https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/issue/feed วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย 2025-12-01T12:43:36+07:00 Sinee Disthabanchong sinee.dis@mahidol.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย (<em>J Nephrol Soc Thail</em>)</strong></p> <p><strong>E-ISSN</strong> : 2774-0676</p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> 4 ฉบับต่อปี (มกราคม – มีนาคม, เมษายน – มิถุนายน, กรกฎาคม – กันยายน, ตุลาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตของการตีพิมพ์ :</strong> รับตีพิมพ์บทความวิจัย บทความวรรณกรรมปริทัศน์ และการรายงานผู้ป่วยที่น่าสนใจทางด้านโรคไต โรคไตเด็ก การบำบัดทดแทนไต และการปลูกถ่ายไต โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ อายุรแพทย์โรคไต อายุรแพทย์โรคไตเด็ก อายุรแพทย์ทั่วไป แพทย์ทั่วไป นักศึกษาแพทย์ พยาบาลโรคไต และผู้ที่ปฏิบัติงานในทีมสหวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยโรคไต</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/283472 ปาฐกถาเกียรติยศ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ สง่า นิลวรางกูร: สถานการณ์ปัจจุบันของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย 2025-12-01T12:43:27+07:00 ประเสริฐ ธนกิจจารุ prasertthan@outlook.com <p>ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าวิตก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และน่าจะทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของประชากร รวมทั้งเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจต่อตัวผู้ป่วยเองและต่อประเทศไทยในอนาคต เนื่องจากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการรักษาซึ่งมีราคาสูงโดยเฉพาะในระยะที่เข้าสู่การได้รับการบำบัดทดแทนไต (การฟอกเลือดหรือการล้างไตทางช่องท้อง) ส่วนความชุกของโรคไตเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุในประเทศไทย ควรได้รับการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันปัจจัยเสี่ยงที่แน่ชัดของการเกิดโรคไตเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุในประเทศไทย รวมถึงผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียดจากความร้อน การสัมผัสสารเคมีทางการเกษตร และการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การรับรู้ถึงความเสี่ยงและการเป็นโรคไตเรื้อรังของประชากรไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยเมื่อเข้าสู่ระยะที่เป็นมากชัดเจนแล้ว โดยจากการศึกษา Thai SEEK study ที่พบว่ามีประชากรเพียงร้อยละ 1.9 เท่านั้นที่ทราบว่าตนเองกำลังมีโรคไตอยู่ ดังนั้นการตรวจค้นหาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังตั้งแต่ระยะเริ่มแรก การรักษาที่เหมาะสมเพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ของไต จึงมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ส่วนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายควรได้รับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยหรืออัตราการเสียชีวิตให้น้อยที่สุด และคาดหวังว่าหากการป้องกันและการชะลอการเสื่อมหน้าที่ของโรคไตเรื้อรังเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความชุกของการบำบัดทดแทนไตก็ควรจะค่อยๆ ลดลงได้ในอนาคต</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/283473 ปาฐกถาเกียรติยศ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ วิศิษฏ์ สิตปรีชา: โรคไตในแต่ละช่วงวัยของชีวิต 2025-12-01T12:43:25+07:00 ประไพพิมพ์ ธีรคุปต์ prapaipimt@yahoo.com <p>พลตรีหญิง ศาสตราจารย์คลินิก พญ. ประไพพิมพ์ ธีรคุปต์ เป็นกุมารแพทย์โรคไตที่ปรึกษาของหน่วยไต กองกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า พล.ต.หญิง ประไพพิมพ์ จบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นได้ฝึกศึกษาเป็นแพทย์ประจำบ้านสาขากุมารเวชศาสตร์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และได้ไปศึกษาต่อด้านกุมารเวชศาสตร์โรคไตที่โรงพยาบาลเด็ก มหาวิทยาลัยฟราย และ โรงพยาบาลเด็ก มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พล.ต.หญิง ประไพพิมพ์ มีประสบการณ์การดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กโรคไตมากว่า 30 ปี เคยได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ประธานชมรมโรคไตเด็กแห่งประเทศไทย กรรมการบริหารสมาคมโรคไตเด็กเอเชีย ปัจจุบันพล.ต.หญิง ประไพพิมพ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กรรมการราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ผู้ตรวจประเมินหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต และหลักสูตรกุมารวชศาสตร์โรคไต พล.ต.หญิง ประไพพิมพ์ มีความสนใจทั้งทางด้านกุมารเวชศาสตร์โรคไต และแพทยศาสตร์ศึกษา</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/282228 ทีเซลล์ไคเมอริกในการรักษาโรคทางไต 2025-12-01T12:43:36+07:00 จิรภัทร ตั้งกิจโชติ tunarthahaha@gmail.com กานต์ พงษ์สุวรรณ karn.p@cmu.ac.th <p>ทีเซลล์ไคเมอริก (Chimeric antigen receptor [CAR] T-cell) คือ ลิมโฟไซต์ชนิดทีที่ถูกดัดแปลงทางพันธุวิศวกรรมให้สามารถตรวจจับแอนติเจนที่จำเพาะและทำลายเซลล์เป้าหมายนั้น ๆ ได้ เป็นการรักษาภูมิคุ้มกันบำบัดชนิดหนึ่งที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเริ่มแรกมีการพัฒนาขึ้นเพื่อรักษามะเร็งทางโลหิตวิทยา ต่อมาได้มีการพัฒนาต่อยอดเพื่อนำไปรักษามะเร็งชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มะเร็งทางโลหิตวิทยา รวมถึงโรคที่มีอาการทางไตมาเกี่ยวข้อง เช่น โรคไตอักเสบลูปัส การติดเชื้อเอชไอวี หรือ มะเร็งชนิด renal cell carcinoma เป็นต้น ซึ่งมีข้อมูลการศึกษาในมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากเป็นการรักษาแนวทางใหม่ จึงมีการศึกษาในรูปแบบของการรายงานผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการศึกษาการใช้ CAR T-cell ในโรคต่าง ๆจะให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็เป็นการรักษาที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ จึงยังคงต้องการการศึกษาขนาดใหญ่รวมถึงการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ เพื่อให้มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยในอนาคตได้</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/282315 ภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำ 2025-12-01T12:43:33+07:00 เฉลิมชนม์ สุทธหลวง chonharrychon@gmail.com ปวีณา สุสัณฐิตพงษ์ pesancerinus@hotmail.com <p>ภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำ (Erythropoietin Hyporesponsiveness) เป็นภาวะที่พบในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับยากระตุ้นเม็ดเลือด แต่การเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นฮีโมโกลบินไม่ถึงระดับที่ต้องการหรือต้องการใช้ยากระตุ้นเม็ดเลือดในขนาดสูง เพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน โดยภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดภาวะค่าทำงานของไตที่ลดลง และเข้าสู่ภาวะไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ภาวะแทรกซ้อนโรคหัวใจและหลอดเลือด และอัตราเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำ เช่น ภาวะการขาดธาตุเหล็ก การติดเชื้อหรือการอักเสบ ภาวะต่อมพาราธัยรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ภาวะเลือดออก การฟอกเลือดไม่เพียงพอ เป็นต้น โดยการรักษาภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำเป็นการรักษาตามสาเหตุของการเกิดโรค เช่น การให้ยาธาตุเหล็กทดแทน การรักษาความผิดปกติของสมดุลแร่ธาตุและกระดูก การรักษาการติดเชื้อและการอักเสบ และการพิจารณาการให้ยากลุ่ม hypoxia-inducible factor-stabilizers เป็นต้น โดยบทความนี้นำเสนอภาพรวมเกี่ยวกับภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำ โดยเน้นความเข้าใจในพยาธิสภาพ แนวทางการรักษาที่เหมาะสมเพื่อปรับปรุงคุณภาพในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะการตอบสนองต่อยากระตุ้นเม็ดเลือดต่ำ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/282480 ประสิทธิผลของการให้แมกนีเซียมเสริมในการป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลัน 2025-12-01T12:43:29+07:00 ศุภวิวัชร โรจนสิงหะ jojo.sup@gmail.com ศิริกัญญา โรจนสิงหะ sirigunya.roo@mahidol.edu <p>ภาวะเป็นพิษต่อไต (acute kidney injury; AKI) เป็นภาวะที่สัมพันธ์กับ อัตราการเสียชีวิตสูงและการดำเนินโรคไปสู่ไตเรื้อรัง โดยมีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าภาวะขาดแมกนีเซียม (ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด AKI และการเสริมแมกนีเซียมอาจมีบทบาทในการป้องกันความเป็นพิษต่อไต บทความนี้ได้ทบทวนข้อมูลจากการศึกษาเชิงทดลองและทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง พบว่า แมกนีเซียมสามารถออกฤทธิ์ผ่านหลายกลไก ได้แก่ การเพิ่มการไหลเวียนเลือดในไต การลด oxidative stress และ apoptosis การยับยั้งกระบวนการอักเสบ และการคงสภาพการทำงานของไมโทคอนเดรีย ข้อมูลทางคลินิกชี้ว่าการให้แมกนีเซียมมีศักยภาพในการลดความเสี่ยงของ AKI ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหัวใจ การได้รับสารทึบรังสี การใช้ยาเคมีบำบัด cisplatin หรือ colistin รวมทั้งในผู้ป่วยวิกฤติ อีกทั้งยังสัมพันธ์กับการลดอัตราการเสียชีวิตและความต้องการการบำบัดทดแทนไต ดังนั้นการเสริมแมกนีเซียมถือเป็นทางเลือกที่มีความคุ้มค่า ปลอดภัย และมีศักยภาพในการป้องกัน AKI อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องมีการศึกษาขนาดใหญ่ในลักษณะ randomized controlled trials เพื่อยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยในระยะยาว</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/282304 แบบจำลองการทำนายทางคลินิกของความเสี่ยง ภาวะโพแทสเซียมต่ำในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากได้รับยาขับปัสสาวะฟูโรซีไมด์ 2025-12-01T12:43:34+07:00 ยุทธนา รักผกา sikaooat@gmail.com ปัณฑิตา ศรหิรัญ panthita.sornhiran@gmail.com <p><strong>บทนำ:</strong> ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมักได้รับยาฟูโรเซไมด์ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ขนาดยาขับปัสสาวะและการใช้ยาขับปัสสาวะหลายชนิดร่วมกัน วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือเพื่อพัฒนาโมเดลทำนายความเสี่ยงภาวะโพแทสเซียมต่ำทางคลินิก เพื่อช่วยในการป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าวและภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง<br /><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Decompensated Heart Failure หรือ ADHF) โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพหุคูณ (multivariable logistic regression) เพื่อสร้างคะแนน ทำนายความเสี่ยงจากการถ่วงน้ำหนักของตัวแปรทำนายและทำการตรวจสอบความถูกต้องภายใน (internal validation) เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของโมเดล<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ในกลุ่มผู้ป่วย ADHF จำนวน 510 รายที่ได้รับฟูโรเซไมด์พบว่ามีผู้ป่วย 