https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/issue/feed
วารสารกองการพยาบาล
2024-12-19T13:51:43+07:00
ภูวนาถ ป้อมเมือง
ndjournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารกองการพยาบาล Journal of Nursing Division</strong></p> <p><strong>ISSN 2673-0316 (Online)</strong></p> <p> </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275793
การพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิกการพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ
2024-12-09T10:24:17+07:00
วาศินี อ่อนท้วม
Wasinee.o@hotmail.com
ปณิตา คุณสาระ
Wasinee.o@hotmail.com
ดวงกมล ทองคำ
Wasinee.o@hotmail.com
พรทิพย์ สายสุด
Wasinee.o@hotmail.com
ปฏิวัติ กุณะแสงคำ
Wasinee.o@hotmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ </strong> </p> <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลลัพธ์ ของการใช้รูปแบบการนิเทศทางคลินิก การพยาบาล เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ (CAUTI) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้นิเทศ คือ หัวหน้าหอผู้ป่วยที่ดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ 18 คน ผู้รับการนิเทศ คือ พยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์ มากกว่า 1 ปี 191 คน และผู้ป่วยที่ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ 604 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆละ 302 ราย เครื่องมือที่ใช้ คือ รูปแบบการนิเทศทางคลินิกฯ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ด้านการนิเทศทางคลินิก (KR-20 = 0.86) ด้านการพยาบาลป้องกัน CAUTI (KR-20 = 0.88) แบบบันทึกการปฏิบัติของผู้รับการนิเทศ (interrater reliability = 1) แบบบันทึกผลลัพธ์การพยาบาล (CVI = 0.84) และแบบประเมินความคิดเห็นของผู้นิเทศต่อรูปแบบ (CVI = 0.86)</p> <p> <strong>ผลการวิจัย </strong>รูปแบบการนิเทศทางคลินิกฯ มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) นโยบายการนิเทศทางคลินิกเฉพาะโรค 2) บทบาทหน้าที่ของผู้นิเทศ 3) ความรู้ของผู้นิเทศด้านการนิเทศ 4) คู่มือการนิเทศฯ 5) แผนการนิเทศตาม CAUTI Bundle และ 6) กิจกรรมการนิเทศที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ผลลัพธ์การใช้รูปแบบ (1) ด้านผู้ป่วย ก่อนการใช้รูปแบบพบผู้ป่วยติดเชื้อ CAUTI 82 ราย (ร้อยละ 27.2) หลังการใช้ พบ 12 ราย (ร้อยละ 4) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) (2) ด้านผู้นิเทศ พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้ด้านการนิเทศ และด้านการป้องกัน CAUTI ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) ความคิดเห็นต่อรูปแบบ มีความพึงพอใจโดยรวมในระดับดี (x̄ =4.22, SD=0.43) (3) ด้านผู้รับการนิเทศ พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน CAUTI ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) ผู้รับการนิเทศปฏิบัติตามแนวทางป้องกัน CAUTI ครบถ้วนในกิจกรรมสำคัญ เช่น การจัดการการใส่สายสวนตามข้อบ่งชี้ การล้างมือก่อนและหลังสัมผัสสายสวน การใช้เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic technique) และการดูแลระบบปิดของสายสวน </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275843
ปัจจัยทำนายภาวะซึมเศร้าของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-12-11T08:51:08+07:00
ภัทร์พิชชา ครุฑางคะ
patrabulptt@gmail.com
ภัทราบูลย์ นาคสู่สุข
patrabulptt@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>ภาวะซึมเศร้า เป็นปัญหาทางสุขภาพจิตที่พบบ่อยในวัยรุ่น ส่งผลกระทบทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายภาวะซึมเศร้าของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงทำนาย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย อายุระหว่าง 15 -18 ปี ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 441 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม และแบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือค่า CVI ตั้งแต่ 0.60-1.00 ทุกข้อ การตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือได้คะแนนความเที่ยงเท่ากับ .90 .89 และ 0.88 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธีการถดถอยแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคมโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีระดับภาวะซึมเศร้าโดยรวมอยู่ในระดับรุนแรง โดยความรอบรู้ด้านสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่า การสนับสนุนด้านอารมณ์ ทักษะการจัดการตนเอง และการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพสามารถทำนายภาวะซึมเศร้าได้ ร้อยละ 19.60 ผลการศึกษาให้ข้อมูลที่สำคัญสำหรับพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิตและพยาบาลเด็กและวัยรุ่นในการเฝ้าระวังและพัฒนาแนวทางการส่งเสริมและป้องกันภาวะซึมเศร้า ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหรือความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นได้มากขึ้</p>
2024-12-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275845
การเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการเผชิญการเจ็บครรภ์คลอดของมารดาที่มีการคลอดครั้งแรก โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา
2024-12-11T08:58:32+07:00
มลิจันทร์ เกียรติสังวร
malijanying@gmail.com
สายชล พฤกษ์ขจร
malijanying@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>การเจ็บครรภ์คลอดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคลอดปกติ ผู้คลอดมีการเผชิญการเจ็บครรภ์คลอดและจัดการกับความปวดได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมารดาที่คลอดครั้งแรก การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยและเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการเผชิญการเจ็บครรภ์คลอดของมารดาที่มีการคลอดครั้งแรก กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาครรภ์แรกที่คลอดทางช่องคลอด ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา 395 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามการเผชิญการเจ็บครรภ์คลอด มีความตรงของเนื้อหารายข้อ ค่า I-CVI อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่น สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามตอนที่ 2 เท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ทดสอบค่าที ทดสอบเวลช์ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยสถิติ LSD</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า มารดาที่มีการคลอดครั้งแรกมีอายุ ระดับการศึกษา ความสัมพันธ์กับสามี รายได้ของครอบครัว และประวัติการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บครรภ์คลอดแตกต่างกัน มีการเผชิญการเจ็บครรภ์คลอดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการให้ความรู้ คำแนะนำ พร้อมทั้งสาธิตวิธีการจัดการการเจ็บครรภ์คลอด เพื่อให้มารดาสามารถรับมือกับการเจ็บครรภ์คลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275889
การเข้ารับบริการฝากครรภ์: มุมมองหญิงตั้งครรภ์และผู้ปฏิบัติงาน
2024-12-12T10:16:00+07:00
อุทัยทิพย์ ทองฉวี
Tippawan@bcnt.ac.th
ทิพย์วรรณ บุณยาภรณ์
Tippawan@bcnt.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการฝากครรภ์หลัง 12 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่าง คือ หญิงตั้งครรภ์ 10 คน และเจ้าหน้าที่ทางสุขภาพผู้ปฏิบัติงาน 20 คน ในพื้นที่อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์สรุปอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หญิงตั้งครรภ์และเจ้าหน้าที่ทางสุขภาพผู้ปฏิบัติงานมีมุมมองที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการฝากครรภ์หลัง 12 สัปดาห์ใน 4 ประเด็น ได้แก่ (1) ปัจจัยจากตัวหญิงตั้งครรภ์ คือ ไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ ขาดความเข้าใจในกระบวนการรับบริการฝากครรภ์และความต้องการการสนับสนุนจากครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์ (2) ปัจจัยด้านกระบวนการของการรับบริการฝากครรภ์ คือ ระยะเวลาการเปิดบริการฝากครรภ์ที่ไม่เอื้ออำนวย (3) ปัจจัยทางเศรษฐกิจ คือ การขาดงานหรือลางานที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ และ(4) ปัจจัยทางสังคม คือ ยังไม่ผ่านพิธีแต่งงานจึงจำเป็นต้องปกปิดการตั้งครรภ์ ดังนั้นการส่งเสริมการฝากครรภ์ก่อน 12 สัปดาห์ให้ประสบความสำเร็จ จึงต้องอาศัยการให้ข้อมูล การทำความเข้าใจในกระบวนการให้บริการฝากครรภ์ การจัดช่วงเวลาการให้บริการที่เหมาะกับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และการช่วยเหลือกลุ่มที่ต้องการปกปิดการตั้งครรภ์</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275890
การพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิกเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาล
2024-12-12T10:25:22+07:00
ญาณนี รัตนไพศาลกิจ
yannee.r@gmail.com
วิวา หายทุกข์
