Journal of Medical Globalization

Unity for strength

Yosananda Chantravekin — Sat, 04 Jan 2025 00:00:00 +0700

ขอกล่าวคำว่า “สวัสดี” อีกครั้งกับท่านผู้อ่านทุกท่านครับ ตามที่ได้กล่าวไว้ในบทบรรณาธิการฉบับก่อนว่ากระผม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทันตแพทย์ ยสนันท์ จันทรเวคิน ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการหลักของวารสารการแพทย์โลกาภิวัตน์ฉบับนี้ตามนโยบายของท่านอธิการบดี ซึ่งจะรวมวารสารสำหรับเผยแพร่ผลงานวิชาการของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาของคณะทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ให้เป็นวารสารฉบับเดียว

อย่างที่เราทราบกันว่าวารสารฉบับนี้มีจุดเริ่มต้นจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีท่านบรรณาธิการท่านก่อน คือ ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง ธนวรรณ กุมมาลือ และคณะทำงาน ได้ดำเนินงานวารสารด้วยความเข้มแข็งตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา แต่เมื่อมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานของวารสาร ให้เป็นวารสารวิชาการเพียงฉบับเดียวของกลุ่มคณะสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science Faculty) ซึ่งในขณะนี้มีคณะ/หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพพรีคลินิก รวมทั้งโครงการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานเล็กน้อย

ท่านผู้อ่านอาจมีข้อสงสัยว่าทำไมถึงต้องทำวารสารให้เป็นฉบับเดียว ไม่แยกเป็นวารสารของแต่ละคณะ ซึ่งอาจมีบทความที่มีเนื้อหาตรงกับสิ่งที่คณาจารย์ นักศึกษา หรือผู้อ่านที่อยู่ในวิชาชีพนั้นๆ สนใจมากกว่า โดยส่วนตัวที่เคยทำงานด้านวารสารวิชาการมา คงตอบได้ว่าเป็นเรื่องของการควบคุมคุณภาพวารสาร และบทความในวารสารครับ

จากประกาศ ก.พ.อ. ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2562 เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ พ.ศ. 2562⁽¹⁾ ซึ่งกำหนดให้ผลงานวิจัยที่ใช้ประกอบการพิจารณาแต่งตั้งบุคตคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ จะต้องเผยแพร่ในวารสารทางวิชาการที่มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับ โดยหากเป็นฐานข้อมูลระดับชาติ จะรับรองเฉพาะวารสารที่ปรากฏอยู่ในศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index – TCI) กลุ่ม 1 และกลุ่ม 2 เท่านั้น แม้ภายหลัง จะมีประกาศ ก.พ.อ. ฉบับปี พ.ศ. 2564⁽²⁾ ยกเลิกการรับรองดังกล่าว โดยอนุโลมให้การรับรองวารสารนั้นเป็นอำนาจขององค์กรหรือหน่วยงานทางวิชาการของแต่ละสาขา แต่ในทางปฏิบัติ รวมทั้งในระบบประกันคุณภาพการศึกษา ก็ยังอ้างอิงจากรายชื่อที่ปรากฏในศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ซึ่งมีกฎระเบียบ และการตรวจสอบคุณภาพวารสารที่เข้มข้น ยากที่แต่ละคณะฯ จะดำเนินการให้ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานเพื่อเข้าสู่รายชื่อวารสารกลุ่มที่ 1 หรือ 2

จากที่ได้กล่าวมา คงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การรวมวารสารวิชาการให้เป็นฉบับเดียว สำหรับคณะสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ น่าจะเป็นแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม ทางมหาวิทยาลัยจะได้จัดสรรทรัพยากรต่างๆ สำหรับพัฒนาวารสารได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ศาสตร์ต่างๆ มีความเป็นบูรณาการมากขึ้น สอดคล้องกับปรัชญาการจัดการเรียนการสอนสมัยใหม่

นอกจากความร่วมมือของคณะต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อจัดทำวารสารแล้ว กระผมก็มีความยินดีที่จะเรียนว่าทางมหาวิทยาลัยก็มีทิศทางในการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ล่าสุด ทางมหาวิทยาลัยได้รับการติดต่อจากมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ในอนาคต โดยมูลนิธิฯ เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ซึ่งมีพันธกิจด้านหนึ่งคือส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้านทันตแพทยศาสตร์ และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากงานวิจัยและพัฒนาให้เข้าถึงประชาชน หากมีความร่วมมือกัน ก็น่าจะเป็นการดึงจุดแข็งของแต่ละองค์กร ในขณะที่มหาวิทยาลัยมีประสบการณ์ด้านการจัดการเรียนการสอนทั้งก่อนและหลังปริญญา จัดการฝึกอบรมในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งมีการวางระบบการให้บริการทางสุขภาพกับประชาชน มูลนิธิฯ ก็มีประสบการณ์ในเรื่องการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือแพทย์ ดังจะเห็นได้จากบทความเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งทางวารสารฯ ได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ วิจิตร ธรานนท์ กรรมการมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กรุณาเขียนบทความพิเศษเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ กฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ รวมทั้งมาตรฐานห้องปฏิบัติการทดสอบ เพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้ และฉบับหน้า เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านครับ

ยสนันท์ จันทรเวคิน

Effectiveness of Enhancing Self-Health Care Behavior Program of teenage pregnant women, Samut Sakhon Hospital

Wilai Raiva — Sat, 04 Jan 2025 00:00:00 +0700

Teenage pregnancy is a crisis change in the life. This may have consequences for both the pregnant woman and her unborn child. Encouraging teenage pregnant women to take care of their own health are important for them to perform their roles as mothers successfully.

This quasi-experimental study was aimed to examine the effect of a health promotion program for teenage pregnant women. The sample group consisted of 40 people. They were divided into experimental and control groups. Inclusion criteria were the teenage pregnancy aged not over 19 years, gestational age between 14-28 weeks. The control group received normal nursing care; the experimental group received the Self-Health Care Behavior Program developed from Bandura's self-efficacy theory. Data were collected using a personal record form and questionnaire on health promoting behaviors of teenage pregnant, which has been checked for content validity by three qualified persons, the value of IOC was 0.66. Reliability was tested using Cronbach's alpha coefficient of 0.80. Data were analyzed by descriptive statistics; comparing the mean scores of self-care behaviors before and after the experiment of the experimental group by Paired Sample t-test; comparing the mean scores of health behaviors after the experiment of the experimental group and control group with Independent Sample t-test.

The results showed that the experimental group had average scores on health behaviors in each aspect, such as nutritional status, physical activity, health responsibility, interpersonal relationship, stress management, spiritual development, and the total score on health behaviors statistically significantly higher than before the experiment (p<0.05). After the experiment, the experimental group had average scores on health behaviors in each aspect such as nutritional status, physical activity, health responsibility, interpersonal relationship, stress management and spiritual development The total score on health behaviors in the experimental group was significantly higher than the control group (p<0.05)

Recommendations: A Self-Health Care Behavior Program for teenage pregnancy should be used to promote the health for teenage pregnancy who are prone to health problems during pregnancy.

Factors affecting psychologists' work life balance stationed in the area of Pattani province

Krittima Watcharajinda, Chutamas Sathianphan, Sarinda Puti — Sat, 04 Jan 2025 00:00:00 +0700

The objectives of this research were as follows: 1) to compare the work-life balance, classified by individual factors, 2) to study the relationship between the quality of life at work and work-life balance, and 3) to create an equation for predicting work-life balance from the quality of life at work.

The population group used in the study consisted of 35 psychologists working in the Pattani province area, and in-depth interviews were conducted with 3 individuals. The content analysis was done in the collected data. The statistical analyses used to analyze the data included variance analysis, Pearson correlation analysis, and coefficient of determination for prediction.

The research findings were as follows: Psychologists with different individual factors such as gender, age, religion, educational level, marital status, job category, daily working hours, work experience, and monthly income did not differ significantly in terms of quality of life at work. There was a positive correlation between the quality of life at work and work-life balance (r = 0.680), which is statistically significant (p < 0.01). The quality of life at work could predict work-life balance with an accuracy of 68%. The equation for predicting life balance was: Y = 1.010 + 0.54 (work-life balance) + 0.27 (social relationships). To provide a comprehensive research study more efficient, there should be a more in-depth study. It may be used to study the process by adding covariates to the study or study from other concepts more and should study the population covering the three southern border provinces or other regions besides the south.

Roadmap for achievement in Thai medical device innovation

Viwat Chantrasatit, Wichit Tharanon — Sat, 04 Jan 2025 00:00:00 +0700

Medical device innovation has its own characteristics because there are a lot of stakeholders including medical personnels, patients, as well as standard organizations. For achievement in medical device innovation, developer has to consider needs, related laws and regulations and confidence of medical personnels which are users. The objective of this article was to share experiences about developing Thai medical device innovation, especially the regulations of medical device registration and ISO standard management system.