143 ราย (28%) ที่เกิดภาวะโพแทสเซียมต่ำ การได้รับฟูโรเซไมด์ในขนาด &gt;1.5 มก./กก./วัน มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับ ภาวะโพแทสเซียมต่ำ (Adjusted OR 4.81, 95% CI 2.56–9.04, p&lt;0.001) โดยพบปัจจัยทำนาย 5 ประการ ได้แก่ ระดับโพแทสเซียมในซีรั่ม &lt;4 มิลลิโมล/ลิตร., ระดับอัลบูมินในซีรั่ม &gt;3.5 กรัม/ดล., ระดับแมกนีเซียมต่ำ, การได้รับฟูโรเซไมด์ &gt;1.5 มก./กก. และการไม่เคยได้รับสไปโรโนแลคโตนมาก่อน คะแนนที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดภาวะโพแทสเซียมต่ำที่เพิ่มขึ้น<br /><strong>สรุป:</strong> โมเดลทำนายทางคลินิกนี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงของภาวะโพแทสเซียมต่ำ ผู้ป่วย ADHF ที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงสูงอาจได้รับประโยชน์จากการป้องกันและการติดตามระดับโพแทสเซียมอย่างใกล้ชิด</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNST/article/view/282351 การศึกษาแบบนำร่องของโมเลกุลการยึดเกาะของเซลล์บุผนังหลอดเลือดในการทำนายการเจริญเติบโตของเส้นฟอกเลือดแท้ 2025-12-01T12:43:31+07:00 พชรพล สินชัยโรจน์กุล pacharapon.si122@gmail.com ธีรศักดิ์ ตั้งวงษ์เลิศ theerasak.pmk@gmail.com ศิรพงษ์ โชคธีรสวัสดิ์ c.sirapong128@gmail.com <p><strong>บทนำ:</strong> การทำนายการเจริญเติบโตของเส้นฟอกเลือดแท้ (arteriovenous fistula) ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ยังเป็นไปได้ยากและปัจจัยที่นำมาใช้ในการทำนายยังขาดความแม่นยำ โมเลกุลการยึดเกาะของเซลล์บุผนังหลอดเลือด (Soluble Vascular Cell Adhesion Molecule หรือ sVCAM) เป็นตัวชี้วัดการทำงานของหลอดเลือด แต่ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลในการทำนายความสมบูรณ์ของเส้นฟอกเลือดแท้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความสามารถของระดับ sVCAM ในการทำนายความสมบูรณ์ของเส้นฟอกเลือดแท้ที่ 8 สัปดาห์ภายหลังการผ่าตัด<br /><strong>ระเบียบและวิธีวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงวินิจฉัยแบบไปข้างหน้าในผู้ป่วย 19 รายที่เข้ารับการผ่าตัดทำเส้นฟอกเลือดใน โดยตรวจวัดระดับ sVCAM ก่อนการผ่าตัด และหลังผ่าตัด 4 สัปดาห์ โดยประเมินความสมบูรณ์ของ เส้นฟอกเลือดที่ 8 สัปดาห์โดยใช้อัลตราซาวด์<br /><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบผู้ป่วย 12 รายมีเส้นฟอกเลือดที่เติบโต (63%) ในผู้ป่วยที่มีเส้นฟอกเลือดเติบโตมีระดับ sVCAM ก่อนผ่าตัดสูงกว่าผู้ที่มีเส้นฟอกเลือดไม่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ (1505.9±383.1 vs. 1029.9±378.3 นาโนกรัม/มล., p=0.018) และพบการเปลี่ยนแปลงของระดับ sVCAM ที่ 4 สัปดาห์เปรียบเทียบกับก่อนการผ่าตัด แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างทั้งสองกลุ่ม (-6.6±35.8% vs. +19.4±10.8%, p=0.035) โดยค่าระดับ sVCAM ก่อนผ่าตัด ≥985.9 นาโนกรัม/มล. ให้ความไวร้อยละ 100 และความจำเพาะร้อยละ 71.4 ในการทำนายการเจริญเติบโตของเส้นฟอกเลือด โดยมีค่า AUC ที่ 0.845 (95% CI 0.632-1.000) การนำปัจจัยทางคลินิกอื่น ได้แก่ อายุ &lt;73 ปี และ ดัชนีมวลกาย &lt;30 กก./ม.² มาร่วมในโมเดลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำนายได้ดียิ่งขึ้นโดยมีค่า AUC สูงถึง 0.935 (95% CI 0.804-1.000)<br /><strong>สรุป:</strong> ระดับ sVCAM ก่อนการผ่าตัดเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่มีศักยภาพในการทำนายความสำเร็จของการเจริญเติบโตของเส้นฟอกเลือดแท้ การผสมผสานค่าพารามิเตอร์ทางคลินิกร่วมกับ sVCAM จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการทำนายมากยิ่งขึ้น</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย