https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/issue/feed วารสารกองการพยาบาล 2025-03-25T08:41:14+07:00 ภูวนาถ ป้อมเมือง ndjournal@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารกองการพยาบาล Journal of Nursing Division</strong></p> <p><strong>ISSN 2673-0316 (Online)</strong></p> <p> </p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/278056 การพัฒนาและประเมินผลแนวทางปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกแรกเกิด ที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูง โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 2025-03-17T10:43:46+07:00 ชูศรี ติ้วสกุล noipkt19@gmail.com อรอนงค์ สาระทำ noipkt19@gmail.com <p>บทคัดย่อ</p> <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) ออกแบบและพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูง (2) ประเมินประสิทธิผลการใช้แนวทางปฏิบัติฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ (1) พยาบาลวิชาชีพหออภิบาลทารกแรกเกิด 22 คน&nbsp; (2) กุมารแพทย์ 5 คน และ (3) ทารก 49 คน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะความดันเลือดในปอดสูงเข้ารับการรักษาที่ NICU เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผ่านการตรวจคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น&nbsp; วิเคราะห์ข้อมูลดด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ Chi-square</p> <p>ผลการศึกษาแนวทางปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะ PPHN และการนำแนวปฏิบัติฯไปใช้ พบว่า ความเป็นไปได้ของการนำไปใช้ อยู่ในระดับมากที่สุดใน 4 แนวทาง คือ (1) การเตรียมความพร้อมรับและติดตามอาการทารกแรกเกิดกลุ่มเสี่ยง (2)การประเมินสภาพคัดกรองทารกกลุ่มเสี่ยงและช่วยเหลือเบื้องต้น (3) การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะ PPHN และ (4) การวางแผนส่งต่อจำหน่าย และพบ 2 แนวทางที่มีความเป็นไปได้ระดับมาก คือ (1) การป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะรักษาพยาบาล และ (2) การเตรียมความพร้อมของบิดามารดา พยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้แนวทางปฏิบัติฯ มากที่สุด (Mean 4.9, SD .21)&nbsp; การเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้แนวทางปฏิบัติฯ พบว่า (1) จำนวนวันนอน (Mean 14.90, SD 8.66) และ (2) ค่าใช้จ่ายในการรักษาลดลง (Mean 335,786.95, SD 213,874.11) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05)&nbsp; อัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.14 เป็น ร้อยละ 80 ดังนั้น ควรมีการใช้แนวทางปฏิบัติฯและพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป</p> 2025-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/278263 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 2025-03-25T08:41:14+07:00 ปิยเนตร ศิริทิชากร milk-t@hotmail.com พันธ์ศักดิ์ วงศ์คำแก้ว milk-t@hotmail.com ปิยวร กุมภิรัตน์ milk-t@hotmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่นอนรักษาในแผนกผู้ป่วยใน มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือการวิจัย คือ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ มีค่าความตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 0.96 และ 0.94 ตามลำดับ และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.92 และ 0.89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired t-test และสถิติ Independent t-test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะสูงกว่าก่อนเข้าโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 13.08, p &lt; .05 และ t 8.55, p &lt; .05 ตามลำดับ) กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพ และค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 10.26, p &lt; &nbsp;.05 และ t &nbsp;3.02, p &lt; .05 ตามลำดับ) ดังนั้น ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ควรได้รับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ และสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างถูกต้อง</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารกองการพยาบาล