วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND
<p><strong>วารสารกองการพยาบาล Journal of Nursing Division</strong></p> <p><strong>ISSN 3088 - 1706 (Online)</strong></p> <p> </p>
กองการพยาบาล Nursing Division
th-TH
วารสารกองการพยาบาล
0125-7242
-
คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในเขตตำบลพุดซา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/282645
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Study) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนพุดซา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และ (2) เปรียบเทียบความแตกต่างของคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จำแนกตามเพศ อายุ อาชีพ และสถานภาพสมรส กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชนพุดซา 289 คน คัดเลือกด้วยการสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามคุณภาพชีวิต WHOQOL-BREF ซึ่งครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ สุขภาพกาย จิตใจ สัมพันธภาพทางสังคม และสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างของคุณภาพชีวิตด้วยสถิติไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตโดยรวมในระดับปานกลาง ร้อยละ 81.30 รองลงมา คือ ระดับดี ร้อยละ 14.90 และระดับไม่ดี ร้อยละ 3.80 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านสิ่งแวดล้อมมีคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด (Mean 27.04, SD 4.12) ขณะที่ด้านสัมพันธภาพทางสังคมมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (Mean 8.92, SD 1.77) โดยมีคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในระดับไม่ดีสูงถึง ร้อยละ 22.10 ด้านปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุและอาชีพของผู้สูงอายุมีความแตกต่างกันในคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) โดยกลุ่มอายุ 60–69 ปี และผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีคุณภาพชีวิตในระดับดีสูงที่สุด (ร้อยละ 20.60 และ 27.80 ตามลำดับ) เพศและสถานภาพสมรสไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ ควรส่งเสริมกิจกรรมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ สนับสนุนอาชีพที่เหมาะสม และพัฒนาสิ่งแวดล้อมในชุมชนให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรี</p>
อุบลรัตน์ นุชใหม่
อุกฤษฎ์ ปลั่งกลาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-22
2025-09-22
52 3
1
12
-
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ ชุมชนเมือง จังหวัดนครราชสีมา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/282734
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ และอำนาจการทำนายของการรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การรับรู้สมรรถนะแห่งตน และการสนับสนุนทางสังคมในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของพระสงฆ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ พระสงฆ์ 141 รูป คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เกณฑ์คัดเข้า คือ พระสงฆ์ที่จำพรรษาตั้งแต่ 1 พรรษาขึ้นไป อยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เกณฑ์คัดออก คือ อาพาต ลาสิกขาและมรณภาพ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การรับรู้สมรรถนะแห่งตน และการสนับสนุนทางสังคม มีค่าความตรงด้านเนื้อหา 0.8 - 0.9 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า พระสงฆ์ส่วนใหญ่มีอายุ 41-50 ปี (Mean 46.23, SD 16.05) จำพรรษา 1-4 พรรษา ( Mean 14.73, SD 14.92) พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean 2.78, SD .40) พฤติกรรมรายด้านในระดับสูง ได้แก่ กิจกรรมทางกาย (Mean 3.35, SD .84) และการจัดการความเครียด (Mean 3.04<strong>, </strong>SD .85) พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ได้แก่ สูบบุหรี่ ร้อยละ 59.6 และฉันอาหารสุกๆ ดิบๆ ร้อยละ 27 รสเค็มหรือหมักดอง ร้อยละ 10.6 อาหารประเภทมันและทอด ร้อยละ 7.8 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ คือ การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค และการสนับสนุนทางสังคม ทำนายได้ ร้อยละ 38.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r .631, p < .001) ข้อเสนอแนะ คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมพระภิกษุ ในเรื่อง การงดสูบบุหรี่ การเลือกฉันอาหาร และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนในการถวายอาหารแก่พระสงฆ์</p>
ประทุ่ม กงมหา
หฤทัย กงมหา
จงกลณี ตุ้ยเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-25
2025-09-25
52 3
13
25
-
