วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR <p>วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ ผลงานค้นคว้าและวิจัย และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อคิดเห็น และข่าวสาร ทางด้านสาธารณสุขศาสตร์ การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค</p> en-US <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องบทความในวารสารวิชาการและวิจัยเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยนเรศวร และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ ความรับผิดชอบเกี่ยวกับบทความแต่ละเรื่องผู้เขียนจะรับผิดชอบของตนเองแต่ละท่าน</p> jphnu@nu.ac.th (Associate Professor Dr.Orawan Keeratisiroj) phatsaveeo@nu.ac.th (Phatsavee Ongruk) Fri, 29 Aug 2025 15:21:54 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ฉบับเต็ม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281988 วารสารวิจัยสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281988 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 บรรณาธิการแถลง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281989 รศ.ดร.อรวรรณ กีรติสิโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281989 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการแผนภูมิต้นไม้แห่งความล้มเหลวและกระบวนการวิเคราะห์ เชิงลำดับชั้นสำหรับการประเมินความเสี่ยงแบบน่าจะเป็นต่อการติดเชื้อทางอากาศ จากระบบความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศภายในห้องผ่าตัด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/273372 <p> การติดเชื้อทางอากาศในห้องผ่าตัดเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มระยะเวลาการรักษา ระบบความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อทางอากาศ อย่างไรก็ตาม การทำงานที่บกพร่องของระบบความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อทางอากาศ ดังนั้นงานวิจัยนี้ประยุกต์เทคนิคการวิเคราะห์แผนภูมิต้นไม้แห่งความล้มเหลว และกระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น (AHP) เพื่อประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อทางอากาศในห้องผ่าตัดโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ต้นไม้แห่งความล้มเหลว (FTA) ในการระบุสาเหตุของความล้มเหลวในระบบ HVAC และใช้เทคนิค AHP ในการคำนวณค่าน้ำหนักความสำคัญ (มาตรลำดับ 1-9) ของแต่ละสาเหตุ<br /> ผลการวิจัยพบว่า ปริมาณลม มีโอกาสบกพร่อง ร้อยละ 99.4 โดยมีสาเหตุความน่าจะเป็นจากพัดลมของเครื่องปรับอากาศบกพร่อง ร้อยละ 67.4 ระบบท่อลมบกพร่อง ร้อยละ 73.8 แผ่นกรองอากาศบกพร่องร้อยละ 75.8 คอยล์เย็นบกพร่อง ร้อยละ 80.4 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางอากาศในห้องผ่าตัด ดังนั้นการตรวจสอบและทดสอบประสิทธิภาพของระบบ HVAC อย่างสม่ำเสมอตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (NEBB) จึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะการทดสอบปริมาณลม การรั่วซึมของแผ่นกรองอากาศ HEPA แรงดันอากาศปริมาณฝุ่น การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ สรุปได้ว่า การบูรณาการเทคนิค FTA และ AHP สามารถใช้ประเมินความเสี่ยงของการติดเชื้อทางอากาศในห้องผ่าตัดได้ และช่วยเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยในห้องผ่าตัด</p> ณัทธนกฤต ทองดอนหัน, อารุญ เกตุสาคร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/273372 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคอ้วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/274218 <p> การวิจัยแบบผสมผสานครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อบ่งชี้ปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคอ้วนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) เพื่อพัฒนารูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพ 3) เพื่อประเมินรูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบ่งเป็น 3 ระยะ 1) ปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคอ้วนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้สูตรของเครซี่และมอร์แกน จำนวน 214 คน 2) พัฒนารูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกโดยแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวน 5 คน ครู จำนวน 5 คน อาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน 10 คน และผู้ปกครอง จำนวน 10 คน และ 3) การประเมินรูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพฯ จำนวน 214 คน (จากกลุ่มตัวอย่างระยะที่ 1) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และ Paired t-test <br /> ผลการศึกษา พบว่า อายุ ฐานะรายได้ของครอบครัว และค่าดัชนีมวลกาย มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคอ้วนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคอ้วน คือ KAPW Model ประกอบด้วย ให้ความรู้ K: Knowledge กระตุ้น A: Activate ปฏิบัติ P: Practice และบอกต่อ W: Word of mouth หลังใช้รูปแบบฯ คะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคอ้วนหลังทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ เพื่อการป้องกันโรคอ้วนและมีพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น ไม่มีภาวะอ้วนในอนาคต</p> ธิติรัตน์ ราศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/274218 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมี กำจัดศัตรูพืชในเกษตรกรปลูกแตงโม ตำบลคำแก้ว อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276768 <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ ศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรปลูกแตงโม ตำบลคำแก้ว อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรปลูกแตงโม จำนวน 213 คน คัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 3 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 วิเคราะห์หาความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค ประกอบด้วยความรอบรู้ด้านสุขภาพเท่ากับ 0.760 พฤติกรรมการป้องกันสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเท่ากับ 0.765 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบการถดถอยทีละขั้นตอนกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05<br /> ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรมีพฤติกรรมป้องกันสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ระดับสูง (Mean = 40.8, S.D. = 0.37) มีความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับปานกลาง (Mean = 139.56, S.D. = 0.96) การพยากรณ์โดยพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย พบว่า ตัวแปรพยากรณ์ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ ได้แก่ การรู้เท่าทันสื่อ (Beta = 0.268, p-value &lt; 0.001) และการจัดการตนเอง (Beta = 0.245, p-value &lt; 0.001) มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 งานวิจัยนี้ เสนอแนะให้จัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ และการจัดการตนเอง เพื่อให้เกิดพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่เหมาะสมเพิ่มมากขึ้น</p> ทิวาภรณ์ ค่อมบุสดี, หนึ่งบุรุษ ค่อมบุสดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276768 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปริมาณการรับสัมผัสฝุ่นละออง (PM10) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276116 <p> การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณการรับสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM<sub>10</sub>) ปริมาณการรับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) และเปรียบเทียบปริมาณการรับสัมผัส PM<sub>10</sub> กับปริมาณการรับสัมผัส VOCs บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี สำรวจและตรวจวัดปริมาณ PM<sub>10</sub> และ VOCs จำนวน 2 สถานี คือ สถานีรถสองแถวและสถานีรถตู้โดยสาร เก็บตัวอย่างละ 3 จุด ได้แก่ บริเวณจุดจอดรถของพนักงานขับรถ บริเวณจุดขายตั๋ว และที่นั่งรอของผู้โดยสาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบปริมาณการรับสัมผัส PM<sub>10</sub> และ VOCs บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารด้วยสถิติ t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณความเข้มข้นของ PM10 บริเวณจุดขายตั๋วในสถานีรถสองแถวสูงสุด (0.14 ± 0.04 mg/m<sup>3</sup>) และบริเวณจุดจอดรถของพนักงานขับรถในสถานีรถตู้โดยสารสูงสุด (1.65 ± 0.61 mg/m<sup>3</sup>) ปริมาณความเข้มข้นของ VOCs บริเวณจุดจอดรถของพนักงานขับรถในสถานีรถสองแถว และสถานีรถตู้โดยสารสูงสุด (794.34 ± 0.14 μg/m3 และ 798.84 ± 0.05 μg/m<sup>3</sup>) มีระดับความเสี่ยงสูง เมื่อเปรียบเทียบปริมาณ PM<sub>10</sub> บริเวณจุดจอดรถของพนักงานขับรถ และบริเวณจุดขายตั๋ว ในสถานีรถตู้โดยสารสูงกว่าสถานีรถสองแถว (p-value &lt; 0.001 และ p-value = 0.021) ส่วนปริมาณ VOCs บริเวณจุดจอดรถของพนักงานขับรถ ในสถานีรถตู้โดยสารสูงกว่าสถานีรถสองแถวเล็กน้อย (p-value = 0.340) ดังนั้นควรจัดอบรมให้ความรู้กับพนักงานเกี่ยวกับอันตรายของ PM<sub>10</sub> VOCs และโรคจากการประกอบอาชีพ รวมทั้งการป้องกันและตระหนักถึงอันตรายจากการรับสัมผัสสารดังกล่าว</p> ลักษณาทิตย์ พิงคารักษ์, รัชกร ฮ่งกุล, ทัศนพรรณ เวชศาสตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276116 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพของประชากร ก่อนวัยสูงอายุ ในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/273754 <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพ และปัจจัยที่มีผลต่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพของประชากรก่อนวัยสูงอายุ ในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่มีอายุ 