yannee.r@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มี 4 ขั้นตอน: (1) เตรียมการและศึกษาสภาพการณ์ (2) พัฒนารูปแบบและจัดทำคู่มือการนิเทศทางคลินิก (3) ทดลองใช้และปรับปรุงรูปแบบ (4) นำไปใช้และประเมินผลรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ หัวหน้าและรองหัวหน้าหอผู้ป่วย 14 คน พยาบาลวิชาชีพ 70 คน ผู้ป่วยในที่เสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบและไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ 136 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสำรวจสภาพการณ์นิเทศ และคู่มือการนิเทศทางคลินิก ตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา 1.00 เครื่องมือเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามผู้นิเทศ แบบสอบถามผู้รับการนิเทศ และแบบสอบถามผู้ป่วย ค่าความเชื่อมั่น 0.84, 0.86 และ 0.89 ตามลำดับ และแบบบันทึกข้อมูลการเกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมาน</p> <p> <strong> </strong> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการนิเทศทางคลินิก มี 2 องค์ประกอบ: (1) การให้ความรู้การนิเทศทางคลินิกแก่ผู้นิเทศ และการให้ความรู้การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาลแก่พยาบาลวิชาชีพ (2) คู่มือการนิเทศทางคลินิก ประกอบด้วย 2.1 ทำความเข้าใจประเด็นการนิเทศ 2.2 กำหนดเป้าหมายการนิเทศ 2.3 วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของประเด็นนิเทศ 2.4 กำหนดทางเลือกปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการนิเทศ และ 2.5 สรุปผลการนิเทศร่วมกัน ผลการใช้รูปแบบ พบว่า ผู้นิเทศมีความรู้และมีทักษะการนิเทศสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p < .05) และพึงพอใจในระดับมาก ( Mean 4.75, SD .33) ผู้รับการนิเทศมีความรู้และมีการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาลสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<.05) และพึงพอใจในระดับมาก ( Mean 4.68, SD .34) ผู้ป่วยพึงพอใจในระดับมาก (Mean 2.89, SD .84) อัตราการเกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาลลดลงจาก 0.29 เป็น 0.13 ต่อ 1,000 วันนอน</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275977
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก
2024-12-16T15:14:16+07:00
มธุรส จันทร์แสงศรี
charen01101963@gmail.com
เจริญสุข อัศวพิพิธ
charen01101963@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยเชิงพรรณา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาหลังคลอดครรภ์แรก จำนวน 88 คนที่มาตรวจตามนัด 6 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความรู้ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีค่า KR-20 เท่ากับ .77 แบบสอบถามทัศนคติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แบบสอบถามสมรรถนะแห่งตนในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และแบบสอบถามพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .79, .80 และ .82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสมการถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อยู่ในระดับดี ร้อยละ 51.13 ความรู้ ทัศนคติ และสมรรถนะแห่งตนในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r .407, .502, .600 ตามลำดับ, p < .01) ความรู้ ทัศนคติ และสมรรถนะแห่งตนในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก ได้ร้อยละ 44.80 ( R<sup>2</sup> .448, p < .01) ดังนั้น พยาบาลห้องคลอดและหลังคลอดควรส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ และเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้กับมารดาตั้งแต่ระยะก่อนคลอด เพื่อกระตุ้นและให้มารดาหลังคลอดบุตรคนแรกมีความมั่นใจและตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275992
การพัฒนารูปแบบการพยาบาล A to I สำหรับพยาบาลประจำการต่อความสามารถ ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่รักษาด้วยการผ่าตัด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
2024-12-17T11:03:29+07:00
บุปผาชาติ ขุนอินทร์
nsanaeha@gmail.com
นรลักษณ์ เสน่หา
nsanaeha@gmail.com
เสาวลักษณ์ ไวพรรทา
nsanaeha@gmail.com
นิรมล พจน์ด้วง
nsanaeha@gmail.com
แสงรุ้ง สุขจิระทวี