ผลการใช้รูปแบบการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย โดยประยุกต์ใช้สมรรถนะแห่งตนผ่านเว็ปแอปพลิเคชันของผู้สูงอายุในชุมชน จังหวัดปทุมธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/283234
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของรูปแบบการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยโดยประยุกต์ใช้แนวคิดสมรรถนะแห่งตนผ่านเว็บแอปพลิเคชัน ที่มีต่อความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย การรับรู้สมรรถนะแห่งตน พฤติกรรมการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมวลกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุในชุมชน จังหวัดปทุมธานี โดยใช้รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง 45 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ดำเนินการศึกษาเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยของผู้สูงอายุในชุมชน แบบทดสอบความรู้ แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตน แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย และแบบประเมินความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อ โดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ในช่วง 0.80–1.00 สำหรับค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความรู้วิเคราะห์ด้วยสูตร Kuder-Richardson 20 ได้ค่าเท่ากับ 0.77 ส่วนแบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและพฤติกรรมการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย มีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.96 และ 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้สูงอายุมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 6.577, p < 0.001, 95%CI = 1.95–3.68) การรับรู้สมรรถนะแห่งตนเพิ่มขึ้น (t = 2.13, p = 0.04, 95%CI = 0.01–0.50) พฤติกรรมการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยดีขึ้น (t = 4.03, p < .0001, 95%CI = 0.25–0.74) รวมถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (t = 10.79, p < 0.001, 95%CI = 4.20–6.12) และมวลกล้ามเนื้อ (t = 2.11, p = 0.04, 95%CI = 0.01–0.28) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยโดยประยุกต์ใช้แนวคิดสมรรถนะแห่งตนผ่านเว็บแอปพลิเคชัน เป็นแนวทางที่สามารถส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ยุภา โพผา
วัชราภรณ์ วงศ์สกุลกาญจน์
ทัศพร ชูศักดิ์
พรรณี บัญชรหัตถกิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-14
2025-10-14
52 3
26
40
-
การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ: ปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนบุตรที่ต้องการในสตรีวัยเจริญพันธุ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/283749
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ในปัจจุบัน อัตราการเจริญพันธุ์และจำนวนการเกิดทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะได้ดำเนินนโยบายและมาตรการส่งเสริมการมีบุตรในรูปแบบต่าง ๆ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดหวัง การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนบุตรที่ต้องการในสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยมุ่งศึกษางานวิจัยเชิงปริมาณที่กล่าวถึงปัจจัยทำนายหรือปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ได้แก่ จำนวนบุตรที่ต้องการ ความต้องการมีบุตร การตั้งครรภ์ซ้ำ การวางแผนมีบุตรเพิ่ม หรือความตั้งใจมีบุตร ในกลุ่มสตรีวัยเจริญพันธุ์อายุระหว่าง 15–49 ปี งานวิจัยที่นำมาทบทวนครอบคลุมช่วงระยะเวลาระหว่าง พ.ศ. 2558–2567 ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยคัดเลือกเฉพาะงานที่สามารถเข้าถึงฉบับเต็มได้ ผลการสืบค้นพบงานวิจัยที่ตรงตามเกณฑ์จำนวน 9 เรื่อง จากทั้งหมด 5,845 เรื่องที่ตรวจสอบเบื้องต้น</p> <p>ผลการสังเคราะห์ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนบุตรที่ต้องการในสตรีวัยเจริญพันธุ์มีความหลากหลายและซับซ้อน สามารถจำแนกได้เป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ ปัจจัยด้านประชากร ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม ปัจจัยด้านลักษณะครอบครัว ปัจจัยด้านทัศนคติและจิตวิทยา ปัจจัยด้านการเจริญพันธุ์และอนามัยเจริญพันธุ์ และปัจจัยด้านการเข้าถึงโอกาสและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตร ผลการศึกษาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจมีบุตรของสตรีวัยเจริญพันธุ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงปัจจัยส่วนบุคคลเท่านั้น หากยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างซับซ้อน</p> <p>ทั้งนี้ องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวิจัยเชิงลึกในอนาคต ตลอดจนเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมการมีบุตรของภาครัฐและบุคลากรด้านสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ศิริมา เขมะเพชร