45-59 ปี จำนวน 380 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพของประชากรก่อนวัยสูงอายุในระดับปานกลางด้านที่มีการเตรียมความพร้อมมากที่สุด ได้แก่ ด้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพของประชากรก่อนวัยสูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม (β = 0.303, p-value &lt; 0.001) การศึกษาระดับประถมศึกษา (β = -0.280, p-value &lt; 0.001) รายได้ (β = 0.267, p-value &lt; 0.001) การรับรู้เกี่ยวกับการเข้าวัยสูงอายุ (β = 0.195, p-value &lt; 0.001) เพศหญิง (β = 0.135, p-value &lt; 0.001) การไม่มีหนี้สิน (β = 0.122, p-value &lt; 0.001) และทัศนคติต่อการเตรียมความพร้อมการเป็นผู้สูงอายุ (β = 0.102, p-value = 0.007) สามารถร่วมกันทำนายการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพของประชากรก่อนวัยสูงอายุได้ ร้อยละ 63.3 การศึกษานี้มีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคส่วนสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ควรจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ในการเตรียมกลุ่มวัยก่อนสูงอายุ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงวัย ภายในองค์กรหรือชุมชน เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสังคมสูงวัยให้ครอบคลุมทุกมิติ ให้เป็นต้นแบบเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม</p> ปราชญา เสมอเหมือน, อาทิตยา วังวนสินธ์ุ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/273754 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความชุกของเชื้อ Acinetobacter baumannii complex ที่ดื้อต่อยาคาร์บาพีเนมในโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/275382 <p> <em>Acinetobacter baumannii complex</em> เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อในโรงพยาบาลมักดื้อต่อยาต้านจุลชีพหลายขนาน โดยเฉพาะยากลุ่มคาร์บาพีเนม ซึ่งกลไกการดื้อยาที่พบมากที่สุด คือ เชื้อสร้างเอนไซม์คาร์บาพีนีเมสมาทำลายยา งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของเชื้อ <em>A. baumannii complex </em>ที่ดื้อต่อยาคาร์บาพีเนมด้วยวิธี Disk diffusion และตรวจหาการสร้างเอนไซม์คาร์บาพีนีเมสด้วยวิธี CarbAcineto NP ในเชื้อที่แยกได้จากผู้ป่วยของโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตากในปี พ.ศ. 2566<br /> ผลการศึกษาพบว่าความชุกของเชื้อ <em>A. baumannii complex</em> ที่ดื้อต่อยาคาร์บาพีเนม คิดเป็นร้อยละ 78.6 (180/229) โดยพบเป็นเชื้อที่แยกได้จากหอผู้ป่วยอายุรกรรมสูงที่สุด รองลงมา คือ หอผู้ป่วยศัลยกรรมและหอผู้ป่วยไอซียู คิดเป็น ร้อยละ 43.9 (79/180) 27.8 (50/180) และ 20.0 (36/180) ตามลำดับโดยสิ่งส่งตรวจที่พบมากที่สุดคือ เสมหะ รองลงมาคือ หนอง และปัสสาวะ คิดเป็นร้อยละ 66.1 (119/180) 13.3 (24/180) และ 11.7 (21/180) ตามลำดับ โดยเชื้อ <em>A. baumannii complex</em> ที่ดื้อต่อยาคาร์บาพีเนม ส่วนใหญ่ยังมีความไวต่อยา Tigecycline คิดเป็นร้อยละ 92.2 (166/180) เมื่อนำเชื้อมาตรวจหาเอนไซม์คาร์บาพีนีเมส พบว่าให้ผลบวกคิดเป็นร้อยละ 64.6 (113/175) ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับแพทย์ในการรักษาผู้ป่วย รวมถึงการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อดื้อยาของโรงพยาบาลแม่สอด</p> อรไพลิน ล้วนไพรินทร์, ศิริลักษณ์ ธีระภูธร, วัชนันท์ วงศ์เสนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/275382 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุ จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/274936 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในจังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 370 คน เก็บข้อมูลในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2565 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามคุณลักษณะส่วนบุคคล การสนับสนุนทางสังคม ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุลักษณะการจัดบริการสุขภาพและพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.75 0.89 0.88 และ 0.74 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุจังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 3.39, S.D. = 0.76) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุจังหวัดอุตรดิตถ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (β = 0.637, p-value &lt; 0.001) ด้านการให้บริการ (β = 0.119, p-value &lt; 0.001) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (β = 0.118, p-value &lt; 0.001) ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ (β = 0.090, p-value = 0.005) การสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว (β = 0.088, p-value = 0.001) โดยสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการเข้าใช้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุ จังหวัดอุตรดิตถ์ได้ร้อยละ 81.9</p> ปิยนารถ ยะมะโน, ศิวิไลซ์ วนรัตน์วิจิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/274936 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของเว็บแอปพลิเคชันในการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง ด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276004 <p> วัตถุประสงค์การวิจัย ได้แก่ 1) เพื่อพัฒนาเครื่องมือการชี้บ่งอันตรายด้วยแบบตรวจ 2) เพื่อศึกษาความสอดคล้องระหว่างกลุ่มผู้ประกอบอาชีพกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3) เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันในการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง 4) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ระยะ คือ 1) การพัฒนาเครื่องมือการชี้บ่งอันตรายด้วยแบบตรวจ ประเมินประสิทธิผลโดยการทดสอบความสอดคล้อง การใช้เครื่องมือแบบตรวจระหว่างกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ จำนวน 27 คน กับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3 คน และ 2) การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน ดำเนินการประเมินประสิทธิผลของการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน โดยการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน<br /> ผลการศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) การพัฒนาเครื่องมือการชี้บ่งอันตรายด้วยแบบตรวจ พบว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเป็นเพศชาย จำนวน 3 คน อายุการทำงานเฉลี่ย 21.76 ± 2.89 ปี การศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 55.6) อายุเฉลี่ย 41.96 ± 12.20 ปี ผลการประเมินความสอดคล้องในการชี้บ่งอันตรายด้วยแบบตรวจ 50 ข้อ พบว่า ข้อที่ตอบว่า "ไม่ใช่" ตรงกันมากกว่าร้อยละ 50 รวม 5 ข้อ คือ (p-value &lt; 0.05) จำนวน 3 ข้อ และ (p-value ≥ 0.05) จำนวน 2 ข้อ และ 2) การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน พบว่า เป็นไปตามการคิดเชิงออกแบบ ผลการประเมินความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับ "มาก" ดังนั้นแบบตรวจและเว็บแอปพลิเคชันในการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยงสามารถนำไปใช้ในด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ได้</p> สุรพล โคตรอาษา, ปวีณา มีประดิษฐ์, วัลลภ ใจดี, ธนัญชัย บุญหนัก, อนามัย เทศกะทึก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276004 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมสื่อสารสุขภาพผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่อการส่งเสริมความรอบรู้ ด้านโภชนาการในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จังหวัดนครปฐม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/277750 <p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมสื่อสารสุขภาพผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่อการส่งเสริมความรอบรู้ด้านโภชนาการในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 47 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 24 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 23 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสื่อสารสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันไลน์โดยประยุกต์ใช้แนวคิดความรอบรู้ด้านโภชนาการกลุ่มเปรียบเทียบเรียนในชั่วโมงสุขศึกษาตามปกติ ดำเนินการศึกษาเป็นเวลา 10 สัปดาห์ เก็บข้อมูลการยอมรับกิจกรรม และความรอบรู้ด้านโภชนาการโดยใช้แบบสอบถามชนิดตอบด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Chi-square test, Paired Sample t-test และ Independent t-test ทดสอบการเปลี่ยนแปลงจากผลของโปรแกรม โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และการวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ<br /> ผลการประเมิน พบว่า กลุ่มทดลองส่วนใหญ่มีการยอมรับกิจกรรมในระดับสูง (ร้อยละ 70.8) เมื่อพิจารณาในรายด้าน ได้แก่ ความน่าสนใจ เนื้อหา ประโยชน์ที่ได้รับ และความเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย พบว่าทุกด้านคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.33-4.56) ภายหลังการทดลอง พบว่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านโภชนาการของกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) และภายหลังการทดลองคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านโภชนาการของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าครูผู้สอนวิชาสุขศึกษาสามารถนำโปรแกรมสื่อสารสุขภาพไปใช้ในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านโภชนาการไปใช้เสริมการเรียนในห้องเรียน อย่างไรก็ตาม ยังต้องปรับปรุงรูปแบบกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> ชาญวุฒิ สว่างศรี, ชิราวุธ ปุญณวิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/277750 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การแพร่กระจายของ Staphylococcus aureus ในอาหาร มือ และโทรศัพท์มือถือ ของผู้สัมผัสอาหารในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/273735 <p> การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้โทรศัพท์มือถือและการกระจายตัวของสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ในอาหาร มือ และโทรศัพท์มือถือของผู้สัมผัสอาหาร โดยเก็บตัวอย่างอาหาร สวอป (Swap) มือ และโทรศัพท์มือถือของผู้สัมผัสอาหารภายในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย จำนวน 51 ร้าน เพื่อคัดแยกเชื้อด้วย<br />วิธีทั่วไป ยืนยันผลด้วยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) รวมถึงสัมภาษณ์การใช้โทรศัพท์มือถือและสุขอนามัยส่วนบุคคลของผู้ประกอบอาหาร<br /> จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 153 ตัวอย่าง สามารถคัดแยก S. aureus ได้ทั้งหมด 34 ไอโซเลท (ร้อยละ 22.2) โดยพบในอาหาร 7 ไอโซเลท มือ 16 ไอโซเลท และโทรศัพท์มือถือ 11 ไอโซเลท พบการปนเปื้อนในร้านอาหารพร้อมทานมากที่สุด (ร้อยละ 90.5) ตามด้วยร้านอาหารจานด่วน (ร้อยละ 56.3) และร้านอาหารอื่นๆ (ร้อยละ 42.9) พบการกระจายตัวของ S. aureus ในตัวอย่างที่มาจากร้านอาหารเดียวกัน จำนวน 3 ร้าน ได้แก่ มือร่วมกับโทรศัพท์มือถือมือร่วมกับอาหาร และโทรศัพท์มือถือร่วมกับอาหาร ผู้สัมผัสอาหารส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์ประเภทจอสัมผัสหรือสมาร์ตโฟน (ร้อยละ 98.0) วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะประกอบอาหาร (ร้อยละ 32) ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ (ร้อยละ 90.2) ล้างมือก่อนสัมผัสอาหาร (ร้อยละ 96.1) และสวมถุงมือทุกครั้งเวลาสัมผัสอาหาร(ร้อยละ 78.4) การศึกษาครั้งนี้ แสดงถึงการกระจายของ S. aureus ในอาหาร มือ และโทรศัพทม์ ือถือของผูสั้มผัสอาหารชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อก่อโรค โดยสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางเฝ้าระวังการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ก่อโรคที่มากับอาหาร ทั้งนี้ควรศึกษารหัสพันธุกรรมของเชื้อด้วยเทคนิคทางชีวโมเลกุลเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ และระบุแหล่งที่มาของจุลินทรีย์เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวังโรคที่มีอาหารเป็นสื่อต่อไป</p> ณัฐวิภา สิทธิ์ทะนง, ญาดา ทองรัตน์, พชรรัชต์ อยู่เกตุ, อาทิตยา บุญเจาะ, สิริรัตน์ สุขสารต์, กาญจนา ช้างแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/273735 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพื้นที่ชายแดนอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276157 <p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พื้นที่ชายแดนอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 192 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการศึกษาพบว่า บทบาทการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของ อสม. อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 76.0 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคมด้านการประเมินผล (Beta = 0.391, p-value &lt; 0.001) แรงสนับสนุนทางสังคมด้านข้อมูลข่าวสาร (Beta = 0.339, p-value &lt; 0.001) ปัจจัยค้ำจุนด้านชีวิตส่วนตัว (Beta = 0.190, p-value &lt; 0.001) ปัจจัยค้ำจุน ด้านความมั่นคงในการทำงาน (Beta = 0.153, p-value = 0.003) และปัจจัยค้ำจุนด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ (Beta = 0.079, p-value = 0.047) โดยร่วมกันพยากรณ์การปฏิบัติงานตามบทบาทของ อสม. ได้ร้อยละ 75.8 (Adjusted R<sup>2</sup> = 0.758) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการวิจัยดังกล่าว สามารถนำไปใช้วางแผนพัฒนารูปแบบเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานตามบทบาท อสม. ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสมรรถนะ อสม. ต่อไป</p> ทนงศักดิ์ แสงอ่อน, เสน่ห์ แสงเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/276157 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 คำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281991 วารสารวิจัยสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281991 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 แบบรับรองการตีพิมพ์บทความ วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281992 วารสารวิจัยสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281992 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 แบบรับรองนิพนธ์ต้นฉบับ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281993 วารสารวิจัยสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPHSR/article/view/281993 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700