nsanaeha@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนารูปแบบการพยาบาล A to I สำหรับพยาบาลประจำการ และศึกษาผลลัพธ์การใช้รูปแบบการพยาบาลนี้ในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่รักษาด้วยการผ่าตัด กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ 25 คน และผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รักษาด้วยการผ่าตัด 57 คน ดำเนินการ 3 ระยะ (1) วิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้ป่วย (2) พัฒนารูปแบบฯ และ (3) ประเมินผลลัพธ์การใช้รูปแบบ เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย (1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล (2) รูปแบบการพยาบาล A to I สำหรับพยาบาลประจำการ (3) แบบสอบความรู้เรื่องการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รักษาด้วยการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ (4) แบบประเมินการปฏิบัติการพยาบาลฯ (5) แบบสอบถามความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย และ (6) แบบบันทึกการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่ม ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ค่า CVI .88-1.0 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ครอนบาคของเครื่องมือลำดับที่ 3, 4 และ 5 คือ .83, .85 และ .90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Wilcoxson signed rank test และการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการพยาบาล A to I สำหรับพยาบาลประจำการ ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ (1) ระยะเตรียมความพร้อม 4 ด้าน ได้แก่ 1.1 ด้านโครงสร้าง 1.2 ด้านการบริการ 1.3 ด้านพยาบาลประจำการ และ 1.4 ด้านมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย (2) ระยะการดูแลผู้ป่วย และ (3) ระยะสิ้นสุดการดูแลผู้ป่วย ผลลัพธ์การใช้รูปแบบ พบว่า หลังใช้รูปแบบผู้ป่วยมีความสามารถในการดูแลตนเองโดยรวมและรายด้านสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และ ความรู้ของพยาบาลประจำการหลังได้รับการอบรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8</p>
2024-12-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275993
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพด้วยแอปพลิเคชั่นไลน์ต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคลมชัก
2024-12-17T11:16:04+07:00
กัญณภัทร สนสกุล
walainaree@hotmail.com
วลัยนารี พรมลา
walainaree@hotmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพด้วยแอปพลิเคชั่นไลน์ต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคลมชัก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคลมชักที่มารับบริการในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลปทุมธานี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพด้วยแอปพลิเคชั่นไลน์ และแบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคลมชัก ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของโปรแกรม และแบบสอบถาม มีค่าเท่ากับ 1.00 และตรวจสอบความเที่ยงของแบบสอบถาม มีค่าเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ Dependent t-test (one group pre – post test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคลมชักหลังได้รับโปรแกรมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (Mean 3.71 และ Mean 2.61, ตามลำดับ) และแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t -7.82, p < .001) ดังนั้น โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพด้วยแอปพลิเคชั่นไลน์ที่พัฒนาขึ้นสามารถส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับโรคลมชักและพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อให้ผู้ป่วยรับรู้ประโยชน์ของการส่งเสริมสุขภาพ รับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติ รับรู้ความสามารถของตนเอง และเข้าใจวิธีการจัดการตนเองเพื่อการมีสุขภาพที่ดีต่อไป</p>
2024-12-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/276025
ความสัมพันธ์ระหว่าง การสนับสนุนของครอบครัว และทัศนคติของผู้ดูแลเกี่ยวกับ การมีกิจกรรมทางกาย ต่อการมีกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม
2024-12-19T09:10:08+07:00
วลัยนารี พรมลา
pisan.p@ptu.ac.th
พิสันต์ ประชาชู
pisan.p@ptu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงพรรณา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง การสนับสนุนของครอบครัว และทัศนคติของผู้ดูแลเกี่ยวกับการมีกิจกรรมทางกาย ต่อการมีกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 88 คน ระหว่าง เดือนกุมภาพันธ์ ถึง มิถุนายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามทัศนคติของผู้ดูแลต่อการมีกิจกรรมทางกาย และแบบสอบถามการมีกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุ ค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหาทั้งสองชุด เท่ากับ 1.00 และตรวจสอบความเชื่อมั่น แบบสอบถามการสนับสนุนของครอบครัว แบบสอบถามทัศนคติของผู้ดูแลต่อการมีกิจกรรมทางกาย และ แบบสอบถามการมีกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุสมองเสื่อม ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ .79, .80 และ .82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า การสนับสนุนของครอบครัว และทัศนคติของผู้ดูแลต่อการมีกิจกรรมทางกาย มีความสัมพันธ์ต่อการมีกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุสมองเสื่อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r = .507, .502 ตามลำดับ) ดังนั้นพยาบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุสมองเสื่อมตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถดูแลและส่งเสริมกิจกรรมทางกายให้กับผู้สูงอายุสมองเสื่อมได้</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/276027