โสเพ็ญ ชูนวล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-04
2025-11-04
52 3
41
55
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมทักษะการเยี่ยมบ้านมารดาและทารกหลังคลอดต่อความรู้ และทักษะการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/283947
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทักษะการปฏิบัติ ก่อนและหลังใช้โปรแกรมส่งเสริมทักษะการเยี่ยมบ้านมารดาและทารกหลังคลอด ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง คือ อสม. อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จำนวน 50 คน เครื่องมือการวิจัย คือ โปรแกรมส่งเสริมการเยี่ยมบ้าน แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับมารดาและทารกหลังคลอด และแบบประเมินทักษะการปฏิบัติ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วย IOC มีค่า 0.93, 0.90 และ 0.90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีคู่</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ก่อนได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (Mean 6.08, SD 1.37) และทักษะการปฏิบัติการเยี่ยมบ้านอยู่ในระดับต่ำ (Mean 4.20, SD 1.69) หลังได้รับโปรแกรมฯ ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และทักษะการปฏิบัติอยู่ในระดับสูง (Mean 9.58, SD 0.76; และ Mean 9.52, SD 0.74 ตามลำดับ) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ดังนั้น การใช้โปรแกรมส่งเสริมทักษะการเยี่ยมบ้านมารดาและทารกหลังคลอดช่วยเพิ่มทั้งความรู้และทักษะการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความรู้และทักษะสำหรับภาวะหรือโรคอื่นๆ ต่อไปได้</p>
ฐิตาพร กันทะเนตร
ดลหทัย จตุรคเชนทร์เดชา
วารุณี อุดมพล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-14
2025-11-14
52 3
56
65
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลพระสงฆ์ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ในโรงพยาบาลสงฆ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284266
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลพระสงฆ์ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในโรงพยาบาลสงฆ์ การดำเนินงานประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ (1) การศึกษาสถานการณ์และความต้องการ (2) การพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบ และ (3) การประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบ ผ่านการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 1 และ 2 ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ 10 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 3 ได้แก่ พระสงฆ์ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา 62 รูป แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 31 รูป และกลุ่มควบคุม 31 รูป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การสร้างความตระหนักและส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ (2) การพัฒนาระบบและมาตรฐานบริการพยาบาล (3) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรพยาบาล และ (4) กลไกการขับเคลื่อนและการประเมินผล ภายหลังการใช้รูปแบบ กลุ่มทดลองมีระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) และระดับการมองเห็น (LogMAR) ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) รวมทั้งมีระดับความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และคุณภาพชีวิตสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)</p> <p>ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการส่งเสริมการดูแลตนเองและพัฒนาผลลัพธ์ด้านสุขภาพของพระสงฆ์ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา และสามารถประยุกต์ใช้ในบริบทโรงพยาบาลสงฆ์เพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลอย่างเป็นระบบ</p>
พรเพ็ญ แจ่มกระจาย
พจน์มาลัย สังข์เสนาะ
ระพี จะปัญญา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
52 3
66
78
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะปอดอักเสบจากการสำลักตามเกณฑ์คะแนนทำนายในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอระยะลุกลามที่ได้รับรังสีรักษาและเคมีบำบัด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284268
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาและประเมินประสิทธิผลรูปแบบการดูแลกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะปอดอักเสบจากการสำลักตามเกณฑ์คะแนนทำนายในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอระยะลุกลามที่ได้รับรังสีรักษาและเคมีบำบัด ดำเนินการ 3 ระยะ คือ (1) ศึกษาสถานการณ์ (2) พัฒนารูปแบบฯ และ (3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบฯ ประชากรระยะที่ 1 คือ เวชระเบียนผู้ป่วย 260 คน กลุ่มตัวอย่างระยะที่ 3 คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ (1) ผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอระยะลุกลามที่ได้รับรังสีรักษาและเคมีบำบัด กลุ่มทดลอง 36 คน และกลุ่มควบคุม 36 คน (2) พยาบาลวิชาชีพ 17 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ (1) เกณฑ์คะแนนทำนายผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง (2) คู่มือรูปแบบการดูแลสำหรับพยาบาล (3) คู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วย ค่า IOC เท่ากับ 0.96, 0.96, 0.98 ตามลำดับ เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย (ระยะที่ 1) ค่า IOC เท่ากับ 1 แบบประเมินความรู้การดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะ AP และแบบสอบถามพยาบาลด้านประโยชน์ของรูปแบบการดูแล มีค่า IOC เท่ากับ 0.98, 0.98 และค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.75, 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงด้วย Chi-square และ stepwise ทดสอบความแตกต่างด้วย Wilcoxon signed-rank test</p> <p>ผลการศึกษา พบปัจจัยด้านอายุ สถานะสมรรถภาพ (ECOG) ดัชนีมวลกาย การดื่มแอลกอฮอล์ สุขอนามัยช่องปาก ตำแหน่งของเนื้องอก สูตรยา Carboplatin และการให้อาหารทางสายยางมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) รูปแบบการดูแลฯ มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) คู่มือรูปแบบการดูแลสำหรับพยาบาล และ (2) คู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วย/ ผู้ดูแล การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบฯ พบว่า อุบัติการณ์ของภาวะปอดอักเสบจากการสำลักลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ (p .96) แต่ความรุนแรงของภาวะปอดอักเสบจากการสำลักในระดับปานกลางถึงรุนแรงมาก และระยะเวลาเฉลี่ยในการฉายรังสี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p < .05 และ p < .001, ตามลำดับ) คะแนนความรู้ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยผู้/ ดูแลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < .001) และพยาบาลมีความเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ารูปแบบการดูแลนี้มีประโยชน์ </p>
ณิภา แสงกิตติไพบูลย์
บุศรินทร์ เผด็จทุกข์
อนงค์ สง่าเนตร
ภัทรมน โพธิ์วิเชียร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
52 3
79
92
-
ผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติทางระบบประสาท
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284270
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติทางระบบประสาทที่ได้รับการแลกเปลี่ยนพลาสมาเพื่อการรักษา<strong> (</strong>Therapeutic Plasma Exchange: TPE) การวิจัยมี 2 ระยะ ได้แก่ (1) การสืบค้นอย่างเป็นระบบ และพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล (2) การประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติฯ กลุ่มตัวอย่าง มี 2 กลุ่ม คือ (1) ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Neuromyelitis Optica Spectrum Disorders (NMOSD), Chronic Inflammatory Demyelinating Polyneuropathy (CIDP), และ Myasthenia Gravis (MG) โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 26 ราย และกลุ่มทดลอง จำนวน 20 ราย และ (2) พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยโรคระบบประสาทภูมิคุ้มกันและหอผู้ป่วยหนักประสาทวิทยา จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัย คือ แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ค่า CVI 0.92 เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ (1) แบบบันทึกข้อมูลภาวะแทรกซ้อน มีค่า CVI .93, α .72 (2) แบบประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก มีค่า CVI 1.0, α .81 และ(3) แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาล มีค่าCVI .93, α .75 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square, paired t-test และ independent t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ที่พัฒนานี้ ประกอบด้วยการพยาบาล 3 ระยะ ได้แก่ (1) การพยาบาลก่อนทำ TPE (2) การพยาบาลระหว่างทำ TPE และ (3) การพยาบาลหลังทำ TPE การประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติฯ พบว่า อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ ภาวะแคลเซียมต่ำ และภาวะโพแทสเซียมต่ำ ในกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) การเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกที่ประเมินด้วย Modified Rankin Scale (mRS) และ กิจวัตรประจำวัน (Activities of Daily Living: ADL) พบว่า กลุ่มทดลองมีการฟื้นฟูสมรรถภาพที่ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) พยาบาลมีความพึงพอใจต่อแนวปฏิบัติอยู่ในระดับสูง</p>
ประไพ บุญย์เจริญเลิศ
สมใจ เนวชื่น
ภูริพงษ์ เจริญแพทย์
ปัทมา วิมานจันทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
52 3
93
107
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ในโรงพยาบาลปทุมธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284276
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลแบบประคับประคองสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และประเมินผลการนำรูปแบบไปใช้ในโรงพยาบาลปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ 30 คน และญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย 30 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การวิจัยดำเนินการเป็น 4 ระยะ ได้แก่ (1) การศึกษาสถานการณ์ (2) การออกแบบและพัฒนารูปแบบ (3) การทดลองใช้ และ (4) การประเมินผล เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการดูแลแบบประคับประคอง แบบสัมภาษณ์ แบบสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม โดยรูปแบบได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ส่วนแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.80 และ 0.88 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยาย การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบการดูแลแบบประคับประคองที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยกระบวนการประเมินและคัดกรองตามเกณฑ์การวินิจฉัย (PPS, ESAS, ADL) การดูแลอาการจำเพาะของโรค การดูแลด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงการวางแผนจำหน่ายและการติดตามเยี่ยมบ้านร่วมกับเครือข่ายชุมชน และ (2) ระดับความพึงพอใจของญาติผู้ดูแลหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) รวมทั้งผลลัพธ์ด้านการดูแลของพยาบาลหลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) ผลลัพธ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ารูปแบบดังกล่าวมีประสิทธิผล และควรสนับสนุนการนำไปใช้ในสถานบริการอย่างต่อเนื่อง</p>
ชญาสุภา ปิ่นงาม
วลัยนารี พรมลา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
52 3
108
119
-
ผลของโปรแกรมให้ความรู้ต่อการรับรู้การเจ็บป่วยและการจัดการอาการภาวะฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่มีภาวะเสี่ยง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284286
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลโปรแกรมให้ความรู้ต่อการรับรู้การเจ็บป่วย และการจัดการอาการภาวะฉุกเฉินของโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่มีภาวะเสี่ยง กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือการวิจัย คือ โปรแกรมให้ความรู้ฯ มีค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา .77 เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ (1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล (2) แบบสอบถามการรับรู้การเจ็บป่วย และ (3) แบบสอบถามการจัดการอาการภาวะฉุกเฉินของโรคหลอดเลือดสมอง แบบสอบถามชุดที่ 2 และ 3 มีค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา .89 และ .85 ตามลำดับ และมีค่าความเชื่อมั่น .82 และ .90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independent t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้การเจ็บป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และค่าเฉลี่ยคะแนนการจัดการอาการภาวะฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มทดลอง หลังได้รับโปรแกรมให้ความรู้ฯ สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 1.87, p < 05 และ t 3.16, p < .05 ตามลำดับ) ก่อนได้รับโปรแกรมให้ความรู้ฯ คะแนนเฉลี่ยการรับรู้การเจ็บป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และการจัดการอาการภาวะฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 1.15, p .26 และ t 1.52, p .13 ตามลำดับ) หลังได้รับโปรแกรมให้ความรู้ฯ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้การเจ็บป่วย และการจัดการอาการภาวะฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 4.25, p < .001 และ t 4.93, p < .001 ตามลำดับ) สรุปโปรแกรมให้ความรู้สามารถส่งเสริมการรับรู้และเพิ่มทักษะการจัดการอาการฉุกเฉินจากโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
วารี วณิชปัญจพล
กัลยา เตชาเสถียร
ผาสุก มั่นคง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
52 3
120
134
-
ประสบการณ์การพัฒนานวัตกรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต: การวิจัยผสมผสาน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284300
