28 ท่านถึงระยะเวลาที่เหมาะสมในการนำเกณฑ์แต่ละข้อมาใช้ โดยมี 5 ตัวเลือก คือ ไม่ควรใช้ ควรใช้ทันที ควรใช้ในอีก 2, 5 หรือ 7 ปีข้างหน้า การสำรวจดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ.2567 และ 5) การพัฒนาวิธีการประเมินในเกณฑ์เฉพาะข้อที่ถือเป็นข้อบกพร่องสำคัญ (critical defect) นั่นคือ ข้อที่ทำให้ไม่ผ่านการประเมินในภาพรวมหากไม่เป็นไปตามเกณฑ์ในข้อดังกล่าว การศึกษาส่วนนี้เป็นการระดมสมองผ่านการประชุมออนไลน์เป็นเวลา 110 นาทีและการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางออนไลน์เกี่ยวกับการจัดการด้านยาในโรงเรียน จำนวน 8 ท่านในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2567 <strong> ผลการวิจัย: </strong>ในการศึกษาระยะที่ 1 ผู้วิจัยรวบรวมเกณฑ์การประเมินการจัดการด้านยาในโรงเรียนได้ 40 ข้อ แบ่งเป็นเกณฑ์ที่ไม่ใช่ critical defect 37 ข้อ และเกณฑ์ที่เป็น critical defect 3 ข้อ หลังจากสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในระยะที่ 2 ได้มีการเพิ่มเกณฑ์ประเมินเป็น 49 ข้อ ผลการสำรวจ Delphi ในรอบแรกของการศึกษาระยะที่ 3 พบว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นชอบต่อเกณฑ์ทั้งหมด โดยเกณฑ์จำนวน 40 ข้อมีค่ามัธยฐาน 5.00 (เห็นด้วยอย่างยิ่ง) และ IQR 0.00 และเกณฑ์อีกจำนวน 9 ข้อมีค่ามัธยฐาน 5.00 และ IQR 1.00 การสำรวจความเห็นชอบต่อเกณฑ์ประเมินจึงดำเนินการเพียงรอบเดียว หลังการสำรวจระยะที่ 3 มีการปรับปรุงเกณฑ์เป็น 51 ข้อ ผลการสำรวจ Delphi ในรอบแรกของการศึกษาระยะที่ 4 พบว่า เกณฑ์ประเมินทั้ง 51 ข้อผ่านฉันทามติจากผู้เชี่ยวชาญให้ใช้ในทันที โดยเกณฑ์ 42 ข้อมีค่ามัธยฐาน 5.00 และ IQR 0.00 เกณฑ์อีก 7 ข้อ มีค่ามัธยฐาน 5.00 และ IQR 1.00 และอีก 2 ข้อมีค่ามัธยฐาน 5.00 และ IQR 0.25 ดังนั้นการสำรวจในระยะที่ 4 จึงดำเนินการเพียงรอบเดียว การศึกษาทำให้ได้แบบประเมินการจัดการด้านยาในโรงเรียนที่ประกอบด้วยเกณฑ์ประเมินจำนวน 51 ข้อ แบ่งเป็น เกณฑ์ที่ไม่ใช่ critical defect จำนวน 43 ข้อ และเกณฑ์ที่เป็น critical defect จำนวน 8 ข้อ พร้อมวิธีการประเมินเฉพาะเกณฑ์ที่เป็น critical defect จากการศึกษาระยะที่ 5 <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การพัฒนาเครื่องมือประเมินการจัดการด้านยาในโรงเรียนได้ดำเนินการผ่านกระบวนการที่หลากหลาย โดยการมีส่วนร่วมจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ทำให้ได้แบบประเมินที่สามารถนำไปทดลองใช้ต่อไป</p>
นิธิศ สุธากุล
สงวน ลือเกียรติบัณฑิต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
884
918
-
ความรู้ ทัศนคติ และความพร้อมของเภสัชกรชุมชนในประเทศไทย ในการให้บริการบำบัดแบบสั้นสำหรับผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/274972
<p>วัตถุประสงค์: เพื่อสำรวจความรู้ ทัศนคติ และความพร้อมของเภสัชกรชุมชนในการบำบัดแบบสั้นสำหรับผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol Brief Intervention: ABI) และค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อความพร้อมต่อ ABI วิธีการ: ตัวอย่างเป็นเภสัชกรชุมชนในร้านยาจำนวน 524 แห่งที่สุ่มเลือกมาอย่างง่ายมาจากประชากรร้านยาแผนปัจจุบันที่เป็นร้านยาเดี่ยวทั้งประเทศ การศึกษาส่งจดหมายเชิญชวนให้ร่วมการวิจัยผ่านทางไปรษณีย์ และรวบรวมข้อมูลต่างๆ ผ่านแบบสอบถามชนิดตอบเองได้แก่ ข้อมูลลักษณะทั่วไป ความรู้ ทัศนคติ ความพร้อมต่อการให้บริการ ABI และค่าตอบแทนที่เหมาะสม ผลการวิจัย: ตัวอย่างตอบแบบสอบถามกลับจำนวน 263 ราย (ร้อยละ 50.2) และผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากตัวอย่างรายใหม่เพิ่มเติมอีกจำนวน 30 รายเพื่อให้ครบจำนวนขนาดตัวอย่างขั้นต่ำที่ต้องการ 293 ราย ร้านยาที่ตัวอย่างปฏิบัติงานร้อยละ 23.5 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นร้านยาคุณภาพโดยสภาเภสัชกรรม ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เกี่ยวกับ ABI เท่ากับ 4.42 (SD=2.78) (คะแนนเต็ม 12) ค่าเฉลี่ยของคะแนนทัศนคติต่อ ABI เท่ากับ 3.51 (SD=0.65) (คะแนนเต็ม 5) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความพร้อมต่อ ABI เท่ากับ 1.80 (SD=1.66) (คะแนนเต็ม 5) โดยมีความพร้อมมากที่สุดในด้านระบบสารสนเทศ (ร้อยละ 48.1 ของตัวอย่าง) การอบรมออนไลน์ (ร้อยละ 47.8) และ การขึ้นทะเบียนบริการและเปิดบริการได้ทุกวัน (ร้อยละ 46.1) โดยมีพร้อมด้านความรู้เกี่ยวกับ ABI ร้อยละ16.4 และด้านทักษะเกี่ยวกับ ABI ร้อยละ 21.5 ทั้งความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ ABI เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความพร้อมต่อการให้บริการ ABI อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดย odds ratio ของความรู้เกี่ยวกับ ABI เท่ากับ 1.14 (P =0.02; 95%CI 1.02 - 1.27) และของทัศนคติเกี่ยวกับ ABI เท่ากับ 4.45 (P <0.001; 95%CI 2.56 - 7.92) สรุป: เภสัชกรชุมชนมีความรู้เกี่ยวกับ ABI ยังไม่เพียงพอและมีความพร้อมเกี่ยวกับ ABI ต่ำ แม้ว่าทัศนคติเกี่ยวกับ ABI จะเป็นบวก อีกทั้งความรู้และทัศนคติต่อ ABI เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพร้อมของเภสัชกรชุมชนในการให้บริการ ABI อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับ ABI เพื่อศักยภาพและความพร้อมให้เภสัชกรชุมชนสามารถให้บริการ ABI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
สุกัณฑา หมวดทอง
หทัยรัตน์ สุขศรี
เพ็ญนภา ศรีหริ่ง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
919
933
-
การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง จัดการ และแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ไม่ปลอดภัยในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275263
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการเฝ้าระวัง จัดการ และแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย (unsafe health products: UHPs) ในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2 วงรอบ ผู้เข้าร่วมการศึกษาคือ คณะทำงานพัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คณะทำงานฯ) ในหน่วยบริการปฐมภูมิ 13 แห่ง จำนวน 327 คน ประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู อย. น้อย และ เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้วิจัยนำประเด็นปัญหา UHPs ในพื้นที่คืนข้อมูลแก่คณะทำงานฯ และร่วมกันกำหนดแนวทางการเฝ้าระวัง จัดการ และแจ้งเตือนภัย UHPs จนได้รูปแบบที่ชื่อว่า WMA 1.1 โดย 1) W (watch) ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1.1 N (network) หรือการสร้างเครือข่าย 1.2 E (education) คือ การให้ความรู้เรื่อง 6 อ-6 เอ๊ะ 1.3 P (practice) คือการให้เครือข่ายนำความรู้ไปปฏิบัติ 1.4 P (proactive surveillance activities) คือการจัดกิจกรรมเฝ้าระวังเชิงรุก 1.5 F (flow report) คือการจัดทำขั้นตอนการรายงาน และ 1.6 P (pride) คือการสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่รายงาน 2. M (management) ที่ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 2.1 C (consumer) คือ การจัดการปัญหาการใช้ UHPs ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ฯ 2.2 P (product) คือการจัดการ UHPs 2.3 F (flow manage) คือการจัดทำขั้นตอนการจัดการ และ 2.4 P (proactive problem solving activities) คือการจัดกิจกรรมเชิงรุกในการแก้ปัญหาสำคัญในพื้นที่ และ 3. A (Alert) คือการแจ้งเตือนภัย UHPs การศึกษาประเมินผลรูปแบบฯ ตามเกณฑ์ตัวชี้วัดที่กำหนดก่อนและหลังการแทรกแซง 4 เดือน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> หลังใช้รูปแบบฯ ความรู้เฉลี่ยเรื่องการเฝ้าระวัง UHPs โดยรวมของคณะทำงานฯ เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 11.71±2.97 เป็น 16.83±2.57 คะแนน (คะแนนเต็ม 20) (P<0.001) การรายงานเกี่ยวกับ UHPs ทำได้ถูกต้องร้อยละ 100 การเฝ้าระวังและการค้นหา UHPs ทำได้เพิ่มขึ้นจาก 15 เรื่อง เป็น 95 เรื่อง ปัญหา UHPs และผู้ใช้ UHPs ได้รับการจัดการ ร้อยละ 100 ระดับความเสี่ยงของ UHPs ลดลงจากระดับสูงเป็นระดับต่ำ บุคคลต้นแบบในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย UHPs เพิ่มขึ้นจาก 21 คน เป็น 41 คน ศูนย์แจ้งเตือนภัยสุขภาพในชุมชนของหน่วยบริการปฐมภูมิผ่านเกณฑ์ในระดับพัฒนา 3 แห่งและในระดับเข้มแข็ง 9 แห่ง <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> WMA model 1.1 ทำให้คณะทำงานฯ มีความรู้เรื่องการเฝ้าระวัง UHPs เพิ่มขึ้น การเฝ้าระวัง การจัดการ และการแจ้งเตือนภัย UHPs ดีขึ้น</p>
เพิ่มพรรณ์ ธนะภาส
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
934
952
-
ผลของการพัฒนาระบบการคัดกรองคำสั่งใช้ยาของแผนกผู้ป่วยในต่อ ความคลาดเคลื่อนทางยาของโรงพยาบาลกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275548
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาระบบการคัดกรองคำสั่งใช้ยาของงานบริการจ่ายยาผู้ป่วยใน และเพื่อเปรียบเทียบอัตราความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา (prescribing errors: PEs) ในช่วงก่อนและการหลังพัฒนาระบบดังกล่าว <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมี 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการวางแผน ประกอบด้วย ก) การรวบรวมข้อมูลขั้นตอนในการปฏิบัติงาน เกณฑ์ในการคัดกรองคำสั่งใช้ยา และข้อมูล PEs ใน 3 ช่วงเวลา คือ ช่วงที่ไม่มีการคัดกรองคำสั่งใช้ยา (มกราคมถึงกันยายน พ.ศ.2565) ช่วงที่มีการคัดกรองคำสั่งใช้ยา (ตุลาคม พ.ศ.2565 ถึง มิถุนายน พ.ศ.2566) และช่วงที่มีการกำหนดเกณฑ์ในการคัดกรองคำสั่งใช้ยา (ตุลาคม พ.ศ.2566 ถึง มีนาคม พ.ศ.2567) ข) การวิเคราะห์ข้อมูล PEs ใน 3 ช่วงเวลาดังกล่าว และ ค) การกำหนดกระบวนในการพัฒนาระบบ 2) ขั้นการปฏิบัติตามระบบหรือตามโปรแกรมการคัดกรองคำสั่งใช้ยาที่พัฒนาขึ้น (เมษายนถึงมิถุนายน พ.ศ.2567) 3) ขั้นการสังเกตการณ์เป็นการรวบรวมผลจากการดำเนินงานในขั้นการปฏิบัติตามระบบที่วางไว้ ได้แก่ กระบวนการในการพัฒนาระบบและข้อมูล PEs 4) ขั้นการสะท้อนผลการปฏิบัติและการปรับปรุงระบบ ประกอบด้วย ก) การประเมินผลการดำเนินงานตามระบบ ข) การปรับปรุงระบบโดยเพิ่มการมีเภสัชกรประจำจุดคัดกรองคำสั่งใช้ยา (กรกฎาคมถึงกันยายน พ.ศ.2567) และ ค) การประเมินผลลัพธ์โดยเปรียบเทียบ PEs ระหว่างก่อนและหลังการดำเนินการตามระบบในช่วงเวลาต่าง ๆ กับในช่วงที่มีเภสัชกรประจำจุดคัดกรองคำสั่งใช้ยา <strong>ผลการวิจัย</strong>: กระบวนการที่พัฒนาขึ้นในระบบ ได้แก่ การพัฒนาโปรแกรมการคัดกรองคำสั่งใช้ยา การกำหนดเกณฑ์การคัดกรองคำสั่งใช้ยาที่เหมาะสม การสนับสนุนด้านนโยบาย เทคโนโลยี และบุคลากร การพัฒนาความรู้และทักษะในการคัดกรองคำสั่งใช้ยาของเภสัชกร การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานและสหสาขาวิชาชีพในการพัฒนาระบบร่วมกัน และการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการคัดกรองใบสั่งยาตามเกณฑ์ให้ครบถ้วน หลังการดำเนินการตามระบบการคัดกรองคำสั่งใช้ยาสามารถดักจับและแก้ไข PEs ได้มากกว่าก่อนการพัฒนาระบบ โดยค้นพบ PEs เพิ่มขึ้นจาก 2.41 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน เป็น 4.61 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน (P=0.001) หลังการดำเนินการโดยมีโปรแกรมการคัดกรองคำสั่งใช้ยาสามารถดักจับและแก้ไข PEs ได้มากกว่าก่อนมีโปรแกรมการคัดกรองคำสั่งใช้ยา โดยค้นพบ PEs เพิ่มขึ้นจาก 5.02 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน เป็น 8.74 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน (P=0.009<em>)</em><strong> สรุป</strong><strong>:</strong> หลังการพัฒนาและดำเนินการตามระบบการคัดกรองคำสั่งใช้ยา และการมีโปรแกรมการคัดกรองคำสั่งใช้ยา ทำให้เภสัชกรสามารถดักจับและแก้ไข PEs ได้มากกว่าก่อนพัฒนาระบบ ส่งผลให้ผู้ป่วยได้ใช้ยาอย่างเหมาะสม และปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น</p>
หทัยกาญจน์ ก๋ำนารายณ์
อลิสา สุขเอม
นพรัตน์ คำภีระ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
953
970
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย วงศ์ Enterobacterales ที่ดื้อต่อยา ceftriaxone ณ โรงพยาบาลชลบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275554
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียวงศ์ Enterobacterales ที่ดื้อต่อยา ceftriaxone (CRO-R Enterobacterales) ณ โรงพยาบาลชลบุรี <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบ retrospective cohort study โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียน ตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 18 ปีที่มีภาวะติดเชื้อ CRO-R Enterobacterales ในกระแสเลือดและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2566 ถึง 30 มีนาคม พ.ศ. 2567 การศึกษาใช้การถดถอยโลจิสติกแบบทวิเพื่อค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสียชีวิต <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> มีผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งสิ้น 66 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (38 รายหรือร้อยละ 57.58) อายุเฉลี่ยเท่ากับ 62.48 ± 15.16 ปี แหล่งที่มาของการติดเชื้อ 3 อันดับแรก ได้แก่ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ไม่ทราบแหล่งที่มาของการติดเชื้อ และระบบทางเดินอาหารและช่องท้อง การวิเคราะห์ข้อมูลแบบพหุตัวแปร พบว่า สองปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่เกิดจากเชื้อ CRO-R Enterobacterales ได้แก่ มีภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ (aRR=11.88, 95%CI: 1.25, 113.13, P = 0.031) และการติดเชื้อในกระแสเลือดโดยไม่ทราบแหล่งที่มาหรืออวัยวะติดเชื้อ (aRR 51.91, 95%CI: 4.19, 643.03, P = 0.002) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> สาเหตุการติดเชื้อในกระแสเลือดโดยไม่ทราบแหล่งที่มาหรืออวัยวะติดเชื้อ และปัจจัยภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ มีความสัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่เกิดจากเชื้อ CRO-R Enterobacterales อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้มีข้อจำกัดคือขนาดตัวอย่างค่อนข้างน้อย และทำการศึกษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรมเท่านั้น ดังนั้น การศึกษาในอนาคตจึงควรศึกษาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อการทำนายการเสียชีวิตที่แม่นยำมากขึ้น</p>
ภูมิพัฒน์ ทองน้อย
มาริสา เสนงาม
ปิยวัฒน์ ชัยวิชาชาญ
สุภาพร วงค์ด้วง
เบญจพร วีระพล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
981
992
-
การประยุกต์ใช้อัลกอริทึมระยะทางเลเวนชเตย์นเพื่อตรวจหาชื่อยาที่มองคล้ายกัน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275575
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อประยุกต์ใช้อัลกอริทึมระยะทางเลเวนชเตย์น (Levenshtein distance algorithm: LDA) เป็นเครื่องมือตรวจหารายการยาที่มีชื่อซึ่งมองคล้ายกันในบัญชียาของโรงพยาบาลกระบี่ในปีงบประมาณ 2567 <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงทดลองครั้งนี้ประยุกต์ใช้ LDA ตรวจหารายการยาที่มีชื่อมองคล้ายกัน โดยตรวจสอบเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับชื่อยาและความแรงของยาที่ปรากฏบนฉลากยาที่จ่ายให้ผู้ป่วย การศึกษาเปรียบเทียบผลลัพธ์การประเมินความคล้ายคลึงกันของคู่ชื่อยา 150 คู่ด้วย LDA ที่ระดับ threshold 50, 60 และ 70 กับการประเมินโดยอาสาสมัคร 24 คนซึ่งเป็นบุคลากรสังกัดกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลกระบี่ ส่วนประสิทธิภาพของอัลกอริทึมในแต่ละระดับ threshold พิจารณาจากค่า F-score และสัดส่วนของผลการประเมินคู่ชื่อยาที่ให้ผลลบปลอม ซึ่งหมายถึง คู่ยาที่ LDA ประเมินว่ามีชื่อมองไม่คล้ายกัน แต่อาสาสมัครประเมินว่ามีชื่อที่มองคล้ายกัน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผลการประยุกต์ใช้ LDA ที่ระดับ threshold 50 และ 60 เพื่อประเมินความคล้ายคลึงกันของคู่ชื่อยา ไม่มีความแตกต่างจากผลการประเมินโดยอาสาสมัครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) LDA ที่ระดับ threshold 50 มีค่าประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยมีค่า F-score เท่ากับ 0.80 และพบผลการประเมินคู่ชื่อยาที่ให้ผลลบปลอมน้อยที่สุดเท่ากับ 12 คู่ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> LDA ที่ระดับ threshold 50 สามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจหารายการยาที่มีชื่อมองคล้ายกัน ผลการตรวจสอบยาที่มีชื่อซึ่งมองคล้ายกันบนฉลากยามีความสอดคล้องกับผลการประเมินโดยมนุษย์ ผลการวิจัยทำให้ได้ข้อมูลในการคัดเลือกคู่ยาเข้าสู่บัญชียาที่มีชื่อมองคล้ายกันของโรงพยาบาล เพื่อใช้เผยแพร่ให้บุคลากรทราบถึงคู่ยาที่เป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางยา และใช้ประโยชน์ในแผนจัดการความเสี่ยงเพื่อความปลอดภัยด้านยาของผู้ป่วย</p>
จิรา สุวันทโรจน์
วีรยุทธ์ เลิศนที
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
993
1009
-
ผลของการจัดส่งยาทาง Health Rider และไปรษณีย์ร่วมกับการให้บริการ เภสัชกรรมทางไกลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275482
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อพัฒนาระบบจัดส่งยาทาง Health Rider ที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วที่ทำหน้าที่ส่งยาถึงบ้านของผู้ป่วย และระบบจัดส่งยาทาง ไปรษณีย์ โดยมีการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลร่วมด้วยในโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 2) เพื่อเปรียบเทียบผลของการให้บริการเภสัชกรรมของใน 4 ช่องทาง คือ ทาง Health Rider ทางไปรษณีย์ ทางร้านยา และทางโรงพยาบาล และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจในการใช้ยาและปฏิบัติตัวของผู้ป่วยที่รับบริการจากทั้ง 4 ช่องทางดังกล่าว <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบผสมผสานวิธีการ การศึกษาพัฒนาระบบจัดส่งยาทาง Health Rider และไปรษณีย์ ร่วมกับการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลซึ่งเภสัชกรสื่อสารกับผู้ป่วยผ่านแพลตฟอร์มหมอพร้อม Line หรือโทรศัพท์ การวิจัยเชิงปริมาณเป็นการวิจัยกึ่งทดลองที่เปรียบเทียบผู้ป่วยนอกโรคเรื้อรังในกลุ่มทดลองที่ได้รับบริการเภสัชกรรมทาง Health Rider (44 ราย) ทางไปรษณีย์ (44 ราย) และทางร้านยา (26 ราย) และกลุ่มควบคุมคือ ผู้ได้รับบริการเภสัชกรรมจากโรงพยาบาล (44 ราย) การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ผู้ป่วยถึงปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบริการดังกล่าว <strong>ผล</strong><strong>การวิจัย</strong><strong>:</strong> เวลาเฉลี่ยที่ให้บริการเภสัชกรรมในแต่ละช่องทางมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ทางร้านยาเท่ากับ 13 นาที ทาง Health Rider เท่ากับ 7 นาที ทางไปรษณีย์เท่ากับ 5 นาที และทางโรงพยาบาลเท่ากับ 3 นาที ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจรวมของผู้รับบริการต่อการบริการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ดังนี้ ทางไปรษณีย์ 4.68 ± 0.32 ทางร้านยา 4.66 ± 0.31 ทาง Health Rider 4.64 ± 0.36 และทางโรงพยาบาล 4.22 ± 0.51 (จาก 5 คะแนนเต็ม) ความเข้าใจในการใช้ยาและปฏิบัติตัวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ดังนี้ ทางร้านยา 4.46 ± 0.41 ทางไปรษณีย์ 4.23 ± 0.61 ทาง Health Rider 4.19 ± 0.47 และทางโรงพยาบาล 4.07 ± 0.52 (จาก 5 คะแนนเต็ม) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยพึงพอใจต่อระบบจัดส่งยาทาง Health Rider และไปรษณีย์ร่วมกับบริการเภสัชกรรมทางไกล รูปแบบดังกล่าวทำให้มีเวลาสำหรับให้บริการเภสัชกรรมมากขึ้น และทำให้เกิดความเข้าใจในการใช้ยาและปฏิบัติตัวไม่แตกต่างกับการให้บริการในโรงพยาบาลและร้านยา</p>
วรภา วราธนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1010
1029
-
มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมกำกับร้านยาเพื่อป้องกันการขายยาที่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/275868
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายในการควบคุมกำกับร้านยาเพื่อป้องกันการขายยาที่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด <strong>วิธีการ</strong>: การวิจัยนี้เป็นวิจัยเอกสารที่รวบรวมข้อมูลจากตัวบทกฎหมาย บทความ วิทยานิพนธ์ งานวิจัย เอกสารทางวิชาการ และฐานข้อมูลจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับรูปแบบการจำแนกประเภทยา และมาตรการทางกฎหมายในการควบคุมกำกับยา ได้แก่ tramadol, dextromethorphan, diphenhydramine และ promethazine ของประเทศไทยกับต่างประเทศรวม 9 ประเทศ การเก็บข้อมูลระหว่างเดือน มิถุนายน ถึง สิงหาคม พ.ศ. 2566 <strong>ผลการศึกษา</strong> ประเทศที่ศึกษาส่วนใหญ่มีรูปแบบการจำแนกประเภทยาตามกฎหมายตั้งแต่ 3 ประเภทขึ้นไป โดยมีผลเพิ่มบทบาททางวิชาชีพของเภสัชกรในการใช้ดุลยพินิจเพื่อจ่ายยาประเภทที่ไม่ต้องจ่ายตามใบสั่งยา และประเภทที่ต้องจ่ายโดยเภสัชกร รูปแบบการควบคุมกำกับยาที่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย ประกอบด้วย 1) การจัดประเภทยาที่มีความเข้มงวดของการควบคุมที่แตกต่างกันเพื่อกำหนดลักษณะการเข้าถึงยา เช่น การกำหนดเป็นวัตถุเสพติดที่มีการควบคุมที่เข้มงวดกว่าการเป็นยา การเป็นยาที่ต้องจ่ายตามใบสั่งยา การเป็นยาที่ไม่ต้องจ่ายตามใบสั่งยา และการเป็นยาที่ต้องจ่ายโดยเภสัชกร 2) การกำหนดเงื่อนไขในการขายยาโดยกำหนดอายุผู้ซื้อ ปริมาณและความถี่ของการขาย การจัดทำบัญชีและรายงานการขาย และการบันทึกข้อมูลการขายยาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในยาประเภทที่ไม่ต้องจ่ายตามใบสั่งยา และประเภทที่จ่ายโดยเภสัชกร <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ภาครัฐควรเข้มงวดให้ร้านยามีเภสัชกรอยู่ประจำตลอดเวลาทำการ ร่วมกับการให้เภสัชกรใช้ดุลยพินิจทางวิชาชีพในการควบคุมการขายยาให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และควรใช้โปรแกรมขายยาอิเล็กทรอนิกส์บันทึกข้อมูลการจ่ายยาเพื่อติดตามปริมาณและความถี่ของการจ่ายยา</p>
ธนพงศ์ ภูผาลี
กรแก้ว จันทภาษา
รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์
นุศราพร เกษสมบูรณ์
กุลจิรา อุดมอักษร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1030
1047
-
อันตรกิริยาระหว่างยา Metformin และยาอื่นในการรักษาโรคเบาหวาน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276255
<p>metformin เป็นยาลดระดับน้ำตาลในเลือดในกลุ่ม biguanides กลไกการออกฤทธิ์ของยา metformin คือ การยับยั้งการผลิตน้ำตาลที่ตับ ส่งผลยับยั้งกระบวนการสร้างกลูโคสและการสลายไขมัน อีกทั้งยังลดการหลั่ง growth hormone, adrenocorticotropic hormone (ACTH) และ follicle stimulating hormone (FSH) จากต่อมใต้สมอง ทำให้การดื้ออินซูลินลดลง <em>ประสิทธิผลในการลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมอยู่ในช่วงร้อยละ </em><em>1-2 จากระดับเดิม</em> ยา metformin หลังจากถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผ่านตัวรับ OCT1 และ OCT3 โดยไม่ผ่านกระบวนการเมแทบอลิซึมที่ตับ และขับออกในรูปแบบเดิมโดยขับผ่านตัวพา OCT1 และ MATE1 ซึ่งพบได้ทั้งที่ตับและไต การได้รับยา metformin ร่วมกับยาที่มีผลยับยั้งตัวพา OCT และ MATE จึงส่งผลเพิ่มระดับยา metformin ในกระแสเลือดได้ เช่น ยาต้านไวรัสกลุ่ม INSTI, trimethoprim, cephalexin, rifampicin, pyrimethamine, ยายับยั้งการหลั่งกรดในทางเดินอาหารกลุ่ม H<sub>2</sub> receptor inhibitors, proton pump inhibitors, ranolazine, ยาต้านรักษามะเร็ง ยากลุ่ม beta-adrenergic blockers เป็นต้น นอกจากนี้การได้รับยา metformin ร่วมกับยาที่เพิ่ม gastric emptying time เช่น ยากลุ่ม anticholinergics อาจทำให้การดูดซึม metformin ผ่านลำไส้เล็กเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งการได้รับสารทึบรังสีที่มีความเป็นพิษต่อไต เมื่อเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน การขับยา metformin ทางไตลดลง อาจทำให้ระดับยา metformin ในเลือดสูงจนเกิดภาวะ lactic acidosis ได้ นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากอาจทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากกรดแลคติก ผู้ที่ได้รับยา metformin จึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ การเกิดปฏิกิริยาที่ส่งผลเพิ่มระดับยา metformin อาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ได้แก่ metformin-induced lactic acidosis (MILA) หรือ metformin-associated lactic acidosis (MALA) ได้ ดังนั้นการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่ควรคำนึงในการใช้ยา metformin ร่วมกับการพิจารณาโรคร่วมและยาอื่น ๆ ของผู้ป่วย การให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ป่วยมีความสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงจากการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้</p>
ภัทราพร กำเนิดสิทธิเสรี
ประภัสสร ทับทวี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1048
1066
-
ประสิทธิผลและอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาแก้ไอสารสกัด มะขามป้อมผสมฟ้าทะลายโจรชนิดผงแห้งในผู้ป่วยลองโควิด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276469
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลและอาการไม่พึงประสงค์ของยาแก้ไอสารสกัดมะขามป้อมผสมฟ้าทะลายโจรชนิดผงแห้งที่ใช้ในศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก <strong>วิธีการ:</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครที่มีอาการไอจากภาวะลองโควิดและมีอาการไอมากกว่า 2 เดือนที่เข้ารับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์เลือก จำนวน 401 คน ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง เดือนธันวาคม 2567 การศึกษานี้วัดผล 2 ครั้ง คือ ก่อนและหลังรับประทานยาเป็นเวลา 7 วัน โดยประเมินประสิทธิผลด้วยแบบประเมินระดับความรุนแรงอาการไอ ซึ่งได้พัฒนาจากแบบประเมิน Cough Severity Diary (CSD) โดยพิสัยของคะแนน คือ 0-4 โดย 4 หมายถึงมากที่สุด นอกจากนี้ยังให้อาสาสมัครประเมินตนเองเรื่องอาการไม่พึงประสงค์เมื่อกลับมารับการติดตามที่ศูนย์ฯ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> อาสาสมัครส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 60.35) อายุเฉลี่ย 46.53±16.46 ปี การประเมินอาการไอพบว่า ความถี่ของอาการไอลดลงจาก 3.21±0.82 เป็น 1.97±0.69 คะแนนหลังได้รับยา ความรุนแรงของอาการไอลดลงจาก 2.75±0.77 เป็น 0.89±1.12 คะแนน การรบกวนกิจวัตรประจำวันลดลงจาก 3.08±1.03 เป็น 2.11±0.73 คะแนน การรบกวนการนอนหลับลดลงจาก 3.22±1.15 เป็น 2.40±0.70 คะแนน ซึ่งทั้งหมดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.001) อาการไม่พึงประสงค์ที่พบ คือ อาการผื่นคันบริเวณแขนและอาการปัสสาวะบ่อย <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ยาแก้ไอสารสกัดจากมะขามป้อมผสมฟ้าทะลายโจรชนิดผงแห้ง มีแนวโน้มสามารถลดความรุนแรงของอาการไอ และลดการบกวนจากอาการไอในชีวิตประจำวันในผู้ป่วยลองโควิดที่มีลักษณะอาการไอแห้งได้ ดังนั้นควรมีการศึกษาเพื่อยืนยันประสิทธิผลเพิ่มเติมโดยใช้แบบวิจัยเชิงทดลองที่มีกลุ่มควบคุมต่อไป</p>
พิมพ์ลดา พงศ์ชัยชานนท์
ชุติวัต หยู่ทองอินทร์
ธีรพงศ์ สง่างาม
วิทูรย์ ยวงสะอาด
นครินทร์ มัททวีวงศ์
ศรีสุภัค นันทา
ยุทธนา บุญกัน
เจนจิรา สุขเจริญจิต
ลักขณา รามวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1067
1075
-
มุมมองของเภสัชกรชุมชนต่อการให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ของร้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276628
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษามุมมองของเภสัชกรชุมชนในเรื่องของแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการการให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยของร้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรค ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ข้อคิดเห็นเพื่อการพัฒนา และคุณค่าเชิงสังคมต่อการเข้าร่วมโครงการฯ <strong>วิธีการ</strong>: การศึกษาเชิงคุณภาพในครั้งนี้เก็บข้อมูลจากเภสัชกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วยการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว 13 ราย และจัดการสนทนากลุ่ม 2 รอบในผู้ให้ข้อมูลรายใหม่จากทุกเขตสุขภาพรวมจำนวน 17 ราย <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>แรงจูงใจที่สำคัญในการเข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วยความต้องการช่วยเหลือผู้ป่วย การยกระดับวิชาชีพ การแก้ไขปัญหาสาธารณสุขความแออัดในโรงพยาบาล และการส่งเสริมธุรกิจร้านยา ขณะที่อุปสรรคที่พบได้แก่ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้ป่วยเรื่องการให้บริการ และปัญหาทางเทคนิคในระบบการให้บริการ ปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการฯ ประกอบด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ การจัดการที่มีประสิทธิภาพ และเครือข่ายความร่วมมือในชุมชน คุณค่าเชิงสังคมของการจัดบริการที่พบในการศึกษานี้ ได้แก่ การช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเภสัชกรและการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมถึงการลดความแออัดในโรงพยาบาล ข้อเสนอแนะในการพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงระบบเทคโนโลยี การขยายสิทธิการรับบริการ และการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อให้การบริการมีคุณภาพ การวิจัยในอนาคตควรเน้นการประเมินผลระยะยาวและการพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านยา ข้อมูลจากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงนโยบายสาธารณสุขและส่งเสริมการขยายบทบาทของเภสัชกรในระบบสุขภาพไทยต่อไป <strong>สรุป</strong> : การให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยของร้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติส่งเสริมให้เภสัชกรสามารถให้บริการได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ ถือเป็นการยกระดับการบริการ พัฒนาและเพิ่มคุณค่าให้กับเภสัชกรร้านยาและวิชาชีพเภสัชกรรม อันก่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้รับบริการและสังคม จึงควรจัดให้มีการสนับสนุนนโยบายจากภาครัฐในโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการให้บริการนี้สืบไป</p>
สุณี เลิศสินอุดม
ปิยะเมธ ดิลกธรสกุล
ปาริชาติ ธัมมรติ
นิรัชรา ถวิลการ
เพ็ญทิพา แก้วเกตุทอง
อดิณัฐ อำนวยพรเลิศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1076
1087
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรักษาเพื่อเลิกบุหรี่ด้วยวิธีการไม่ใช้ยา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276897
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อหาปัจจัยที่ส่งผลต่อความล้มเหลวในการรักษาเพื่อเลิกบุหรี่ด้วยวิธีการไม่ใช้ยา <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาปัจจัยพยากรณ์ที่เก็บข้อมูลแบบ retrospective cohort จากเวชระเบียนของผู้ที่เข้ารับการรักษา ณ คลินิกฟ้าใส มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เกณฑ์การคัดเลือกอาสามัคร คือ 1) อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 2) กำลังสูบบุหรี่และต้องการเข้ารับการบำบัดรักษาเพื่อลดหรือเลิกบุหรี่ และ 3) ได้รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีการไม่ใช้ยาช่วยเลิกบุหรี่มาตรฐาน ผลลัพธ์ที่ศึกษาคือความล้มเหลวจากการรักษาซึ่งประเมินหลังได้รับการบำบัดครบ 6 เดือนด้วยวิธีการสอบถามทางโทรศัพท์ ปัจจัยที่ศึกษาประกอบด้วย 1) ข้อมูลทั่วไป เช่น เพศ ปัญหาสุขภาพ การมีคู่ครอง/คนรัก/บุตร การดื่มแอลกอฮอล์/การใช้สารเสพติด และ 2) พฤติกรรมการสูบบุหรี่ เช่น ปริมาณการสูบบุหรี่สะสม ความรุนแรงในการติดสารนิโคตินซึ่งประเมินด้วย Heaviness of Smoking Index และความพร้อมในการเลิกสูบบุหรี่ตาม Transtheoretical Model การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ใช้ multivariable logistic regression <strong>ผลการวิจัย: </strong>กลุ่มตัวอย่างจำนวน 316 คน เกิดความล้มเหลวในการรักษาร้อยละ 81.33 ตัวอย่างร้อยละ 88.61 เป็นเพศชาย ค่ามัธยฐานของอายุเท่ากับ 21 ปี ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ คือ 19-31 ปี ตัวอย่างติดสารนิโคตินในระดับเล็กน้อยและปานกลางร้อยละ 47.83 และ 44.82 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรักษา ได้แก่ 1) การติดสารนิโคตินในระดับรุนแรง (odds ratio (OR): 15.13; 95%CI 1.36-168.62) 2) การที่ผู้รับการบำบัดมีความพร้อมในการเลิกบุหรี่อยู่ในระยะ contemplation (OR: 8.49; 95%CI 2.85-25.25) และ 3) เพศหญิง (OR: 3.90; 95%CI 1.14-13.35) <strong>สรุป: </strong>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรักษาด้วยวิธีการไม่ใช้ยา ได้แก่ การติดสารนิโคตินแบบรุนแรง การมีความพร้อมในการเลิกบุหรี่อยู่ในระยะ contemplation และเพศหญิง ดังนั้นจึงควรพิจารณาเรื่องการใช้ยาช่วยเลิกบุหรี่ช่วยในผู้ที่มีปัจจัยเหล่านี้</p>
พัชญา คชศิริพงศ์
ธรรมนาถ เจริญบุญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1088
1100
-
การสำรวจอุณหภูมิในการเก็บฮิวแมนอินซูลินที่เปิดใช้งานแล้วที่บ้านผู้ป่วยและ การวิเคราะห์ความคงตัวภายใต้ภาวะจำลองของอุณหภูมิสูงสุดที่พบในบ้าน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/276980
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อเก็บข้อมูลอุณหภูมิบ้านที่ผู้ป่วยเก็บอินซูลินระหว่างใช้ และศึกษาความคงตัวของอินซูลิน ภายใต้ภาวะจำลองอุณหภูมิสูงสุดที่ได้จากข้อมูลอุณหภูมิบ้าน <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเบาหวาน (47 คน) ที่ได้รับอินซูลินชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไปนี้ ชนิดออกฤทธิ์สั้น ออกฤทธิ์นานปานกลาง หรืออินซูลินผสมสำเร็จระหว่างชนิดออกฤทธิ์สั้นกับออกฤทธิ์นานปานกลาง ได้รับอุปกรณ์พกพาสำหรับติดตามอุณหภูมิเก็บอินซูลินระหว่างใช้เป็นเวลา 5-7 วันต่อต่อกัน การศึกษาเก็บข้อมูลอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดที่พบในการเก็บยา ระยะเวลาต่อวันที่อุณหภูมิอยู่นอกช่วงที่แนะนำให้เก็บยา การศึกษาความคงตัวอ้างอิงวิธีการวิเคราะห์จากเภสัชตำรับสหรัฐอเมริกาฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 42 การศึกษาเก็บอินซูลินทั้ง 3 ชนิดอย่างละ 3 แบทช์ ในตู้ควบคุมอุณหภูมิโดยกำหนดอุณหภูมิเป็นค่าสูงสุดที่พบ การวิเคราะห์หาปริมาณอินซูลินทำทุกสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ รายงานผลเป็นร้อยละของตัวยาสำคัญ โดยช่วงร้อยละ 95-105 เป็นช่วงที่ยอมรับได้ การศึกษายังสังเกตการเปลี่ยนแปลงลักษณะกายภาพของอินซูลิน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ในกลุ่มผู้ป่วย 22 รายที่เก็บอินซูลินระหว่างใช้ในตู้เย็นพบว่า 18 รายมีอุณหภูมิการเก็บยาอยู่นอกช่วงที่แนะนำ (2-8 องศาเซลเซียส) ด้วยระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 8 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน ผู้ป่วยที่เก็บอินซูลินระหว่างใช้ที่อุณหภูมิห้อง 25 ราย พบอุณหภูมิการเก็บที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียสทุกราย ด้วยระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 7 ชั่วโมง 57 นาทีต่อวัน อุณหภูมิสูงสุดคือ 43.6 องศาเซลเซียส ณ สภาวะจำลองอุณหภูมิสูงสุดที่ 42±2 องศาเซลเซียส อินซูลินออกฤทธิ์สั้น ชนิดออกฤทธิ์นานปานกลาง และชนิดผสม มีปริมาณอินซูลิน ในช่วงร้อยละ 95-105 ถึงสัปดาห์ที่ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ ทั้งนี้ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สำคัญ ยกเว้น อินซูลินชนิดออกฤทธิ์นานปานกลางและชนิดผสมสำเร็จมีความหนืดเพิ่มขึ้น <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> อุณหภูมิบ้านที่เก็บอินซูลินระหว่างใช้ ส่วนใหญ่อยู่นอกช่วงแนะนำ คิดเป็นระยะเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน ภายใต้อุณหภูมิ 42±2 องศาเซลเซียส อินซูลินออกฤทธิ์สั้น อินซูลินออกฤทธิ์นานปานกลาง และอินซูลินผสมสำเร็จมีความคงตัวถึง 2, 3 และ 4 สัปดาห์ ตามลำดับ</p>
กรกช กังวาลทัศน์
ศรีวรรณ ธีระมั่นคง
ณัฐภูมิ คุณาธิคม
กณิกนันต์ แสนสุด
จุราพร พงศ์เวชรักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1101
1111
-
การพัฒนาความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการเยี่ยมบ้าน โดยเภสัชกรของหน่วยบริการปฐมภูมิศรีสุทโธ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277258
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลการพัฒนาความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการเยี่ยมบ้านโดยเภสัชกรของหน่วยบริการปฐมภูมิศรีสุทโธ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 40 คนที่ใช้ยาเบาหวานชนิดรับประทานอย่างน้อย 1 ชนิด และมีระดับน้ำตาลในเลือดสะสม (HbA1C) มากกว่า 8% การเยี่ยมบ้านของผู้ป่วยโดยเภสัชกรประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การเก็บข้อมูลระดับน้ำตาลในเลือด (fasting blood sugar: FBS), HbA1C ความร่วมมือในการใช้ยาซึ่งประเมินด้วย Medication Adherence Scale for Thais (MAST) และการนับเม็ดยาคงเหลือ และความรู้เกี่ยวกับยาเบาหวาน ขั้นนี้ดำเนินการในสัปดาห์ที่ 1-4 ของการวิจัย 2) การพัฒนากิจกรรมการเยี่ยมบ้านในสัปดาห์ที่ 5-6 3) การดำเนินกิจกรรมการเยี่ยมบ้านของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างน้อย 1 ครั้งภายในสัปดาห์ที่ 7-12 และ 4) การประเมินผลลัพธ์ ได้แก่ FBS, HbA1C, ความร่วมมือในการใช้ยาจากแบบวัด MAST และการนับเม็ดยาคงเหลือ และความรู้เกี่ยวกับยาเบาหวานหลังการเยี่ยมบ้าน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยค่ามัธยฐานของ MAST เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 32 คะแนน เป็น 37 คะแนน (คะแนนเต็ม 40) (P<0.001) และอัตราความร่วมมือในการใช้ยาที่ประเมินจากการนับเม็ดยามีค่ามัธยฐานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากร้อยละ 78.62 เป็น ร้อยละ 95.57 (P<0.001) ค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับยาเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 7.15±1.61 เป็น 9.28±0.93 (คะแนนเต็ม 10) (P<0.001) ค่ามัธยฐานของ FBS ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 172.50 mg/dl เป็น 129.00 mg/dl (P<0.001) และค่าเฉลี่ยของ HbA1C ลดลงจาก 10.14± 1.79 เป็น 8.34± 1.23 % (P<0.001) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การเยี่ยมบ้านโดยเภสัชกรทำให้ความร่วมมือในการใช้ยา ความรู้เกี่ยวกับยาเบาหวาน และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยดีขึ้น จึงควรนำวิธีการเยี่ยมบ้านไปประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ที่มีปัญหาความร่วมมือในการใช้ยาและควบคุมโรคไม่ได้ต่อไป</p>
ชนม์นิภา นามแสง
วันชนะ หาไชย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1112
1123
-
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการด้านยาโดยบุคลากรทางการแพทย์ร่วมมือ กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ : กรณีศึกษาอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277360
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการด้านยา (Medication Therapy Management: MTM) ในผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ในชุมชนของอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี และประเมินผลของรูปแบบ MTM ดังกล่าว<strong> วิธีการ</strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผนจากการสัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์และการสนทนากลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อให้ได้รูปแบบบริการ MTM สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน 2) การปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ที่รับยารักษายาลดความดันโลหิตตั้งแต่ 4 รายการขึ้นไปจำนวน 16 คน โดยใช้รูปแบบบริการ MTM เป็นเวลา 2 เดือน 3) การประเมิน แบ่งเป็นการประเมินผลลัพธ์ของผู้ป่วยและการประเมินรูปแบบบริการ MTM โดยบุคลากรทางการแพทย์และ อสม. และ 4) การสะท้อนผลลัพธ์หลังการดำเนินงานโดยบุคลากรทางการแพทย์และ อสม. <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>รูปแบบ MTM ที่พัฒนาขึ้น มี อสม. เชื่อมโยงการดูแลผู้ป่วยร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ มีการออกแบบและวางแผนแก้ไขปัญหาสำหรับดูแลผู้ป่วยในชุมชนร่วมกันตามรูปแบบบริการ MTM ที่เหมาะสมตามบริบทและสภาพปัญหาของพื้นที่ ผลลัพธ์จากดำเนินการพบว่า ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้เป็นปกติเพิ่มขึ้นจำนวน 9 คน จากผู้ป่วยทั้งหมด 16 คน โดยค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น <em>การรับประทานน้ำบูดูลดลง</em> 10 คน การลืมรับประทานยาลดลง 5 คน ความกังวลเรื่องการเกิดโรคไตจากการรับประทานยาลดลง 15 คน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับดีมากต่อการรับบริการ MTM โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ± 0.11 (คะแนนเต็ม 5) <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การนำรูปแบบบริการ MTM ที่มีส่วนร่วมของ อสม. มาดูแลผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้เพิ่มขึ้นและค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยเฉลี่ยลดลง อีกทั้งลดปัญหาทางพฤติกรรมของผู้ป่วยที่ทำให้ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้</p>
อะลาวีย์ หมาดทิ้ง
หทัยกาญจน์ เชาวนพูนผล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1124
1137
-
ประสิทธิภาพของยากลุ่มยากระตุ้นตัวรับเปปไทด์ตัวเหมือนกลูคากอนชนิดที่ 1 ต่อ ดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวในผู้ป่วยโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานเครือข่าย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277462
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยากระตุ้นตัวรับเปปไทด์ตัวเหมือนกลูคากอนชนิดที่ 1 (glucagon-like peptide 1 receptor agonists หรือ GLP-1 receptor agonists) ในการลดดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอว <strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานเครือข่ายจากงานวิจัยการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมในผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินทั้งที่เป็นและไม่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ใช้ GLP-1 receptor agonists ผลลัพธ์การศึกษาหลัก คือ ดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอว<strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> โดยภาพรวม GLP-1 receptor agonists สามารถลดดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก พบว่า tirzepatide ลดดัชนีมวลกายได้มากที่สุดที่ระยะเวลามากกว่า 24 ถึง 52 สัปดาห์ โดยมีความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (mean difference: MD) = -3.58 ( 95%CI : -4.68, -2.47) ตามด้วย semaglutide ทั้งชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังและชนิดรับประทาน ส่วนที่ระยะเวลานานกว่า 52 สัปดาห์ semaglutide รูปแบบรับประทานลดดัชนีมวลกายได้มากที่สุด (MD -4.70; 95%CI: -6.72, -2.68) ส่วนการลดเส้นรอบเอว tirzepatide, semaglutide รูปแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และ semaglutide รูปแบบรับประทาน ลดได้มากที่สุด โดย semaglutide รูปแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ลดเส้นรอบเอวได้มากสุดในช่วง 12-24 สัปดาห์ โดยลดลงได้ 9.3 เซนติเมตร (95%CI: -14.61,-3.99) และ tirzepatide ลดเส้นรอบเอวได้มากสุดที่ระยะเวลามากกว่า 24 สัปดาห์ โดยลดได้ 12.74 เซนติเมตร (95%CI: -16.57,-8.90) เมื่อระยะเวลานานกว่า 52 สัปดาห์ ซึ่งสอดคล้องกับน้ำหนักตัวและดัชนีมวลกายที่ลดลง <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ยากลุ่ม GLP-1 receptor agonists โดยเฉพาะ tirzepatide และ semaglutide มีประสิทธิภาพสูงในการลดดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวทั้งในผู้ที่เป็นและไม่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้สามารถเป็นแนวทางสำหรับการเลือกใช้ยาเพื่อลดน้ำหนัก</p>
จิราวรรณ เวียงหิรัณย์
สายทิพย์ สุทธิรักษา
ราตรี สว่างจิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1138
1194
-
อัตราการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลของโรงพยาบาลแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277659
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอัตราการใช้ยาปฏิชีวนะและประเมินความเหมาะสมในการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคติดเชื้อที่ระบบการหายใจส่วนบนและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และบาดแผลสดจากอุบัติเหตุ <strong>วิธีการ:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลังครั้งนี้เก็บข้อมูจากแฟ้มเวชระเบียนของผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคติดเชื้อระบบการหายใจส่วนบนและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และบาดแผลสดจากอุบัติเหตุที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแสวงหา จังหวัดอ่างทองระหว่างเดือน มกราคม 2565 ถึง ธันวาคม 2567 มีผู้ป่วยผ่านเกณฑ์การเข้าจำนวน 19,773 คน การศึกษาคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 7,912 คนเพื่อมาประเมินอัตราการใช้ยาและความเหมาะสมในการใช้ยาปฏิชีวนะตามเกณฑ์แนวทางการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล <strong>ผลการวิจัย:</strong> จำนวนผู้ป่วยในการวิจัยมีทั้งหมด 7,912 คน เป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบนและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน จำนวน 4,834 คน ได้รับยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลจำนวน 4,366 คน (ร้อยละ 90.3) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน จำนวน 1,616 คน ได้รับยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลจำนวน 1,336 คน (ร้อยละ 82.7) และในกลุ่มผู้ป่วยบาดแผลสดจากอุบัติเหตุระหว่างปี จำนวน 1,462 คน ได้รับยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลจำนวน 1,185 คน (ร้อยละ 81.1) เมื่อประเมินการใช้ยาตามเกณฑ์การใช้ยาอย่างสมเหตุผล พบผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะแต่มีเกณฑ์ต้องได้รับยาจำนวน 631 คน (ร้อยละ 7.98) ส่วนผู้ป่วยที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับยาปฏิชีวนะ แต่ได้รับยามีจำนวน 394 คน (ร้อยละ 4.98) <strong>สรุป:</strong> อัตราการใช้ยาปฏิชีวนะใน 3 กลุ่มโรคที่ศึกษาผ่านเกณฑ์มาตรฐาน แต่เมื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยาในรายละเอียดพบว่า ยังมีการใช้ยาไม่สมเหตุผล ดังนั้น จึงควรมีการประเมินความความเหมาะสมในการใช้ยาเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น</p>
ณีรนันท์ วีระพล
อัษฎางค์ พลนอก
แสงหล้า พลนอก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1195
1205
-
การพัฒนาเกมการเรียนรู้เรื่อง "ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ" : กรณีศึกษานักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนถาวรานุกูล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJPP/article/view/277723
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรื่องความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยใช้เกมคอมพิวเตอร์ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนถาวรานุกูล และประเมินผลการเรียนรู้ด้วยวิธีดังกล่าวโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เรียนด้วยการบรรยาย <strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษาแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 เป็นการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ในเรื่อง “ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ” ในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน ขั้นตอนที่ 2 เป็นการประเมินและตรวจสอบความถูกต้องด้านคุณภาพของเนื้อหาและการออกแบบสื่อของเกมฯ ด้วยผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องแบบประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอน ขั้นตอนที่ 3 เป็นการพัฒนาแบบทดสอบวัดความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบปรนัย 4 ตัวเลือก และนำไปทดสอบเพื่อวิเคราะห์หาความยากและอำนาจจำแนก และหาความเที่ยง (KR-20) ขั้นตอนที่ 4 เป็นการทดสอบผลการเรียนรู้เรื่องความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยใช้เกมฯ ตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนถาวรานุกูลที่ได้รับการจับฉลากแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองเรียนด้วยเกมคอมพิวเตอร์และกลุ่มควบคุมเรียนด้วยการบรรยาย การประเมินผลใช้แบบทดสอบวัดความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและแบบประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอน <strong>ผลการวิจัย</strong>: เกมคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมีเนื้อหาตามแนวทางของโครงการ อย.น้อย ผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ยรวม 4.86 ± 0.26 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5) และได้คะแนนการประเมินการออกแบบสื่อที่มากกว่า 4 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5) ในทั้ง 5 ด้านที่ประเมิน กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียน (15.7 ± 1.34) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (14.4 ± 1.97) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) นักเรียนกลุ่มทดลองพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยเกมในภาพรวมระดับดีมาก (4.63 ± 0.11) <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การเรียนการสอนเรื่องความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ด้วยเกมคอมพิวเตอร์ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าการเรียนแบบบรรยาย และมีความพึงพอใจในการเรียนด้วยเกมอยู่ในระดับมากที่สุด การเรียนการสอนด้วยเกมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการให้ความรู้แก่เยาวชนในยุคปัจจุบันที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ</p>
ธนศักดิ์ จั่นวิลัย
พีรยศ ภมรศิลปธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชกรรมไทย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-27
2025-09-27
17 4
1206
1217