https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/issue/feed มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร 2025-07-01T10:49:19+07:00 พีระพัชร ไทยสยาม NSTMJ@hotmail.com Open Journal Systems <p>มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร ISSN: 3027-608X (Online) มีนโยบายรับตีพิมพ์<wbr />บทความภาษไทยที่เกี่ยวข้องกั<wbr />บการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในรูปแบบนิพนธ์ต้นฉบับ รายงานผู้ป่วย บทความฟื้นฟูวิชาการ บทความพิเศษหรือบทปกิณกะ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกรหรือบุคลากรทางสาธารณสุ<wbr />ขอื่นๆ ทั้งจากภายในและภายนอกหน่วยงาน โดยมีกำหนดออก 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 กรกฎาคม - ธันวาคม และ ฉบับที่ 2 มกราคม-มิถุนายน</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280722 ผลของการใช้นวัตกรรมอุปกรณ์บรรจุกระปุกปัสสาวะอุจจาระส่งตรวจวิเคราะห์งานจุลทรรศน์ศาสตร์ เพื่อลดการแพร่กระจายและการสัมผัสเชื้ออันตรายเช่นวัณโรค โควิด เชื้อจุลชีพ 2025-07-01T10:25:03+07:00 พฤทธพัชร ใจหลวง puthapach@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong>: การนำส่งตัวอย่างสิ่งส่งตรวจเป็นกระบวนการสำคัญในการตรวจทางห้องปฏิบัติการต้องรักษาสภาพของตัวอย่าง และคำนึงถึงความปลอดภัยทางชีวภาพ ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของการใช้นวัตกรรมอุปกรณ์บรรจุกระปุกปัสสาวะอุจจาระส่งตรวจวิเคราะห์งานจุลทรรศน์ศาสตร์ เพื่อลดการแพร่กระจายและการสัมผัสเชื้ออันตรายเช่น วัณโรค โควิด เชื้อจุลชีพ</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>คัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงสุ่มตัวอย่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 300 ตัวอย่าง กลุ่มควบคุมการบรรจุกระปุกปัสสาวะอุจจาระตามปกติ กลุ่มทดลองโดยใช้นวัตกรรมอุปกรณ์บรรจุกระปุกปัสสาวะอุจจาระ 1.โฟมหลุมสำหรับวางกระปุก 2.อุปกรณ์ใส่โฟมหลุมฝาปิดมิดชิด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบบันทึกข้อมูล&nbsp; วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ independent t-test ระยะเวลาศึกษา กุมภาพันธ์ 2568 ถึง มีนาคม 2568</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาจากสิ่งส่งตรวจทั้งหมดกลุ่มละ 300 ตัวอย่างพบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยการเกิดอุบัติการณ์งานตรวจวิเคราะห์ทางจุลทรรศน์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จำนวน 0 ตัวอย่าง (ร้อยละ 0) กลุ่มตัวอย่างทุกรายไม่มีการปนเปื้อนนอกถุงพลาสติก (ร้อยละ 100) ไม่มีการเอียง หก ล้ม (ร้อยละ 100) พบมีปริมาณน้อย จำนวน 3 ตัวอย่าง (ร้อยละ 1) ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงมีประโยชน์ต่อหน่วยงาน</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>จากผลการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาเสนอแนะให้ใช้นวัตกรรมอุปกรณ์บรรจุกระปุกปัสสาวะอุจจาระส่งตรวจวิเคราะห์งานจุลทรรศน์ศาสตร์เพื่อลดการแพร่กระจายและการสัมผัสเชื้ออันตรายเช่น วัณโรค โควิด เชื้อจุลชีพสามารถใช้เป็นแนวทางในการลดโอกาสเสี่ยงการแพร่กระจายและการสัมผัสเชื้ออันตรายได้</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280669 วิเคราะห์ผลการพัฒนาระบบงานบริการจ่ายยาผู้ป่วยในแผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช 2025-06-30T15:21:21+07:00 วรรณา นิธิไชโย wanna.nithi@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong> <strong>:</strong> ระบบงานจ่ายยาผู้ป่วยในเป็นระบบพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของการพัฒนาระบบยาต้องประสานกิจกรรมกับสหวิชาชีพ เพื่อลดความคลาดเคลื่อนทางยาให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา&nbsp;</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>เพื่อวิเคราะห์ผลการพัฒนาระบบงานบริการจ่ายยาผู้ป่วยในแผนกอายุรกรรมและนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงระบบงานบริการจ่ายยาผู้ป่วยในต่อไป</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>วิจัยเชิงพรรณนาเก็บข้อมูลย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยตึกอายุรกรรม 3-6 ตึกพิเศษอายุรกรรม 4-5 ตึกMICU 1-2 แบ่งการศึกษาเป็น 2 ช่วงคือก่อนการพัฒนาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 ถึงกันยายน 2562 และหลังการพัฒนาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึงกันยายน 2566 โดยใช้สถิติ การแจกแจงความถี่ อัตราความคลาดเคลื่อนทางยาและร้อยละ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>&nbsp;มีผลลดกิจกรรมย่อยได้ 8 กิจกรรมเหลือกิจกรรมย่อยทั้งหมด 14 กิจกรรม ลดระยะเวลาการจัดยาล่วงหน้าก่อนส่งมอบจาก 24 ชั่วโมงเหลือ 5.5 ชั่วโมง&nbsp; Overproduction waste ลดลงร้อยละ 54.28 &nbsp;&nbsp;Pre-dispensing error มีอัตราความคลาดเคลื่อนลดลงร้อยละ 66.06 Dispensing error มีอัตราความคลาดเคลื่อนลดลงร้อยละ 56.87</p> <p><strong>สรุป</strong><strong> : </strong>จากการศึกษาย้อนหลังนี้พบว่า การลดภาระงานและการพัฒนาปรับปรุงระบบการจ่ายยาให้มีความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้ลดอัตราการเกิด Pre-dispensing error กับ Dispensing error และมีผลให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากการใช้ยาเพิ่มขึ้น</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280670 ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อความรู้และการปฏิบัติตนของมารดาหลังคลอดครรภ์แรก 2025-06-30T15:26:21+07:00 สุมณฑา มักคุ้น maliwanr@bcnnakhon.ac.th มลิวัลย์ รัตยา maliwanr@bcnnakhon.ac.th <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>หลังคลอดเป็นระยะเปลี่ยนผ่านของชีวิต การเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อาจก่อให้เกิดความวิตกกังวล โดยเฉพาะมารดาหลังคลอดครรภ์แรก การขาดความรู้ ความมั่นใจ และประสบการณ์ในการดูแลตนเอง และทารกที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความกลัว และวิตกกังวล รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่อสุขภาพของตนเองได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระดับความรู้ในการปฏิบัติตัวของมารดาหลังคลอดครรภ์แรกระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ในการปฏิบัติตนหลังคลอด และกลุ่มที่ได้การพยาบาลตามมาตรฐาน</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลังคลอดครรภ์แรกที่มารับบริการที่โรงพยาบาลพัทลุง จำนวน 60 ราย ทำการคัดเลือกอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ราย โดยกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามมาตรฐาน ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ในการปฏิบัติตนหลังคลอด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t- test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>มารดาหลังคลอดครรภ์แรกที่ได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ในการปฏิบัติตนหลังคลอด มีระดับความรู้ในการดูแลตนเองสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>โปรแกรมการให้ความรู้ในการปฏิบัติตนหลังคลอด ช่วยให้มารดาหลังคลอดครรภ์แรกมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการดูแลตนเองสูงขึ้น</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280671 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการช่วยฟื้นคืนชีพผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินโรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-06-30T15:31:22+07:00 ณวรา ณ นคร navara_faii@hotmail.com <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วนโดยการช่วยฟื้นคืนชีพ ซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตต่ำ การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการช่วยฟื้นคืนชีพผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลจึงมีความสำคัญในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอัตราการกลับมามีชีพจรและปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการช่วยฟื้นคืนชีพผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินโรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> ศึกษาย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 เมษายน พ.ศ. 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่ได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพจำนวน 162 ราย มีสัญญาณชีพคืนมาอย่างน้อย 20 นาที ร้อยละ 27.78 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการช่วยฟื้นคืนชีพ ได้แก่ ได้รับการกดหน้าอกก่อนมาโรงพยาบาล (OR 6.321, 95%CI 2.463-16.222) และวิธีการมาโรงพยาบาลด้วยหน่วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (OR 4.245, 95%CI 1.712-10.526)</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการช่วยฟื้นคืนชีพผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล ได้แก่ การได้รับการกดหน้าอกก่อนมาโรงพยาบาล และวิธีการมาโรงพยาบาลด้วยหน่วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280673 การศึกษาการใช้ดัชนีภาวะช็อกในการทำนายภาวะแลคเตตสูง เพื่อการวินิจฉัยภาวะช็อก จากภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน 2025-06-30T15:36:19+07:00 ณัฐภัทร อัตถารมย์ natatthr6@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (sepsis) เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 62-73.9 โดยเฉพาะในผู้ป่วยภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรง (severe sepsis) และภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ (septic shock) การตรวจระดับแลคเตตในเลือด (serum lactate) ช่วยในการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วย แต่บางโรงพยาบาลชุมชนยังไม่สามารถทำการทดสอบนี้ได้ ดังนั้น การใช้เครื่องมือเช่น ดัชนีภาวะช็อก (shock index; SI) ในการทำนายระดับแลคเตตจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความไว (sensitivity) และความจำเพาะ (specificity) ของดัชนีภาวะช็อกในการทำนายภาวะแลคเตตสูงในผู้ป่วยภาวะพิษเหตุติดเชื้อ</p> <p><strong>&nbsp;</strong><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (retrospective descriptive studies) ในผู้ป่วยภาวะพิษเหตุติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลทุ่งสง ระหว่าง 1 กุมภาพันธ์ - 31 กรกฎาคม พ.ศ.2567 โดยบันทึกสัญญาณชีพของผู้ป่วยและคำนวณดัชนีภาวะช็อก เพื่อตรวจหาความสัมพันธ์กับระดับแลคเตต การใช้ยาตีบหลอดเลือด การเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต และอัตราการเสียชีวิตที่ 28 วัน</p> <p><strong>&nbsp;</strong><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>จากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยจำนวน 200 ราย พบว่า ดัชนีภาวะช็อกที่เหมาะสมในการทำนายภาวะแลคเตตสูง (lactate ≥ 4) คือ ≥ 1 (ความไว ร้อยละ 82.86, ความจำเพาะ ร้อยละ 68.46) นอกจากนี้ยังพบว่าดัชนีภาวะช็อก ≥ 1 มีความสัมพันธ์กับการรักษาด้วยยาตีบหลอดเลือด การรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต และอัตราการเสียชีวิตที่ 28 วัน</p> <p><strong>&nbsp;</strong><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การใช้ดัชนีภาวะช็อกในการทำนายภาวะแลคเตตสูงเพื่อการวินิจฉัยภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ พบว่า ดัชนีภาวะช็อกที่เหมาะสมในการทำนายภาวะแลคเตตสูง (lactate ≥ 4) คือ ≥ 1 และมีความสัมพันธ์กับการใช้ยาตีบหลอดเลือด การรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต และอัตราการเสียชีวิตที่ 28 วัน</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280674 ความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาและพฤติกรรมสุขภาพขณะตั้งครรภ์ในมารดาอายุ 18 ปีขึ้นไป จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-06-30T15:41:35+07:00 อาทิตยา บุญธรรม tassanee@bcnnakhon.ac.th พรเพ็ญ สงวนนาม tassanee@bcnnakhon.ac.th ทัศณีย์ หนูนารถ tassanee@bcnnakhon.ac.th <p><strong>บทนำ: </strong>การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สตรีมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพและผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ ความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดามีบทบาทสำคัญในการช่วยสตรีตั้งครรภ์ปรับพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาและพฤติกรรมสุขภาพขณะตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างคือสตรีตั้งครรภ์ 85 คน ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ใช้แบบสอบถามเพื่อวัดคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาและพฤติกรรมสุขภาพขณะตั้งครรภ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดา 63.55 (SD = 9.25) และพฤติกรรมสุขภาพขณะตั้งครรภ์ 164.95 (SD = 18.54) พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพขณะตั้งครรภ์ (r = 0.483, p &lt; 0.01)</p> <p><strong>สรุป: </strong>การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาสามารถส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์และเพิ่มคุณภาพชีวิตของมารดาและทารกในครรภ์</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280675 ผลลัพธ์ของการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากด้วยวิธีแบบพุ่งเป้าโดยใช้ภาพเอกซเรย์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพร้อมการทำอัลตราซาวน์ 2025-06-30T15:47:48+07:00 ชัยยุทธ ก่งเซ่ง chaiyut.ton@hotmail.com <p><strong>บทนำ : </strong>การเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากโดยวิธี Transrectal ultrasound(TRUS) guide biopsy ไม่สามารถวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากได้ทั้งหมด&nbsp; และการเจาะชิ้นเนื้อเป็นครั้งที่สองในผู้ป่วยที่ยังคงมีค่าคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก prostate specific antigen (PSA) สูงกว่าปกติทำให้เกิดความคับข้องใจทั้งต่อตัวผู้ป่วยและแพทย์ ปัจจุบันพบว่า Magnetic resonance imaging targeted, transrectal ultrasound guided transperineal fusion biopsy ช่วยให้การวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากให้มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาผลลัพธ์การวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการตรวจชิ้นเนื้อโดยใช้วิธี Magnetic resonance imaging targeted, transrectal ultrasound guided transperineal fusion biopsy และผลข้างเคียงจากการตรวจชิ้นเนื้อในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา : </strong>การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (Retrospective study) โดยการทบทวนเวชระเบียนหรือข้อมูลจากฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยที่มาทำการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากโดยใช้วิธี Magnetic resonance imaging targeted, transrectal ultrasound guided transperineal fusion biopsy โดยที่ผู้ป่วยดังกล่าวเคยผ่านการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากโดยวิธีมาตรฐาน Transrectal ultrasound(TRUS) guide biopsy และมีผลเป็นปกติโดยยังคงมีค่าคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก prostate specific antigen (PSA) สูงกว่าปกติ ระหว่างเดือนมิถุนายน 2565 ถึงเดือนกรกฎาคม 2567 ในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>ผลการศึกษา : </strong>การตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากแบบพุ่งเป้าด้วยภาพเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมาก 9 คนในผู้ป่วย 27 ราย(33%) ที่ไม่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจชิ้นเนื้อโดยวิธีปกติ</p> <p><strong>สรุป : </strong>การเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากแบบพุ่งเป้าด้วยภาพเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความแม่นยำสูง สามารถตรวจพบ significant prostate cancer ที่มีขนาดเล็กได้ อีกทั้งยังมีภาวะแทรกซ้อนต่ำเมื่อเทียบกับการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากด้วยวิธีปกติ</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280676 การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยการตรวจค้นหาไวรัส HPV ด้วยตนเองของสตรีกลุ่มเสี่ยง ในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี 2025-06-30T15:52:20+07:00 รัชนก ศรีพิทักษ์ noknaibang@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong> : การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการค้นหาไวรัส HPV ด้วยตนเอง เป็นวิธีที่สะดวก มีความแม่นยำ และเข้าถึงการตรวจได้ง่าย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจค้นหาไวรัส HPV ด้วยตนเองของสตรีกลุ่มเสี่ยง ตลอดจนเปรียบเทียบความพึงพอใจ ระหว่างโปรแกรมที่พัฒนาเชิงรุก กับโปรแกรมเชิงรับ</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยประชากรกลุ่มเสี่ยง จำนวน 80 คน&nbsp; แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 40 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้โปรแกรมที่พัฒนา ประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์และนัดหมายมาตรวจค้นหาไวรัส HPV 2) อบรมให้ความรู้และสาธิตการตรวจคัดกรองแก่ อสม. 3) อสม.ดำเนินการให้ความรู้ และสาธิตการตรวจคัดกรอง&nbsp; 4) สตรีกลุ่มเสี่ยงเก็บสิ่งส่งตรวจ 5) ส่งสิ่งส่งตรวจ และแจ้งผลการตรวจและกลุ่มเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้โปรแกรมเชิงรับ 40 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา Chi-square test / Fisher’s exact test, Independent t-test และ Paired sample t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> : พบว่า สตรีกลุ่มเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกมีการรับรู้ภาวะเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก การรับรู้ความรุนแรงของโรคมะเร็งปากมดลูก การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก และทัศนคติต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเพิ่มมากขึ้น และมากกว่าโปรแกรมเชิงรับ อีกทั้งมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมการส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่พัฒนา มากกว่าโปรแกรมเชิงรับ คะแนน 35.5 ในกลุ่มเชิงรุก และ 32.1 ในกลุ่มเชิงรับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.01)</p> <p><strong>สรุป</strong> : โปรแกรมเชิงรุก ส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการค้นหาไวรัส HPV ด้วยตนเอง จากการศึกษาพบว่าเพิ่มคะแนน การรับรู้ด้านต่างๆเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก ของประชากรที่ศึกษา และเพิ่มความพึงพอใจในการตรวจหลังเข้ารับโปรแกรม จึงควรนำโปรแกรมส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการตรวจคัดกรองต่อไป</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280679 การพัฒนารูปแบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี และ ซี โดยความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ กับอาสาสมัครสาธารณสุขเขตเมือง เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี 2025-06-30T15:57:32+07:00 รัชนก ศรีพิทักษ์ noknaibang@gmail.com <p>บทนำ : การเกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ทำให้เกิดการป่วยเป็นโรคมะเร็งตับได้ จึงต้องมีการพัฒนาหารูปแบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี และ ซี เพื่อลดการป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ</p> <p>วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนารูปแบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี การดำเนินการ และปัญหาตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ของ อสม. และศึกษาผลของรูปแบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี และ ซี</p> <p>วัสดุและวิธีการศึกษา : เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย&nbsp; 1) บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง 17 คน 2) อสม. 16 คน 3) เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 8 คน 4) ประชาชนไทยกลุ่มเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบบี และ ซี 120 คน โดยได้ดำเนินการพัฒนารูปแบบการคัดกรอง&nbsp; อบรม อสม.เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี และ ซี และดำเนินการคัดกรอง เครื่องมือในการศึกษา ได้แก่ รูปแบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี และ ซี แบบสอบถาม และแบบบันทึกผลการคัดกรอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired sample t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> รูปแบบการคัดกรองที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์ 2) การเตรียมอุปกรณ์ในการคัดกรอง 3) การให้บริการคัดกรอง ผลการศึกษา พบว่า อสม. ส่วนใหญ่ มีความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ในระดับดี ร้อยละ 62.5 และ 87.5 มีการดำเนินการคัดกรองในระดับมาก ร้อยละ 93.8&nbsp; มีปัญหาในการตรวจคัดกรอง ในเรื่องความชำนาญในการเจาะเลือด ความร่วมมือในการคัดกรอง และสถานที่ให้บริการคับแคบ ร้อยละ 50.0, 43.7 และ 25.0 ตามลำดับ ผลการคัดกรองทำให้ประชาชนที่รับการคัดกรองมีความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และ ซี เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) &nbsp;มีความพึงพอใจต่อการรับบริการในระดับมาก ร้อยละ 80.8 และพบผลบวกไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ร้อยละ 2.5 และ 0.0 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป</strong> <strong>:</strong> จากผลการศึกษา&nbsp; ควรนำรูปแบบการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการตรวจคัดกรองต่อไป</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280680 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเหนื่อยล้าในการปฏิบัติงานของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก ในโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช 2025-06-30T16:02:58+07:00 จักรกฤษณ์ เหลืองอร่าม yanangi.boss@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong> : </strong>นักศึกษาแพทย์ที่พบปัญหาจากภาวะหมดไฟจากการปฏิบัติงานอาจมีผลต่อสุขภาพจิตของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกได้ มีผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนและการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยลดลง ตลอดจนอาจพัฒนาเป็นโรคทางจิตเวชได้ในอนาคต การเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อภาวะเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงานของนักศึกษาแพทย์จึงมีประโยชน์ในการนำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาการดูแลนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกให้มีสุขภาพจิตที่ดียิ่งขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อศึกษาระดับความเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงานและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงานของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกในโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราชในปีการศึกษา 2567 จำนวน 80 คน&nbsp;&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยข้อมูล&nbsp; 5 ส่วน&nbsp; คือ&nbsp;&nbsp; ข้อมูลส่วนบุคคล &nbsp;ปัจจัยด้านการปฏิบัติงาน &nbsp;ข้อมูลปัจจัยด้านการศึกษา แบบวัดความพึงใจ แบบทดสอบภาวะเหนื่อยล้าในการปฏิบัติงาน Maslach Burnout Inventory&nbsp;(MBI)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 30 กรกฎาคม 2567วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติอนุมานได้แก่&nbsp; Chi-Square Test , Fisher’s Exact Test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> : นักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่มีความเหนื่อยล้าในการปฏิบัติงานในมิติของด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์และการลดความเป็นบุคคลส่วนด้านมิติความสำเร็จส่วนบุคคลที่พบว่าอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 96.3 ด้านความสัมพันธ์กับปัจจัยต่างๆ พบว่า ความพึงพอใจในการนอนและความเพียงพอในเวลาส่วนตัวทั้งคู่อยู่ในระดับต่ำจะพบความอ่อนล้าทางอารมณ์และการลดความเป็นบุคคลในระดับสูง (p&lt;0.05) ส่วนความพึงพอใจด้านการสนับสนุนทางจิตใจของศูนย์แพทย์และการสนับสนุนของอาจารย์แพทย์ส่วนใหญ่อยู่ในระดับความพึงพอใจที่สูงสัมพันธ์กับความอ่อนล้าทางอารมณ์และการลดความเป็นบุคคลที่ต่ำ (p&lt;0.05) ความคิดลาออก แรงจูงใจในการเข้าศึกษาแพทย์มาจากบิดา มารดา และมีปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวอร์ด จะพบว่าส่งผลต่อความอ่อนล้าทางอารมณ์ที่สูงการปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยสาขาหลักและนักศึกษาที่ออกกำลังกายน้อยกว่ากว่า 3 วันต่อสัปดาห์ จะพบมิติการลดความเป็นบุคคลในระดับสูง (p&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุป</strong> <strong>: </strong>ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่านักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกในโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราชมีความเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงานในมิติต่างๆ อยู่ในระดับปานกลางถึงสูงจึงควรมีระบบการดูแลนักศึกษาแพทย์จากศูนย์แพทย์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอนพักผ่อนและมีเวลาส่วนตัวเพียงพอ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระหว่างเพื่อนร่วมปฏิบัติงาน รวมทั้งระบบให้การคำปรึกษาทางจิตใจที่เข้าถึงง่ายและทั่วถึง มีระบบการติดตามคัดกรองภาวะเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงานโดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยสาขาหลัก</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280681 ผลของโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองด้านการออกกำลังกายด้วยยางยืดต่อสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพของผู้สูงอายุมุสลิม 2025-06-30T16:07:53+07:00 อาอีเสาะ เฮ็งปิยา kamonwan@bcnyala.ac.th กมลวรรณ สุวรรณ kamonwan@bcnyala.ac.th <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> การส่งเสริมสมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบคะแนนสมรรถภาพทางกายก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองด้านการออกกำลังกายด้วยยางยืดต่อสมรรถภาพทางกายในผู้สูงอายุมุสลิม</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นรูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 32 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกการประเมินสมรรถภาพทางกาย และแบบบันทึกการออกกำลังกายด้วยยางยืดด้วยตนเองที่บ้าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการทดสอบค่าที (paired t-test)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> :</strong> พบว่าหลังได้รับโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีดัชนีมวลกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ระดับ .05 ความยืดหยุ่นของร่างกายส่วนบน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว และความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนความยืดหยุ่นของร่างกายส่วนล่าง เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>สรุป</strong><strong> :</strong> โปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองด้านการออกกำลังกายด้วยยางยืดมีผลต่อการพัฒนาสมรรถภาพทางกายในเชิงบวกของผู้สูงอายุมุสลิม</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280701 การวิเคราะห์ความเหมาะสมในการรับส่งต่อผู้ป่วยในจังหวัดพัทลุง โดยใช้ Case mixed index และ Adjusted Relative Weight 2025-07-01T09:03:31+07:00 ณัฐศิริ สุวรรณรัตน์ yuimed29@gmail.com <p><strong>บทนำ:</strong> โรงพยาบาลพัทลุงได้นำ Adjusted Relative Weight และ Case mixed index มาเป็นตัวชี้วัดปริมาณงานและความซับซ้อนร่วมถึงทรัพยากรที่นำมาใช้ในงาน ซึ่งมีผลต่อรายจ่ายและความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลพัทลุงมาเป็นเครื่องมือประเมินความเหมาะสมในการส่งต่อผู้ป่วยในเขตจังหวัดพัทลุง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อนำค่าCase mixed index และ Adjusted Relative Weight ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความซับซ้อนและปริมาณทรัพยากรมาทำการประเมินศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาลชุมชน</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาย้อนหลัง โดยทบทวนเวชระเบียนและข้อมูลจากโปรแกรม Thai refer ในช่วงปีงบประมาณ 2564 ถึง 2566 ใช้ Program QlikView เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลมาเปรียบเทียบอัตราส่วนจำนวนผู้ป่วยที่มีค่า Adjusted Relative Weight น้อยกว่าค่า Case mixed index และวิเคราะห์หาโรคที่ส่งตัวมามากสุด 20 อันดับแรกกับการส่งต่อจากโรงพยาบาลชุมชนที่ส่งต่อ</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> อัตราผู้ป่วยที่มีการส่งต่อมายังโรงพยาบาลพัทลุงที่มีค่า Adjusted Relative Weight ต่ำกว่าค่า Case mixed index ในปีงบประมาณ 2564 ถึง 2566 เท่ากับร้อยละ 31.6, 32.7 และ 27.9 ตามลำดับ โดยค่า Adjusted Relative Weight ที่เหมาะสมในการส่งต่อในโรงพยาบาล F1 คือน้อยกว่า 0.55 และค่า Adjusted Relative Weight ที่เหมาะสมในการส่งต่อในโรงพยาบาล M1 คือน้อยกว่า 0.8 โดยเหตุผลหลักของการส่งต่อคือขาดแคลนทรัพยากรบุคคลและอุปกรณ์ จากการวิเคราะห์ Case mixed index และ Adjusted Relative Weight สามารถนำไปสู่การพัฒนาระบบการส่งต่ออย่างเหมาะสมต่อไป</p> <p><strong>สรุป:</strong> สิ่งที่ได้จากการวิเคราะห์ สามารถใช้ Adjusted Relative Weight และ Case mixed index มาพัฒนาระบบการส่งต่อและเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลชุมชนได้</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280702 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับร่องแผลเป็นมดลูกจากการผ่าตัดคลอด ที่หกสัปดาห์หลังคลอดบุตร 2025-07-01T09:19:45+07:00 ปฐม ยะจ่อ nureeza.zazaa@gmail.com สุภาพันธ์ วัฒนเจริญ nureeza.zazaa@gmail.com สุภาวี กิตติสัตยกุล nureeza.zazaa@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ภาวะร่องแผลเป็นมดลูกจากการผ่าตัดคลอดเป็นภาวะอุบัติใหม่ที่ส่งผลต่อสุขภาพมารดาในระยะยาว เช่น ภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด การตั้งครรภ์ตำแหน่งแผลเป็นมดลูก และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ในอนาคต&nbsp;</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกของร่องแผลเป็นมดลูกที่ 6 สัปดาห์หลังคลอด และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะนี้&nbsp;</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong>การศึกษานี้เป็นแบบพรรณนาไปข้างหน้า ดำเนินการที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ระหว่างวันที่ 15 เมษายน 2567 ถึง 15 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีครรภ์เดี่ยวที่มีสุขภาพดี อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์ประเมินภาวะแผลเป็นมดลูกที่ 6 สัปดาห์หลังคลอด&nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> จากผู้เข้าร่วม 101 ราย พบร่องแผลเป็นมดลูกร้อยละ 74.3 (75/101) โดยร้อยละ 38.7 (29/75) เป็นร่องแผลขนาดใหญ่ มดลูกคว่ำหน้าเพิ่มความเสี่ยงการเกิดร่องแผลเป็นมดลูก 18 เท่า (adjusted OR = 18.00, 95% CI = 4.17 – 77.77, p &lt; 0.001) และอายุน้อยกว่า 35 ปีเพิ่มความเสี่ยงการเกิดร่องแผลขนาดใหญ่ 6.19 เท่า (adjusted OR = 6.19, 95% CI = 1.59 – 24.09, p = 0.009)&nbsp;</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ความชุกของร่องแผลเป็นมดลูกที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอยู่ที่ร้อยละ 74.3 แสดงถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังภาวะนี้ โดยเฉพาะในกรณีมดลูกคว่ำหน้า ควรตรวจอัลตราซาวนด์เพิ่มเติมเพื่อประเมินภาวะแผลเป็นมดลูก ติดตามอาการ ภาวะแทรกซ้อน และการหายของแผลในช่วง 6 เดือนหลังคลอด&nbsp;</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280703 การเจาะเยื่อหุ้มหัวใจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจช่วยไกด์ด้วยสายสวน หลอดเลือดดำส่วนกลาง เปรียบเทียบวิธีการระบายของเหลวในช่องเยื่อหุ้มหัวใจระหว่าง การระบายแบบดั้งเดิมเป็นระยะกับแบบต่อเนื่อง 2025-07-01T09:26:11+07:00 กฤตยา กาญจนรัตน์ kuntona_krittaya@yahoo.com <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> ภาวะบีบรัดหัวใจ เป็นภาวะคุกคามชีวิตที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและการจัดการอย่างทันท่วงที</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของการเสียชีวิตระหว่างวิธีการระบายของเหลวในช่องเยื่อหุ้มหัวใจแบบดั้งเดิมเป็นระยะกับแบบต่อเนื่องด้วยระบบแรงดันลบที่ใช้ Jackson-Pratt Drain ของการเจาะเยื่อหุ้มหัวใจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจช่วยไกด์ด้วยสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบเหตุไปหาผลในผู้ป่วยทั้งหมดที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะบีบรัดหัวใจและเจาะเยื่อหุ้มหัวใจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจช่วยไกด์ด้วยสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567 เปรียบเทียบความแตกต่างของการเสียชีวิตระหว่างกลุ่มใช้ log-rank test และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการตายใช้ Cox proportional hazards regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยทั้งหมดจำนวน 32 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 71.9 มีอายุที่มีค่ากลาง 66.0 ปี และกลุ่มการระบายของเหลวในช่องเยื่อหุ้มหัวใจแบบเป็นระยะกับแบบต่อเนื่อง มีอัตราตายในโรงพยาบาลร้อยละ 46.7 และ 11.8 (HR=4.785, 95%Cl=0.992-23.075, p=0.051) และระยะเวลาปลอดเหตุการณ์ 16.8 และ 19.9 วัน (log-rank p=0.028) มีอัตรากลับเป็นซ้ำที่ 1 ปีร้อยละ 62.5 และ 13.3 (HR=4.783, 95%Cl=0.919-24.890, p=0.063) และระยะเวลาปลอดการกลับเป็นซ้ำ 102.7 และ 228.0 วัน (log-rank p=0.041) ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>:</strong> กลุ่มการระบายของเหลวในช่องเยื่อหุ้มหัวใจแบบต่อเนื่อง มีแนวโน้มเป็นวิธีที่มีข้อได้เปรียบในการวิจัยแบบสถาบันเดียว</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280705 ผลของการปนเปื้อนสารห้ามเลือดต่อกำลังยึดติดของวัสดุเรซินคอมโพสิตกับเนื้อฟัน : การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน 2025-07-01T09:30:41+07:00 พรนลัท เหมไพบูลย์ phamepaiboon@gmail.com ธัญวรัตม์ เกตุศรี phamepaiboon@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>วัสดุเรซินคอมโพสิตมีความไวต่อความชื้นเป็นอย่างมาก หากมีการปนเปื้อนของเลือดหรือของเหลว อาจทำให้แรงยึดติดระหว่างเรซินคอมโพสิตและโครงสร้างฟันลดลง จึงมีการใช้สารห้ามเลือดเพื่อควบคุมเลือดที่ออกบริเวณเหงือก และลดของเหลวในร่องเหงือก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและวิเคราะห์อภิมานหลักฐานทางวิชาการถึงผลของการปนเปื้อนสารห้ามเลือดต่อกำลังยึดติดของวัสดุเรซินคอมโพสิตกับเนื้อฟัน</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>สืบค้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบจากฐานข้อมูล PubMed และ Google scholar ร่วมกับการค้นหาด้วยมือ มีการสืบค้นวรรณกรรมจนถึงปี ค.ศ. 2024 &nbsp;นำมาเฉพาะบทความภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย และนำมาวิเคราะห์อภิมานผลของการปนเปื้อนสารห้ามเลือดต่อกำลังยึดติดของวัสดุเรซินคอมโพสิตกับเนื้อฟัน จาก 18 บทความที่ได้รับการยอมรับ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ความทนแรงเฉือน ความทนแรงเฉือนระดับจุลภาค และความทนแรงดึงระดับจุลภาคของวัสดุ<br>เรซินคอมโพสิตกับเนื้อฟันในกลุ่มที่ไม่มีการปนเปื้อนสารห้ามเลือดมีค่ามากกว่ากลุ่มที่มีการปนเปื้อนสารห้ามเลือด แต่อาจยังไม่สามารถสรุปได้เนื่องจากข้อมูลขาดความเป็นเนื้อเดียวกันสูง</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การปนเปื้อนสารห้ามเลือดมีผลเชิงลบต่อกำลังยึดติดของวัสดุเรซินคอมโพสิตกับเนื้อฟัน แต่เนื่องจากหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดและมีจำนวนไม่มาก จึงมีความจำเป็นที่ควรมีการวิจัยที่มีคุณภาพสูงต่อไป</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280709 ผลการรักษามะเร็งคอหอยหลังช่องปากในผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสี ในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช 2025-07-01T09:37:27+07:00 สิริอารยะภา ชัชวรัตน์ kulischatchawarat@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong> : มะเร็งคอหอยหลังช่องปากเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยและปัจจุบันมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น<sup>(1)</sup> การฉายรังสีเป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบันทั้งในระยะแรกและระยะลุกลามเฉพาะที่ เพื่อให้หายจากโรคและเพื่อสงวนการทำงานของอวัยวะซึ่งมีความสำคัญต่อการกลืนอาหารและป้องกันการสำลักของผู้ป่วย <u>การศึกษานี้จึงมุ่งศึกษาผลของการรักษามะเร็งคอหอยหลังช่องปากด้วยการฉายรังสีในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช </u></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อศึกษาอัตราการรอดชีวิตที่ 2 ปี (2-year Overall survival rate) ค่ามัธยฐานระยะเวลารอดชีวิต (Median survival) และ ค่ามัธยฐานระยะเวลาโรคสงบ (Median Progression free survival) ในผู้ป่วยมะเร็งคอหอยหลังช่องปากที่ได้รับการฉายรังสี&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong> : ทำการศึกษาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง (retrospective cohort study) โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน เก็บข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งคอหอยหลังช่องปากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี<u>ในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช </u>ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 ถึง 31 ธันวาคม 2565&nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> : จากการเก็บรวบรวมข้อมูลมีผู้ป่วยทั้งสิ้นจำนวน 67 ราย อายุโดยเฉลี่ยของ ผู้ป่วยคือ 61 ปีผู้ป่วยร้อยละ 86 สูบบุหรี่ ตำแหน่งของมะเร็งที่พบมากที่สุด คือ โคนลิ้น รองลงมาคือ ทอนซิล เพดานอ่อน และ ผนังคอหอยตามลำดับ ระยะของโรคส่วนใหญ่พบเป็นระยะที่ 4 จำนวน 39 ราย (ร้อยละ 58) รองลงมาคือระยะที่ 3 จำนวน 17 ราย (ร้อยละ 25) ระยะเวลาในการติดตามผลการรักษา 41 เดือน พบอัตราการรอดชีวิตที่ 2 ปี ร้อยละ 48 (95 % CI 0.35-0.59) ค่ามัธยฐานระยะเวลารอดชีวิต 23.8 เดือน และค่ามัธยฐานระยะเวลาโรคสงบ 19.8 เดือน</p> <p><strong>สรุป</strong> <strong>:</strong> ผู้ป่วยมะเร็งคอหอยหลังช่องปากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่เป็นระยะลุกลามเฉพาะที่ จึงมีอัตราการรอดชีวิตและค่ามัธยฐานระยะเวลาโรคสงบที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นการป้องกันการเกิดโรครวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับอาการแสดงของมะเร็ง เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการบ่งชี้มะเร็งได้มาพบแพทย์และจะช่วยให้สามารถตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ ซึ่งการรักษามะเร็งในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้นได้</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280710 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์กับผลการตรวจคัดกรอง ดาวน์ชินโดรมชนิด quadruple test ที่โรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-07-01T09:42:34+07:00 กิตติพล อารีพล popkittipol@gmail.com วรรณา กุมารจันทร์ popkittipol@gmail.com <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> ปัจจุบันสตรีตั้งครรภ์ในประเทศไทยได้รับการคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ ด้วยการตรวจ quadruple test จากการศึกษาอื่นพบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (HRQT) ต่อกลุ่มอาการดาวน์อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ การศึกษาในครั้งนี้เพื่อหาความสัมพันธ์ HRQT กับการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค</strong>์ : เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์กับผลการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมด้วยวิธี quadruple test ที่โรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong> <strong>:</strong> การศึกษาย้อนหลัง จากเวชระเบียนสตรีตั้งครรภ์ที่มีผลตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ ทุกรายที่มาตรวจคัดกรองในโรงพยาบาลทุ่งสง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 -วันที่ 30 กันยายน 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา : </strong>ประชากรที่ศึกษา 2,530 ราย HRQT จำนวน 167 ราย (ร้อยละ 6.6) จากผลการตรวจยืนยันโดยการเจาะน้ำคร่ำ พบทารกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ 3 ราย ได้ยุติการตั้งครรภ์ทั้ง 3 ราย เหลือ HRQT ที่ศึกษา จำนวน 164 ราย เมื่อตั้งครรภ์ต่อจนคลอด ตรวจพบเป็น GHT ในกลุ่ม HRQT&nbsp; ร้อยละ 8.54 <br>( P &lt;0.05 ) กลุ่ม LRQT ร้อยละ 0.85 พบ Preeclampsia ในกลุ่ม HRQT ร้อยละ 4.62 ( P &lt;0.05 ) และใน กลุ่ม LRQT ร้อยละ 0.68</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>ในสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการ quadruple test ที่มีผลเป็น&nbsp; HRQT ต่อกลุ่มอาการดาวน์ ผลการศึกษาพบความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะ GHT และ Pre-eclampsia สูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280711 การเปรียบเทียบประสิทธิผลของยาที่ใช้ในการป้องกันภาวะภูมิไวเกินจากยา Paclitaxel 2025-07-01T09:47:47+07:00 สุเพ็ญพร อักษรวงศ์ supenporn5715@gmail.com สุจิตรา ยิ่งยงค์ supenporn5715@gmail.com กมลภัทร รัศมีรัถยาธรรม supenporn5715@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>Paclitaxel เป็นยาเคมีบำบัดที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง พบภาวะภูมิไวเกินเป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดซึ่งต้องมีการให้ยานำ การให้ยานำป้องกันภาวะภูมิไวเกินมีหลายรูปแบบ ข้อมูลในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 พบผู้ป่วยเกิดภาวะภูมิไวเกินจากยา Paclitaxel ร้อยละ 4.75 และมากที่สุดเมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัดชนิดอื่น</p> <p>วั<strong>ตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างสูตรยานำ กับการเกิดภาวะภูมิไวเกินและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะภูมิไวเกินในผู้ป่วยที่ได้รับ Paclitaxel</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยมะเร็งและได้รับPaclitaxel ในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2565 ถึง 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วย 217 ราย เกิดภาวะภูมิไวเกิน 21 ราย(ร้อยละ 9.67) โดยพบสูงที่สุดในผู้ป่วยที่ได้รับยานำสูตร A (Dexamethasone 20 mg IV, Chlorpheniramine 10 mg IV, Famotidine 20 mg oral) รองลงมาสูตร B (Dexamethasone 20 mg IV, Diphenhydramine 25 mg oral, Dexamethasone 4 mg oral 12,6 hr. before Paclitaxel) และ C (Dexamethasone 20 mg IV, Diphenhydramine 25 mg oral, Famotidine 20 mg oral) ตามลำดับ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยานำ พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับสูตร A และ B มีโอกาสเกิดภาวะภูมิไวเกิน 1.1 เท่า (95% CI; 0.301-4.153) และ 0.8 เท่า (95% CI; 0.253-3.076) เมื่อเทียบกับสูตร C</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ถึงแม้ไม่พบความสัมพันธ์ทางสถิติ แต่สูตร C พบอุบัติการณ์ในการเกิดภาวะภูมิไวเกินน้อยที่สุด ดังนั้นอาจนำมาใช้เป็นแนวทางในการเลือกสูตรยานำที่ใช้ป้องกันภาวะภูมิไวเกินได้</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280712 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะทุพโภชนาการในเด็กที่เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลตติยภูมิ : การศึกษาแบบย้อนหลัง 2025-07-01T09:54:35+07:00 กมลวรรณ แซ่อึ้ง oommedicine@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะทุพโภชนาการเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้องและการวินิจฉัยที่หลากหลาย ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบ ระบบภูมิคุ้มกัน และการติดเชื้อระหว่างรักษาในโรงพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อหาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของภาวะทุพโภชนาการในเด็กที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านทางเวชระเบียนในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 284 ราย พบว่าตามเกณฑ์การเติบโตขององค์กรอนามัยโลก (WHO) พบความชุกของภาวะผอม (WFH z-score&lt; -2&nbsp; ) และเตี้ย (HFA z-score &lt; -2)&nbsp; อยู่ที่ร้อยละ 13 เท่ากัน ความชุกของภาวะน้ำหนักเกิน(WFH z-score &gt; 2 / BMI z-score &gt; 1) ร้อยละ 13 และภาวะอ้วน (WFH z-score &gt;3/ BMI z-score &gt;2) ร้อยละ 14 ยังไม่พบปัจจัยที่เกี่ยวข้องและไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากภาวะ&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทุพโภชนาการ</p> <p><strong>สรุป</strong>: พบความชุกของภาวะโภขนาการขาดและเกินค่อนข้างสูง ร้อยละ 26 และ 27 ตามลำดับ การดูแลภาวะโภขนาการในเด็กเป็นสำคัญ ถึงแม้ยังไม่เจอปัจจัยเกี่ยวข้องและภาวะแทรกซ้อนจากการศึกษานี้ และยังต่อการการศึกษาต่อไป</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280713 ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่ 30 วันของผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST Segment ยกขึ้นที่มีภาวะช็อกจากโรคหัวใจในโรงพยาบาลตรัง 2025-07-01T09:58:12+07:00 พูนสวัสดิ์ เรืองวิทยาวงศ์ poonlet_lo@hotmail.com <p><strong>บทนำ</strong><strong> :</strong> ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นปัญหาที่สำคัญของระบบสาธารณสุขในทุกประเทศ การมีภาวะช็อกจากโรคหัวใจร่วมด้วยทำให้อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอัตราการเสียชีวิตและปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST segment ยกขึ้นที่มีภาวะช็อกจากโรคหัวใจในโรงพยาบาลตรัง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลัง (Retrospective study) ของผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST segment ยกขึ้นที่มีภาวะช็อกจากโรคหัวใจที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตรัง ตั้งแต่ มกราคม 2564 - ธันวาคม 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>ผู้ป่วยจำนวน 83 ราย ผลการศึกษาพบว่าภายใน 30 วันมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตเสียชีวิตจากโรคหัวใจจำนวน 31 ราย (ร้อยละ 37.4) โดยปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ อัตราการกรองของไต (eGFR) (AOR = 0.94, 95% CI = 0.90-0.97, P = &lt;0.001) , Ventricular arrhythmia (VT/VF) (AOR = 4.69, 95% CI = 1.26-17.51, P = 0.021) &nbsp;และจำนวนยากระตุ้นความดัน (AOR = 2.88, 95% CI = 1.13-7.38, P = 0.027) &nbsp;</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST segment ยกขึ้นที่มีภาวะช็อกจากโรคหัวใจที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตรังมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 37.4 โดยอัตราการกรองของไต (eGFR), Ventricular arrhythmia (VT/VF) และจำนวนยากระตุ้นความดัน จะส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280714 การรักษาไส้เลื่อนขาหนีบและถุงน้ำอัณฑะในเด็กโดยการผ่าตัดส่องกล้อง ในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช : การศึกษาย้อนหลัง 5 ปี 2025-07-01T10:03:12+07:00 อรไท ชั้นแก้ว orathai8058@gmail.com <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>การรักษาโรคไส้เลื่อนขาหนีบ และถุงน้ำอัณฑะด้วยการผ่าตัดแบบเปิดในปัจจุบัน พบอัตราการกลับเป็นซ้ำและอัตราการเป็นตรงข้ามที่สูง มีการรายงานการผ่าตัดส่องกล้องโดยปมไหมอยู่ด้านนอก สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดดังกล่าวได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาการรักษาไส้เลื่อนขาหนีบและถุงน้ำอัณฑะในเด็กโดยการผ่าตัดส่องกล้องในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ </strong><strong>: </strong>การศึกษาย้อนหลัง 5 ปี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วย ที่ได้รับการวินิจฉัยไส้เลื่อนขาหนีบและถุงน้ำอัณฑะ ที่ผ่าตัดรักษาโดยการส่องกล้องทั้งหมด ในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ในผู้ป่วยอายุ 0-15 ปี ตั้งแต่ปี 2017-2022</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยทั้งหมด จำนวน 60 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 48 ราย ร้อยละ 80 และเพศหญิง 12 ราย ร้อยละ 20 พยาธิสภาพได้แก่ ข้างเดียว 46 ราย ร้อยละ 76 ด้านตรงข้าม 14 ราย ร้อยละ 24 โดยแบ่งเป็นไส้เลื่อนขาหนีบ 46 ราย ร้อยละ 76 และ ถุงน้ำอัณฑะ 24 ราย ร้อยละ 24 ผลการรักษาพบว่า ระยะเวลาการผ่าตัดในเพศชาย พยาธิสภาพข้างเดียวและสองข้างมีค่าเฉลี่ย 23.75 และ &nbsp;30.4 นาที ตามลำดับ ในเพศหญิง พยาธิสภาพข้างเดียว และสองข้างมีค่าเฉลี่ย 23 และ 30 นาที ตามลำดับ พบอัตราการกลับเป็นซ้ำ 1 ราย ร้อยละ 1.6 ไม่พบการฝ่อของลูกอัณฑะหลังผ่าตัด</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>การผ่าตัดส่องกล้องเป็นวิธีการผ่าตัดที่ปลอดภัย อัตราการกลับเป็นซ้ำต่ำ การหายของบาดแผลหลังผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280715 การผ่าตัดตกแต่งปุ่มกระดูกขากรรไกรก่อนใส่ฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ : รายงานผู้ป่วย 1 ราย 2025-07-01T10:06:53+07:00 อวิกา ชุมวรฐายี fningnung@gmail.com <p>ปุ่มกระดูกในช่องปากโดยปกติมักไม่ต้องผ่าตัดตกแต่ง แต่หากมีข้อบ่งชี้ เช่น ปุ่มกระดูกนั้นส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการกินอาหาร เกิดแผลบริเวณปุ่มกระดูกบ่อย ๆ จากการครูดหรือเสียดสีของอาหารแข็ง หรือขัดขวางต่อการใส่ฟันเทียม ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษา บทความนี้ได้นำเสนอผู้ป่วยชายอายุ 61 ปี มีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้เพื่อการบดเคี้ยว ตรวจภายในช่องปากพบปุ่มกระดูกด้านแก้มบริเวณขากรรไกรบนและปุ่มกระดูกด้านลิ้นบริเวณขากรรไกรล่าง ซึ่งขัดขวางต่อการใส่ฟันเทียม จึงให้การรักษาโดยการผ่าตัดตกแต่งปุ่มกระดูกขากรรไกร เพื่อเตรียมสภาพช่องปากในส่วนที่จะใช้วางฐานฟันเทียมให้มีรูปร่างในลักษณะที่เหมาะสม&nbsp; ภายหลังติดตามผลการรักษา 2 เดือน พบว่าบริเวณแผลผ่าตัดแต่งกระดูกหายดี จึงได้ทำฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ให้ผู้ป่วยต่อไป และพบว่าผู้ป่วยสามารถใช้ฟันเทียมได้ดี เคี้ยวอาหารได้ ไม่เจ็บเหงือก และมีความพึงพอใจต่อการรักษา</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280717 การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันในผู้ป่วยที่มีฟันหน้าบนและล่างยื่นด้วยการถอนฟันหน้าบน: รายงานผู้ป่วย 2025-07-01T10:10:12+07:00 หนึ่งฤทัย ยอดทอง nueng_yo@hotmail.com <p>การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันในผู้ป่วยที่มีฟันหน้าบนและล่างยื่น มักจะมีแผนการรักษาร่วมกับการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่งทั้ง 4 ซี่ รายงานผู้ป่วยนี้เป็นการนำเสนอการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันในผู้ป่วยชายไทย อายุ 22 ปี ที่มีปัญหาฟันหน้าบนและล่างยื่น ได้รับการวินิจฉัยว่าความสัมพันธ์ของขากรรไกรบนและล่างและการสบฟันผิดปกติประเภทที่ &nbsp;1 ใบหน้าด้านข้างนูน ริมฝีปากบนและล่างยื่น&nbsp;&nbsp; ฟันหน้าบนขวาซี่ที่หนึ่งได้รับการรักษาคลองรากฟันมาแล้ว เนื้อเยื่อรอบปลายรากฟันอักเสบชนิดไม่มีอาการ ร่วมกับรูทะลุบนรากฟันเหตุหมอทำ การพยากรณ์โรคไม่ดี ให้การรักษาด้วยเครื่องมือทางทันตกรรมจัดฟันชนิดติดแน่นร่วมกับการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่ง 3 ซี่&nbsp; และฟันหน้าบนขวาซี่ที่หนึ่ง เคลื่อนฟันหน้าบนซี่ที่สองทดแทนฟันหน้าบนซี่ที่หนึ่ง&nbsp; ผลการรักษาพบว่าผู้ป่วยมีการสบฟันที่ดีมีเสถียรภาพ ผู้ป่วยมีรูปหน้าที่ดีขึ้น&nbsp; รายงานผู้ป่วยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้ฟันหน้าบนซี่ที่สองทดแทนฟันหน้าบนซี่ที่หนึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องถอนฟันหน้าบนซี่ที่หนึ่ง</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280718 การปลูกถ่ายฟันให้ตนเอง ทางเลือกเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป 2025-07-01T10:13:38+07:00 ศิริณา บริรักษ์ธนกุล Buabori@hotmail.com <p>การปลูกถ่ายฟันเป็นทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป โดยเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถใส่ฟันปลอมหรือรากฟันเทียมได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายหรือในผู้ป่วยอายุน้อยที่ยังมีการเจริญเติบโตของขากรรไกร</p> <p>บทความนี้เป็นรายงานกรณีศึกษาของผู้ป่วยหญิงอายุ 20 ปี มีฟันกรามล่างซ้ายซี่ที่สองผุทะลุโพรงประสาทฟันและมีรอยโรคปลายราก เนื่องจากข้อจำกัดค่าใช้จ่ายและเวลา จึงเลือกการปลูกถ่ายฟันจากฟันคุดล่างซ้ายปลายรากเปิดเพื่อนำมาทดแทนฟันที่ถอนไป หลังติดตามผล 6 เดือน ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ สบฟันและบดเคี้ยวได้ปกติ ภาพรังสีแสดงเนื้อเยื่อรอบรากฟันปกติ มีการสร้างรากฟันต่อเนื่องเป็นสัญญาณของการฟื้นฟูเนื้อเยื่อโพรงประสาท ซึ่งบ่งบอกถึงความมีชีวิตของฟัน</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/MNSTMedJ/article/view/280720 การรักษาการสูญสลายภายในรากฟันตัดบนด้วยวัสดุเอ็มทีเอ 2025-07-01T10:18:55+07:00 ไกร แก้วทิพย์ kraikaewtip45@gmail.com <p>การสูญสลายภายในรากฟันเกิดขึ้นในกรณีที่มีการอักเสบของประสาทฟันเรื้อรัง สาเหตุทั่วไปได้แก่&nbsp;&nbsp; ฟันผุ การรักษาทางทันตกรรมก่อนหน้า หรือการบาดเจ็บจากการจัดฟันที่ทำให้ประสาทฟันได้รับความเสียหาย</p> <p>ซึ่งส่วนใหญ่การสูญสลายภายในรากฟันมักพบในฟันหน้า บทความนี้นำเสนอเคสผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 21 ปี อยู่ในระหว่างการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน ทันตแพทย์จัดฟันได้พบการสูญสลายภายในรากฟันตัดบนซี่ข้างจากภาพเอกซเรย์ประเมินผลระหว่างการรักษาจึงเปิดรักษาคลองรากฟันฉุกเฉินและส่งผู้ป่วยมารับการรักษาต่อเนื่อง</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผู้ป่วยได้รับการตรวจ พบเยื่อเมือกช่องปากปกติไม่มีรูเปิดทางหนองไหล ฟันซี่ 22 วัสดุอุดเดิมอยู่ในสภาพดีไม่รั่วซึม คลำและเคาะปกติ การถ่ายภาพรังสีรอบปลายรากฟันพบมีการสูญสลายภายในรากฟันซี่ดังกล่าวขนาด 4 x 6 ตารางมิลลิเมตร และมีพยาธิสภาพปลายรากฟันขนาด 1 x 1 ตารางมิลลิเมตร การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ชนิดโคนบีมแบบภาพ 3 มิติ พบรอยโรคของการสูญสลายภายในรากฟันค่อนไปทางด้านใกล้ริมฝีปาก โดยเหลือเนื้อฟันบริเวณดังกล่าว 0.58 มิลลิเมตร การพยากรณ์โรคของฟันซี่นี้อยู่ในระดับดีเนื่องจากยังไม่มีการทะลุของรากฟัน จึงได้วางแผนการรักษาคลองรากฟันและซ่อมแซมตำแหน่งที่สูญสลายจากภายในรากฟันด้วยMTA บูรณะด้วยเดือยฟันและแกนฟัน หลังจากรักษาทางทันตกรรมจัดฟันเสร็จสิ้นจึงวางแผนบูรณะฟันซี่นี้ด้วยครอบฟัน ตามลำดับ เพื่อให้ได้รับการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันต่อเนื่อง หลังติดตามผลการรักษาเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าผลเป็นที่น่าพอใจ ผู้ป่วยไม่มีการ และไม่มีการเพิ่มขนาดของพยาธิสภาพปลายรากฟัน</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025