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong> </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาทักษะการพัฒนานวัตกรรมของนักศึกษาพยาบาล (2) บรรยายประสบการณ์การพัฒนานวัตกรรมของนักศึกษาพยาบาล และ (3) ศึกษาพฤติกรรมการสอนของอาจารย์ที่ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสานลักษณะต่อเนื่องเชิงอธิบาย ประกอบด้วย 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแรกเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิจัยทางการพยาบาลและนวัตกรรมทางการพยาบาล 86 คน และอาจารย์ผู้สอน 12 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบประเมินทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่สองเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญคัดเลือกแบบเจาะจงจากผู้ที่มีคะแนนทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมในระดับมากขึ้นไปจากทั้งอาจารย์และนักศึกษา 23 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทั้งจากมุมมองอาจารย์และนักศึกษา ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทำงานร่วมกัน ความคิดสร้างสรรค์ และการสื่อสาร ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงคุณภาพที่ระบุว่า ปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จของการพัฒนานวัตกรรม ได้แก่ (1) การสืบค้นข้อมูลและการร่วมกันคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (2) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานเป็นทีม และการบริหารจัดการที่เหมาะสม และ (3) สิ่งสนับสนุนด้านงานวิจัย สำหรับพฤติกรรมการสอนของอาจารย์ที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม ได้แก่ (1) การส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับกระบวนการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม และ (2) การจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่กระตุ้นให้นักศึกษามีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย</p> <p>ผลการวิจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนและบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมของนักศึกษาพยาบาล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญต่อการปฏิบัติวิชาชีพในยุคการเปลี่ยนแปลงของระบบบริการสุขภาพ</p>
อัญชนา จุลศิริ
สุวรรณี แสงอาทิตย์
กมลพรรณ วัฒนากร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
52 3
135
149
-
การพัฒนารูปแบบสนับสนุนการจัดการตนเองในพระสงฆ์อาพาธสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลสงฆ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/284559
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลรูปแบบการสนับสนุนการจัดการตนเองในพระสงฆ์อาพาธสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ดำเนินการ 3 ระยะ: (1) ศึกษาสถานการณ์ (2) พัฒนาและทดลองใช้รูปแบบ และ (3) ประเมินผลรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์ 8 คน และพระสงฆ์อาพาธด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 45 รูป เครื่องมือวิจัย คือ รูปแบบสนับสนุนการจัดการตนเองฯ มีค่าความตรงของเนื้อหา .93 เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ (1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล (2) แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเอง (3) แบบประเมินคุณภาพชีวิต และ (4) แบบประเมินความรุนแรงของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มีค่าความตรงของเนื้อหา .92, .96 และ .94 ตามลำดับ และมีค่า Cronbach’s alpha coefficients .88, .92 และ .90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการสนับสนุนการจัดการตนเองของพระสงฆ์อาพาธสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย (1) การคัดกรอง และการประเมิน (2) การให้ความรู้ และการแนะนำ (3) การสนับสนุนระดับการดูแล (4) การติดตามอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลการใช้รูปแบบฯ พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเอง และคุณภาพชีวิตของพระสงฆ์ฯ สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 8.85, p < .001 และ t 11.79, p < .001 ตามลำดับ) ความรุนแรงของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหลังใช้รูปแบบฯ ลดลงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t -4.35, p < .001) แสดงว่ารูปแบบฯ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลที่ดี สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการจัดการโรคเรื้อรังในบริบทที่มีความจำเพาะอื่น ๆ ต่อไป</p>
นงลักษณ์ จิรประภาพงศ์
กัญจนา สีนานอก
วิวัฒน์ เหล่าชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-13
2025-12-13
52 3
150
164