ผลของโปรแกรมการสนับสนุนและการให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลลำพูน
2024-12-19T09:30:01+07:00
จงลักษณ์ โกมุทศิริกุล
Tipanan@bcnph.ac.th
ทิพนันท์ บูรณะกิติ
Tipanan@bcnph.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสนับสนุนและการให้ความรู้ต่อพฤติกรรม การดูแลตนเองของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว โดยใช้แนวคิดทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็มเป็นแนวทางในการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเพศชายและหญิง อายุระหว่าง 15 – 75 ปี ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลลำพูน ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลว คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คัดเข้าและคัดออกที่กำหนด แบ่งเป็น กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย โปรแกรมการสนับสนุนและการให้ความรู้ที่พัฒนาขึ้นจากทฤษฎีระบบการพยาบาลของโอเร็ม แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้ และแบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเอง ผ่านการตรวจสอบเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.97, 1.00, 1.00 และ 1.00 ตามลำดับ ทดสอบหาความเที่ยงของเครื่องมือแบบวัดความรู้และแบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเอง ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราคเท่ากับ 0.75 และ 0.71 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติทดสอบที</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรมการสนับสนุนและการให้ความรู้ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรม การดูแลตนเองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ผลการวิจัยนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเอง เพื่อควบคุมอาการของโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดการกลับมารักษาซ้ำในโรงพยาบาล</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/276030
ผลของรูปแบบการเตรียมพร้อมก่อนฝึกปฏิบัติการพยาบาลผู้สูงอายุในชุมชนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อสมรรถนะการประเมินสุขภาพผู้สูงอายุแบบครอบคลุมเป็นองค์รวมของนักศึกษาพยาบาล และความพึงพอใจต่อการเตรียมความพร้อม
2024-12-19T13:39:39+07:00
ศุภวรรณ ป้อมจันทร์
oraya@bcnsprnw.ac.th
อรญา ศรีนารอด
oraya@bcnsprnw.ac.th
ณชพัฒน์ จีนหลักร้อย
oraya@bcnsprnw.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยสมรรถนะการประเมินสุขภาพผู้สูงอายุแบบครอบคลุมเป็นองค์รวมก่อนและหลังการเตรียมความพร้อมก่อนการฝึกปฏิบัติการพยาบาลผู้สูงอายุโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลต่อการเตรียมความพร้อมฯ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 4 จำนวน 36 คน เครื่องมือวิจัย คือ รูปแบบการเตรียมพร้อมก่อนฝึกปฏิบัติการพยาบาลผู้สูงอายุโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง เครื่องมือเก็บข้อมูล คือ แบบประเมินสมรรถนะของนักศึกษาเกี่ยวกับการประเมินภาวะสุขภาพผู้สูงอายุแบบครอบคลุมเป็นองค์รวม และแบบประเมินความพึงพอใจ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 1.0 และ .97 ตามลำดับ ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .86 และ .72 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยสมรรถนะการประเมินภาวะสุขภาพผู้สูงอายุแบบครอบคลุมเป็นองค์รวมของนักศึกษาพยาบาลหลังเตรียมความพร้อมโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงสูงกว่าก่อนเตรียมความพร้อมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t 23.59, p < .05) นักศึกษาพยาบาลมีความพึงพอใจด้านการสร้างความมั่นใจในการประเมินผู้สูงอายุในระดับมากที่สุด (Mean 4.80, SD .40) ดังนั้น ผู้สอนควรใช้รูปแบบการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงเพื่อให้ผู้เรียนได้เตรียมความพร้อมฝึกปฏิบัติโดยใช้ความรู้และมีสมรรถนะในการประเมินภาวะสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนตามมาตรฐานวิชาการและวิชาชีพ</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/276031
การพัฒนาการบริการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิดสู่องค์กรสมรรถนะสูง
2024-12-19T13:51:43+07:00
วรลักษณ์ ฆ้องวงษ์
ha.ayh09@gmail.com
สุกัญญา พินหอม
ha.ayh09@gmail.com
พิราลักษณ์ ลาภหลาย
ha.ayh09@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของการบริการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤติทารกแรกเกิดสู่องค์กรสมรรถนะสูง ดำเนินการ 3 ระยะ คือ (1) การศึกษาสถานการณ์ (2) พัฒนาการบริการพยาบาลฯ และ (3) ประเมินประสิทธิผลการบริการฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาล 30 คน ผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด 30 คน และญาติผู้ดูแลหลัก 30 คน เครื่องมือวิจัย คือ การบริการพยาบาลฯที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือเก็บข้อมูล คือ แบบประเมินการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูงของกระทรวงสาธารณสุข แบบประเมินคุณลักษณะและความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว แบบประเมินสมรรถนะของพยาบาล แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลและญาติผู้ดูแลหลัก และแบบบันทึกความปลอดภัยของผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด ตรวจสอบความเที่ยงตรงได้ .88 - .99 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเชิงอนุมาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า การบริการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิดสู่องค์กรสมรรถนะสูงที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิผล 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านคุณภาพ ประกอบด้วย 1.1 คะแนนการประเมินคุณภาพผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62.00 เป็นร้อยละ 81.00 1.2 คะแนนความพึงพอใจของพยาบาลต่อการบริการพยาบาลอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 86.00 (2) ด้านการยอมรับ ประกอบด้วย 2.1 คะแนนสมรรถนะของพยาบาลก่อนและหลังพัฒนาฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) 2.2 คะแนนเฉลี่ยการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูงฯ เพิ่มขึ้นจาก 3.78 เป็น 4.21 (3) ด้านประสิทธิผล ประกอบด้วย 3.1 อุบัติการณ์และภาวะแทรกซ้อนก่อนและหลังการใช้การบริการพยาบาลมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) 3.2 ความพึงพอใจของญาติผู้ดูแลหลักต่อการบริการพยาบาลอยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 96.00</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JND/article/view/275848
การบริการการแพทย์ทางไกล : ทางเลือกในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน
2024-12-11T09:12:23+07:00
พรพรรณ โพธิไชยา
natthawirot.c@nrru.ac.th
ณัฐวิโรจน์ ชูดำ
natthawirot.c@nrru.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การเข้าถึงระบบบริการทางการแพทย์ที่ไม่เท่าเทียมและไม่ทั่วถึงยังคงเป็นปัญหาสำคัญในระบบสาธารณสุขของไทย การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ การบริการการแพทย์ทางไกลเป็นการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการพัฒนาบริการเพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสะดวก ลดระยะทาง ลดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาพบแพทย์ของผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p> <p>แนวทางการจัดบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุด้วยการบริการการแพทย์ทางไกล จะต้องมีการจัดทำคู่มือหรือสื่อการเรียนรู้ที่ผู้สูงอายุใช้งานสะดวกเข้าใจง่าย การให้บริการที่เป็นมิตร ให้บริการช่วยเหลือทางเทคนิคหากเกิดปัญหาขณะใช้งาน การเน้นย้ำเรื่องมาตรการด้านความปลอดภัยและการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสุขภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดี การสื่อสารที่ชัดเจน การติดตามผลและความพึงพอใจ รวมถึงการสร้างกลุ่มหรือชุมชนออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสนับสนุนซึ่งกันและกัน และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้บริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้บริการแก่ผู้สูงอายุในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ลดการแออัดในโรงพยาบาล และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาในโรงพยาบาลที่ขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง อีกทั้งยังช่วยพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างยั่งยืน</p>
2024-12-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารกองการพยาบาล