https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/issue/feed วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ 2025-06-29T11:32:47+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปธานิน แสงอรุณ journalofsafetyandhealth@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ</strong></p> <p>ISSN 3056-9540 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก</strong><span style="font-weight: 400;"> : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม)</span></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </strong><span style="font-weight: 400;">วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาธารณสุขศาสตร์ และ อนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</span></p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/280589 บทบรรณาธิการ 2025-06-27T10:45:20+07:00 ปธานิน แสงอรุณ Pathanin.san@stou.ac.th 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/276258 การจำแนกประเภทและการประเมินโอกาสการเกิดความผิดพลาดของมนุษย์ในขั้นตอนการปลูกข้าวของเกษตรกร อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร 2025-02-14T16:05:37+07:00 ทศพล บุตรมี totaponb@nu.ac.th พิสิษฐ์ ฟั่นคุ้ม pisitf64@nu.ac.th กนกวรรณ ลำเจียก kanokwanl64@nu.ac.th สุทธิดา วิสุทธิศักดิ์ suttidaw64@nu.ac.th อาทิตยา จิตจำนงค์ atitaya.j@pkru.ac.th <p>ในกระบวนการปลูกข้าว เกษตรกรมีโอกาสเกิดความผิดพลาดมนุษย์และอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุและลดประสิทธิภาพการทำงานได้ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) จำแนกประเภทความผิดพลาดของมนุษย์ 2) ประเมินสภาพการณ์ที่ส่งผลต่อโอกาสเกิดข้อผิดพลาด และ 3) คำนวณจำนวนโอกาสเกิดความผิดพลาดของมนุษย์ในขั้นตอนการปลูกข้าวของเกษตรกร อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 42 คน วิเคราะห์ประเภทความผิดพลาดของมนุษย์โดยใช้เทคนิค Systematic Human Error Reduction and Prediction Approach (SHERPA) คำนวณจำนวนโอกาสเกิดความผิดพลาดและสภาพการณ์ที่นำไปสู่การเกิดความผิดพลาดโดยใช้เทคนิค Cognitive Reliability Analysis Method (CREAM) </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การปลูกข้าวโดยใช้คนดำนามีประเภทความผิดพลาดของมนุษย์ จำนวน 53 รายการ โดยประเภทความผิดพลาดที่พบสูงสุดคือ การกระทำที่ผิดพลาด (Action error) คิดเป็นร้อยละ 75.47 ผลจากการวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค CREAM พบว่า การใช้คนดำนามีจำนวนโอกาสเกิดความล้มเหลวในกระบวนการคิดโดยรวม (Cognitive Failure Probability total; CFPt) เท่ากับ 0.031 สภาพการณ์ที่นำไปสู่การเกิดความผิดพลาด ได้แก่ สภาพการทำงานที่ไม่เหมาะสม ความพร้อมของแผนงานและขั้นตอนการทำงานที่มีอยู่ จำนวนของเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จพร้อมกัน ที่มากกว่าความสามารถ และคุณภาพความร่วมมือของสมาชิกในทีมที่ขาดประสิทธิภาพ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการป้องกันการเกิดความผิดพลาดของมนุษย์ในขั้นตอนการปลูกข้าวของเกษตรกรโดยวิธีดำนา เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/273946 การพัฒนาเทคนิคการประมวลผลภาพปัญญาประดิษฐ์ด้วย YOLOv8 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับอุบัติการณ์พนักงานขับรถโฟล์คลิฟท์ ที่คลังสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง 2024-11-27T09:14:50+07:00 ปฐมพงษ์ หอมศรี patomphong.homsri@gmail.com ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์ sriratl@hotmail.com ธีรยุทธ เสงี่ยมศักดิ์ teerayut@go.buu.ac.th <p>การตรวจจับและการรายงานอุบัติการณ์โดยพนักงานมีปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ พนักงานยังขาดการรายงานเหตุการณ์ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ปรับปรุงการประมวลผลภาพของโปรแกรม YOLOv8 ด้วยราสเบอร์รี่พาย 5 ในการตรวจจับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ (Incidents) ของการขับขี่รถโฟล์คลิฟท์ และ (2) เพื่อเปรียบเทียบจำนวนอุบัติการณ์ที่บันทึกได้ระหว่างก่อนและหลังการใช้โปรแกรม YOLOv8 ที่พัฒนาขึ้น มีกระบวนการปรับปรุง คือ (1) ป้อนชุดข้อมูล (Input Dataset) (2) ฝึกโมเดล (Training Model) มี 2 ชุด คือ ห่างไม่เกิน 1 เมตร และห่างระหว่าง 1-3 เมตร และ (3) อัตราการสุ่ม (Sampling Rate) ที่ร้อยละ 15 ผลการวิจัยพบว่า เทคนิคการประมวลผลภาพ AI มีประสิทธิภาพในการทดสอบความแม่นยำวัตถุ (mean Average Precision: mAP) เฉลี่ยร้อยละ 85.35 ศึกษาอุบัติการณ์ของพนักงานขับรถโฟล์คลิฟท์ เปรียบเทียบจำนวนอุบัติการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ Shapiro-Wilk ก่อนและหลังการใช้ AI ในการตรวจจับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่ระดับนัยสำคัญ (p-value &lt; 0.05) และประเมินความพึงพอใจหลังการใช้เทคนิคดังกล่าวอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด ในด้านของประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มมากขึ้น ความเข้ากันได้ และด้านประสิทธิผลในการใช้งานของโปรแกรม YOLOv8 ตามลำดับ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/274793 ความรอบรู้การป้องกันอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตรด้วยกระบวนการสนับสนุนทางสังคมในชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี 2024-11-08T15:58:52+07:00 ชัยกฤต ยกพลชนชัย chaiyakrit.y@ubru.ac.th ญาณิฐา แพงประโคน yanita.p@ubru.ac.th จารุพร ดวงศรี Jaruporn.d@ubru.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ ใช้กระบวนการสนับสนุนทางสังคมเพื่อศึกษาความรอบรู้การป้องกันอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตรด้วยกระบวนการสนับสนุนทางสังคมในชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี มีประชากรจำนวน 782 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงในชุมชนที่ใช้สารเคมีทางการเกษตรมากที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 213 คน โดยดำเนินการวิจัยใช้กระบวนการสนับสนุนทางสังคมตามทฤษฎีความปลอดภัย 3E คือ Engineering Educationและ Enforcement ติดต่อกันจำนวน 8 ครั้งเป็นเวลา 3 เดือน รวบรวมข้อมูลจากเครื่องมือแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบคุณภาพเครื่องมือวิเคราะห์หาความตรงของเนื้อหาและค่าความเชื่อมั่นของเนื้อหา เท่ากับ 0.76 และ 0.82 ตามลำดับ วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติ paired t – test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนส่วนใหญ่มีความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมความปลอดภัยอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 93.9 และร้อยละ 92.0 ตามลำดับ) เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหลังการให้การให้แรงสนับสนุนทางสังคมตามทฤษฎีความปลอดภัย 3E ค่าเฉลี่ยความรอบรู้ทางสุขภาพและพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>-value &lt; 0.001</p> <p>สรุปผล กระบวนการสนับสนุนทางสังคมในชุมชนโดยใช้หลักการบริหารความปลอดภัย 3E สามารถสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพในการป้องกันอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตรส่งผลให้พฤติกรรมความปลอดภัยในการใช้สารเคมีในชุมชนในทิศทางที่ดีขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการความปลอดภัยในชุมชนอื่นได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/274796 ผลกระทบด้านสุขภาพและความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้างรถไฟรางคู่ เด่นชัย-เชียงของ ที่มีต่อประชาชนโดยรอบในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย 2024-12-09T13:40:19+07:00 วารุณี พันธ์วงศ์ p.warunee2@gmail.com กาญจนา ปินตาคำ em_kranjanar_p@crru.ac.th สัณห์พิชญ์ พิมูลชาติ sunphich.phi@crru.ac.th ธนพนธ์ คำเที่ยง em_thanaphon_k@crru.ac.th <p>การก่อสร้างรถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงของ เป็นการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าและทันสมัย แต่ควรให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านสุขภาพและความปลอดภัย รวมถึงให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อลดข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นตามมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพและความปลอดภัยรวมถึงระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน จากนั้นนำมาออกแบบหาข้อเสนอแนะแนวทางภาคประชาชนเพื่อแก้ไขผลกระทบด้านสุขภาพและความปลอดภัยจากการก่อสร้างรถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงของ แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกเป็นวิจัยเชิงปริมาณที่ศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 433 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ คิดเป็นร้อยละ 80.40 และได้รับผลกระทบด้านความปลอดภัยอยู่ในระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 64.90 เมื่อศึกษาถึงระดับการมีส่วนร่วม พบว่าอยู่ในระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 83.40 ระยะที่สองเป็นวิจัยเชิงพรรณนา โดยใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสาร และกระบวนการสนทนาแบบกลุ่ม จำนวน 30 คน พบว่า ได้ข้อเสนอแนะออกมา 3 แนวทาง คือ ข้อเสนอแนะด้านสุขภาพ ข้อเสนอแนะด้านความปลอดภัย และข้อเสนอแนะอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปออกแบบและวางแผนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพและความปลอดภัยแก่ประชาชนในระหว่างการก่อสร้างรถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงของ พร้อมทั้งลดความขัดแย้งและข้อร้องเรียนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/273799 การประเมินสัดส่วนของฝุ่นละออง PM10 และ PM2.5 ด้วยแบบจำลอง AERMOD ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 2024-12-15T11:44:31+07:00 สุทธิชาน์ นิลฤทธิ์ sutthicha@gmail.com เจษฎานันท์ เวียงนนท์ Jessadanan@nmu.ac.th ภรณ์ดรัลรัตน์ สุชามาลาวงษ์ P_sucham@mmtc.ac.th <p>การศึกษาสัดส่วนของฝุ่นละออง PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5 </sub>ที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากยานพาหนะในเขตเมือง ซึ่งได้เลือกพื้นที่ศึกษาในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีปริมาณการจราจรหนาแน่น และปริมาณฝุ่นละออง PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5 </sub>ในบรรยากาศมีแนวโน้มเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง การศึกษาสัดส่วนของฝุ่นละอองด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ AERMOD ในครั้งนี้เพื่อศึกษาผลกระทบที่มีต่อคุณภาพอากาศ เพื่อเป็นแนวทางป้องกันปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยนำเข้าข้อมูลสภาพอุตุนิยมวิทยา พ.ศ. 2561-2563 ลักษณะพื้นผิว จุดสังเกตฝุ่นละอองในพื้นที่ศึกษา โดยใช้สมการ Gaussian Plume ประเมินการแพร่กระจายของฝุ่นละอองบริเวณริมถนนในเขตปทุมวัน พบว่า PM<sub>10</sub> (83.52 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และค่าเฉลี่ยสูงสุดของ PM<sub>2.5</sub> (80.28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ตามลำดับ จากแบบจำลองที่พบบริเวณพื้นที่ด้านทิศใต้ของเขตปทุมวัน มีค่าใกล้เคียงกับค่าตรวจวัดสูงสุดบริเวณสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ใกล้ที่สุด (82 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และมีค่าสัดส่วนของฝุ่นละออง PM<sub>2.5</sub>:PM<sub>10</sub> เท่ากับ 0.96 แสดงว่าฝุ่นจากยานพาหนะทั้งสองชนิดเป็นฝุ่น PM<sub>2.5</sub> เป็นส่วนใหญ่ โดยแบบจำลอง AERMOD สามารถนำมาประเมินการปลดปล่อย PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5</sub> จากแหล่งกำเนิดยานพาหนะได้ใกล้เคียงกับข้อมูลการตรวจวัดในพื้นที่จริง และยังช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับสัดส่วนของ PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5</sub> จากยานพาหนะสอดคล้องกับการตรวจวัดจริงในช่วงที่ตรวจนับจำนวนวันที่ฝุ่นละอองมีค่าสูงเกินมาตรฐานในบรรยากาศเพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนจัดการคุณภาพอากาศได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/273474 ความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนจากการรับสัมผัสฝุ่นละอองภายในอาคารเขตเมือง จังหวัดขอนแก่น 2024-09-17T06:36:49+07:00 ภานุวัฒน์ ศรีโยธา phanuwat@scphkk.ac.th ณัฏฐนิชา แซ่เตี๋ย natthanicha080moovin@gmail.com ประณิดา คำย้อม toey0940459984@gmail.com <p>ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองภายในอาคารที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชนทุกกลุ่มวัย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการสัมผัสฝุ่นละอองภายในอาคารจากการอยู่อาศัยอยู่ภายในบ้านเป็นระยะเวลายาวนาน การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปริมาณฝุ่นละอองรวมและฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนภายในอาคารเขตเมือง จังหวัดขอนแก่น และประเมินความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนจากการรับสัมผัสต่อฝุ่นละออง ซึ่งศึกษาปริมาณฝุ่นละอองภายในอาคารที่พักอาศัยจำนวน 2 หลัง โดยใช้วิธีการตรวจวัดฝุ่นละอองชนิดอ่านค่าทันที และวิธีการตรวจวัดฝุ่นละอองจากการชั่งน้ำหนัก ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุดและค่าต่ำสุด สถิติเชิงอนุมาน One sample t-test เพื่อเปรียบเทียบปริมาณฝุ่นละอองกับค่ามาตรฐานกำหนด</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณฝุ่นละอองรวมจากอาคารที่พักอาศัย หลังที่ 1 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 65.10 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (S.D. = 14.21) ซึ่งไม่เกินค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองรวมภายนอกอาคารตามกรมควบคุมมลพิษ ภายในค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เท่ากับ 330 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน และมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 28.02 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (S.D. = 3.02) ซึ่งเกินค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ภายใน 24 ชั่วโมงที่กำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในขณะที่อาคารที่พักอาศัยหลังที่ 2 ปริมาณฝุ่นละอองรวม มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 74.40 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (S.D. = 20.09) และปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 18.42 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (S.D. = 6.58) ทั้ง 2 ค่าไม่เกินค่ามาตรฐานกำหนด นอกจากนี้ยังพบว่าประชาชนทุกกลุ่มวัยจากทั้ง 2 หลัง มีความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้สร้างความตระหนักรู้ในการป้องกันตนเองและแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรการลดปริมาณฝุ่นละอองได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/276367 คุณลักษณะของฟูมโลหะจากการเก็บตัวอย่างฝุ่นรวม และฝุ่นขนาดเล็กขณะปฏิบัติงานเชื่อมอาร์กโลหะ ด้วยท่าราบ 2025-02-21T15:21:58+07:00 พงศกร คัมภีระ phongsakornkumpeera@gmail.com กฤษดา เพ็งอารีย์ kritsada.p@ubu.ac.th พรทิพย์ เย็นใจ pornthip.yj@sut.ac.th พงษ์สิทธิ์ บุญรักษา pongsitb@sut.ac.th <p>การเชื่อมโลหะถูกใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและงานซ่อมโลหะทั่วไป การรับสัมผัสฟูมจากการเชื่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเข้มข้นของฟูมโลหะและสัณฐานวิทยาของฟูมจากการเชื่อมที่ช่างเชื่อมได้รับสัมผัสจากการเชื่อมอาร์กโลหะด้วยท่าราบในสถานีงาน โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นช่างเชื่อมเพศชาย จำนวน 4 คน ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานกลุ่มช่างอุตสาหกรรมระดับที่ 1 มีประสบการณ์ทำงานเฉลี่ยเท่ากับ 17.33 ± 11.37 ปี รูปแบบการทดลองเป็นการเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์บนชิ้นงานเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ SS400 แบบรอยต่อชนบากหน้างานและเชื่อมพอก ช่างเชื่อมจะถูกติดอุปกรณ์เก็บตัวอย่างฝุ่นรวม (NIOSH#0500) และฝุ่นขนาดเล็ก (NIOSH#0600) ที่ระดับหายใจ เพื่อวิเคราะห์ฟูมโลหะ 8 ธาตุ ได้แก่ Ag, Cd, Cr, Cu, Fe, Ni, Mn และ Zn ด้วยเครื่อง ICP-MS นอกจากนั้นทำการเก็บฟูมโลหะด้วยกระดาษกรองชนิดนิวคลีโอพอร์เมมเบรน เพื่อวิเคราะห์สัณฐานวิทยา ได้แก่ รูปร่าง ขนาดอนุภาค และองค์ประกอบของธาตุด้วยเครื่อง FESEM-EDX ผลการศึกษาพบว่า ความเข้มข้นรวมของฟูมโลหะทั้ง 8 ธาตุ จากการเก็บตัวอย่างฝุ่นรวมและฝุ่นขนาดเล็กมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.12 ± 0.37 และ 0.51 ± 0.78 mg/m<sup>3</sup> ตามลำดับ ฟูมโลหะที่พบมากที่สุดในฝุ่นรวม ได้แก่ Fe (0.98 mg/m<sup>3</sup>), Mn (0.10 mg/m<sup>3</sup>) และ Zn (0.02 mg/m<sup>3</sup>) โดยความเข้มข้นดังกล่าวมีค่าสูงกว่าฟูมโลหะในฝุ่นขนาดเล็ก คิดเป็น 2.27, 1.66 และ 2.41 เท่า ตามลำดับ รูปร่างของฟูมโลหะที่พบมีลักษณะเป็นการเกาะกลุ่มรวมตัวเป็นสายของอนุภาคขนาดเล็กมากและอนุภาคระดับนาโนเมตร โดยองค์ประกอบของธาตุส่วนใหญ่ คือ C, O และ Fe รวมทั้งยังพบธาตุโลหะปริมาณน้อย (Trace element) หลายชนิด เช่น Mn และ Si</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/273577 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกร ผู้ปลูกมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา 2024-10-22T13:21:15+07:00 ณัฐวุฒิ กกกระโทก nattawut.numchok@gmail.com อรรถวิทย์ สิงห์ศาลาแสง atthawit.s@kkumail.com พุฒิพงศ์ สัตยวงศ์ทิพย์ bhud2013@yahoo.com <p>ในปัจจุบันสถานะสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังอยู่ในระดับที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคพิษจากสารเคมีทางการเกษตร การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา ใช้รูปแบบการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (cross-sectional analytical study) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 448 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความรอบรู้ทางด้านสุขภาพและแบบประเมินความเสี่ยงในการทำงานของเกษตรกรจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ (Multiple logistic regression)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีภาพรวมความรอบรู้ทางด้านสุขภาพเกี่ยวกับการใช้สารสารเคมีทางการเกษตรอยู่ในระดับก้ำกึ่ง ร้อยละ 55.13 ส่วนความเสี่ยงในการทำงานของเกษตรกรจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 39.29 และระดับยอมรับได้ ร้อยละ 62.95 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p &lt; 0.05 ประกอบด้วย เพศ ระดับการศึกษาสูงสุด ประวัติการเจ็บป่วยจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร การเคยได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมีทางการเกษตร และภาพรวมความรอบรู้ทางด้านสุขภาพเกี่ยวกับการใช้สารสารเคมีทางการเกษตร</p> <p>จากผลการศึกษา สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาความเสี่ยงด้านสุขภาพของเกษตรกรเกี่ยวกับการใช้สารสารเคมีทางการเกษตรได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/274084 ความสัมพันธ์ระหว่างความล้าสายตาและการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของผู้ประกอบอาชีพทอผ้า ในเขตอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 2024-12-09T13:58:40+07:00 ขวัญแข หนุนภักดี khwankhae.ks@gmail.com วัชราภรณ์ วงศ์สกุลกาญจน์ watcharaporn@vru.ac.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความล้าสายตาและการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของผู้ประกอบอาชีพทอผ้า ในเขตอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถาม เครื่องวัดความล้าสายตา (Flicker Fusion) เพื่อเก็บข้อมูลความล้าสายตาทั้ง 2 รูปแบบ ได้แก่ ความล้าทางสายตาเชิงจิตพิสัยและวัตถุวิสัย และแบบประเมิน Body Discomfort วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าไคสแควร์ (Chi-Square) ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบอาชีพทอผ้ามีความล้าสายตาเชิงจิตพิสัย ร้อยละ 43.1 และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยละ 62.1 จากการวัดความล้าเชิงวัตถุวิสัย ความชุกของอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อในช่วงระยะเวลา 7 วัน ก่อนการศึกษาของผู้ประกอบอาชีพทอผ้า มีอาการปวดเมื่อยจำนวน 39 คน (ร้อยละ 67.2) ส่วนใหญ่มีอาการที่บริเวณหลังส่วนบน (ร้อยละ 67.2) ไหล่ขวา (ร้อยละ 56.9) หลังส่วนล่างและไหล่ซ้าย (ร้อยละ 53.4) ตามลำดับ เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ พบว่า ประสบการณ์การทำงาน การพักเบรกระหว่างวัน ระยะเวลานั่งทำงานต่อเนื่อง และปริมาณงานมีผลต่อความล้าสายตา นอกจากนี้ความล้าสายตาเชิงวัตถุวิสัยยังมีความสัมพันธ์ต่อการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของผู้ประกอบอาชีพทอผ้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.00) โดยผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ความล้าทางสายตาและอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นความล้าทางร่างกายมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและส่งผลต่อกัน การดูแลสุขภาพทั้งทางสายตาและร่างกาย รวมถึงการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานจึงมีความสำคัญในการป้องกันปัญหาดังกล่าวได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/275641 ความสัมพันธ์ของปัจจัยการทำงานและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 กับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ในช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2025-04-17T09:59:16+07:00 สงกรานต์ ตรีโอสถ mossdoctornoiiz@gmail.com ปาจรีย์ กุณฑลบุตร pajaree.kon@mahidol.ac.th พรพิมล กองทิพย์ pornpimol.kon@mahidol.ac.th สุคนธา ศิริ sukhontha.sir@mahidol.ac.th ณิชชา กัลยาณธรรม nichcha.kal@mahidol.ac.th <p>การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความเครียดของบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องรับ ภาระงานเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและจิตใจของบุคลากรทางการแพทย์ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางโดยใช้แบบสอบถาม DASS-21 ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในช่วงการระบาดของโควิด19 จำนวน 245 คน </p> <p>ผลการวิจัยพบความชุกของภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความเครียดในบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 อยู่ที่ 29.4%, 37.6% และ 16.7% ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่าภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) กับแผนกที่ทำงาน การสัมผัสกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน ที่พักอาศัยที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ความกังวลในการแพร่เชื้อจากที่ทำงานสู่บ้าน และสังคมรังเกียจ ในขณะที่ความวิตกกังวลมีความสัมพันธ์ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) กับแผนกที่ทำงาน ชั่วโมงการทำงาน ความเสี่ยงจากการทำงานต่อการติดเชื้อโรคโควิด 19 ประวัติการติดเชื้อโรคโควิด 19 ที่พักอาศัยที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และสังคมรังเกียจ ในด้านความเครียดมีความสัมพันธ์ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) กับชั่วโมงการทำงาน การสัมผัสกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน ความเสี่ยงจากการทำงานต่อการติดเชื้อโรคโควิด 19 ที่อยู่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และสังคมรังเกียจ</p> <p>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบสนับสนุนทางสุขภาพจิตสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่ทำงานในแผนกที่มีการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง หรือผู้ที่มีชั่วโมงการทำงานยาวนาน นอกจากนี้ควรมีการดำเนินมาตรการเพื่อลดการรังเกียจทางสังคม รวมถึงการจัดหาที่พักที่ปลอดภัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงสูง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและให้การสนับสนุนทางจิตสังคมแก่บุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขในช่วงวิกฤตการณ์การระบาดของโรคติดต่อ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/274600 ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติการรับรู้ข้อมูลข่าวสารกับพฤติกรรมการจัดการขยะพลาสติกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี 2025-01-14T11:58:52+07:00 มัฐฐิตา บุญหล้า mutthita.bl@gmail.com สุรเดช สำราญจิตต์ suradejsam@yahoo.com <p>การศึกษานี้เป็นวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ระดับเจตคติการจัดการขยะพลาสติก การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และพฤติกรรมการจัดการขยะพลาสติกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติการจัดการขยะพลาสติก การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร กับพฤติกรรมการจัดการขยะพลาสติก ประชากรคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมืองสระบุรีทั้งหมด จำนวน 182 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา หาค่าคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าความสัมพันธ์โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เจตคติการจัดการขยะพลาสติก (= 3.76, SD = 0.67) การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร (= 3.86, SD = 0.63) และพฤติกรรมการจัดการขยะพลาสติกอยู่ในระดับสูง (= 3.67, SD = 0.59) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า เจตคติการจัดการขยะพลาสติก และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับพฤติกรรมการจัดการขยะพลาสติกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = 0.667, p &lt; 0.001, r = 0.614, p &lt; 0.001) ตามลำดับ ดังนั้นเทศบาลเมืองสระบุรีควรดำเนินกิจกรรมขยายผลไปยังประขาชนในพื้นที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการขยะพลาสติก โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นแกนนำ และเพิ่มนโยบายการบริหารงานด้านการจัดการขยะพลาสติกในพื้นที่</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/276595 คุณภาพชีวิตและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกหลังการรักษา โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี 2025-05-06T20:06:23+07:00 สายรุ้ง ประกอบจิตร sairungpra1234@gmail.com โสภิต ทับทิมหิน sopit.tubtimhin@gmail.com ชลิยา วามะลุน chaliya_w@yahoo.com <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกหลังการรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะเวลาหลังการรักษา 1-12 เดือน จำนวน 77 ราย เก็บข้อมูลระหว่าง เดือน มิถุนายน - ธันวาคม 2567 โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ปัจจัยทางคลินิก ปัจจัยทางจิตสังคม และแบบประเมินคุณภาพชีวิต EORTC QLQ-C30 และ EORTC QLQ-CX24 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่าคุณภาพชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=61.03, <em>SD</em>=18.94) โดยมีคะแนนด้านร่างกายสูงที่สุด (Mean =85.71, <em>SD</em> =19.15) และปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะของโรค (Beta=-0.23, <em>p</em>&lt;.001) ปัจจัยทางจิตสังคม (Beta=0.14, <em>p</em>=0.018) และอาการอ่อนล้า (Beta=-0.69, <em>p</em>&lt;.001) สามารถร่วมทำนายคุณภาพชีวิตได้ร้อยละ 80.5 ข้อเสนอแนะคือ ควรพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะลุกลาม เพิ่มการสนับสนุนทางสังคม และมีระบบจัดการอาการอ่อนล้าที่มีประสิทธิภาพ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/273826 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของพนักงานรักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของภาคเหนือ 2024-11-07T10:39:27+07:00 วนิสรา มหาวัฒนปรีชา 64221443@up.ac.th ศุภกานต์ เครืออ่อน 64221689@up.ac.th ธันยนันท์ คำแปง 64225908@up.ac.th รัมภา ใหม่เบี้ยว 64226314@up.ac.th ลักษิกานต์ กันธะคำ 64226325@up.ac.th อนัญญา พรายวาส 64226628@up.ac.th อมเรศ เผยพร 64226651@up.ac.th มณุเชษฐ์ มะโนธรรม manuchetoccmed@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของพนักงานรักษาความปลอดภัย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของพนักงานรักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่มีอายุระหว่าง 15-59 ปี จำนวน 120 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือเก็บตัวอย่างคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติทดสอบไคสแควร์และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่มีความรู้ในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 45.8) มีทัศนคติในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 63.3) และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 71.7) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของพนักงานรักษาความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศ (𝑥² = 5.410, df = 1, p = 0.020) สถานภาพสมรส (𝑥² = 4.628, df = 1, p = 0.031) การสูบบุหรี่ (𝑥² = 5.122, df = 1, p = 0.024) การดื่มแอลกอฮอล์ (𝑥² = 7.051, df = 1, p = 0.008) และการดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง (𝑥² = 5.094, df = 1, p = 0.024) ตลอดจนคะแนนความรู้และทัศนคติในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อคะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของพนักงานรักษาความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub> = 0.559, p &lt; 0.001; r<sub>s</sub> = 0.403, p &lt; 0.001) ตามลำดับ</p> <p>ดังนั้นควรมีการอบรมเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและแนวทางป้องกัน โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องการควบคุมอาหาร การลดปัจจัยเสี่ยง เช่น งดสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/275237 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารของผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง 2024-12-13T13:47:03+07:00 ชนัญญา พานิคม chananya.pa@kkumail.com สุนิสา ชายเกลี้ยง csunis@kku.ac.th <p>การศึกษาในครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จำนวน 159 คน โดยใช้แบบสอบถาม และเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ ได้แก่ TSI Q-Trak 7575 สำหรับวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนอกไซด์, TSI VelociCalc 9565-P สำหรับวัดความเร็วลม และ TSI DustTrak DRX Aerosol Monitor สำหรับวัด PM<sub>2.5</sub> และ PM<sub>10</sub> เพื่อวิเคราะห์ และประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และการทดสอบหาความสัมพันธ์ของตัวแปรใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Multiple logistic regression ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 30-49 ปี และมีระดับการศึกษาปริญญาตรี โดยทำงานในกลุ่มงานพยาบาล ความชุกของกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารอยู่ที่ร้อยละ 45.28 โดยมีอาการทางระบบประสาทมากที่สุด (ร้อยละ 35.85) ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในอาคาร 11 พื้นที่ พบว่า มี 4 พารามิเตอร์ ที่ไม่ผ่านค่ามาตรฐาน ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นสัมพันธ์ อนุภาคขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน และอนุภาคขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการป่วยเหตุอาคารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) ได้แก่ เพศหญิง (p = 0.040) ระดับการศึกษา (p = 0.048) การทำงานล่วงเวลา (p = 0.005) ความรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในห้องทำงาน/อยู่ในอาคาร (p &lt; 0.001) ประวัติมีอาการหรือมีโรคประจำตัว (p = 0.034) และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5</sub> (p = 0.040) โดยผู้ที่ปฏิบัติงานในอาคารที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องเหล่านี้ จะมีโอกาสเกิดกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารมากกว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัย ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าไม่เพียงแต่ปัจจัยส่วนบุคคลและลักษณะงาน แต่มีด้านสภาพแวดล้อมอาคารที่อาจส่งผลต่ออาการป่วยเหตุอาคารของผู้ปฏิบัติงานได้ ดังนั้นควรเฝ้าระวังและปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารอยู่เป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ปฏิบัติงานและผู้มาใช้บริการในโรงพยาบาล</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JSH/article/view/270580 พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง: กรณีศึกษาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านน้ำโค้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ 2024-08-07T11:33:35+07:00 กัลยาณี โนอินทร์ kanlayanee_n@yahoo.com ฉลาด แย้มรับบุญ chalad2010@hotmail.com <p>การศึกษาเชิงพรรณนานี้ เพื่อศึกษาพฤติกรรมและระดับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงใน 4 ด้าน ได้แก่ การบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการอารมณ์ และการใช้ยา กลุ่มตัวอย่างมี 2 กลุ่ม คือ ผู้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณจำนวน 57 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีหยิบฉลากแบบไม่คืน และผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพจำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผ่านการตรวจความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 - 1.00 และหาค่าความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค ได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงโดยรวมเท่ากับ 0.78 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 64.96 ปี เพศหญิงร้อยละ 59.6 สถานภาพสมรสคู่ร้อยละ 66.1 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 50.0 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 3,341.11 ± 3,644.44 บาท มีโรคร่วมร้อยละ 69.1 พฤติกรรมสุขภาพที่ปฏิบัติเป็นประจำมากที่สุด ได้แก่ รับประทานอาหารที่ตนเองหรือบุคคลในครอบครัวเป็นผู้ทำร้อยละ 61.4 ออกกำลังกาย 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ร้อยละ 31.6 เรียงลำดับความสำคัญของงานหรือสิ่งที่ต้องทำร้อยละ 54.6 และรับประทานยาตรงตามเวลาที่แพทย์สั่งร้อยละ 94.7 พฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ได้ปฏิบัติมากที่สุด ได้แก่ สูบบุหรี่ร้อยละ 96.2 สังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างออกกำลังกายร้อยละ 58.2 ใช้หลักคำสอนทางศาสนาในการลดความเครียดร้อยละ 28.1 และปรับขนาดยาด้วยตัวเองร้อยละ 89.1 ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมระดับปานกลาง ด้านการจัดการอารมณ์และการใช้ยาระดับดี ด้านการบริโภคอาหารระดับปานกลาง และด้านการออกกำลังกายระดับควรปรับปรุง แม้ว่าพฤติกรรมการใช้ยาอยู่ระดับดี แต่การศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ผู้ป่วยบางคนซื้อยาจากโฆษณาออนไลน์ ลืมรับประทานยาหลังอาหาร รับประทานยาไม่ถูกต้องตามเวลาที่กำหนด และจัดยาผิด ข้อเสนอแนะ ควรจัดโครงการส่งเสริมทักษะการใช้ยา การบริโภคอาหารเฉพาะโรค และการออกกำลังกายที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