https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/issue/feed
วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
2025-12-11T16:19:51+07:00
นายทศพล พรหมสถิตย์
drt.dpc2@gmail.com
Open Journal Systems
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/269918
ความครอบคลุมการได้รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก และปัจจัยเชิงพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ในปี 2561 - 2565
2024-06-24T08:45:31+07:00
อินทิรา นิ่มนวล
kikin.nimnual@gmail.com
ฉวีวรรณ บุญสุยา
chaweewon.boo@gmail.com
นนท์ธิยา หอมขำ
nontiya.h@fph.tu.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายแนวโน้มความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูกและความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเชิงพื้นที่ ด้านเศรษฐกิจและสังคม (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือน สัดส่วนประชากรยากจน การเคลื่อนย้ายเข้าของประชากร การเคลื่อนย้ายออกของประชากร และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต) และด้านการบริการสุขภาพ (สัดส่วนของประชากรที่มีสิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพถ้วนหน้า) และผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 โดยใช้ข้อมูลรายจังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานคร ปีงบประมาณ 2561 - 2565 วิเคราะห์และนำเสนอด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน ตัวแบบ Generalized estimating equation (GEE) ผลการศึกษา พบว่า แนวโน้มความครอบคลุมการได้รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูกลดลง และไม่เป็นไปตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 รวมถึงปัจจัยเชิงพื้นที่ที่มีความสัมพันธ์กับความครอบคลุมการได้รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก คือ ร้อยละประชากรที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (b = 0.280 95%CI = 0.195, 0.365) สัมพันธ์กับความครอบคลุมการได้รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูกลดลง (b = -17.353 95%CI = -21.432, -13.273) ดังนั้นเพื่อให้ความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการติดตามการได้รับวัคซีนในเข็มที่ 2 ของเด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมการตั้งรับ วางแผนแนวทางการดำเนินการ การให้บริการด้านวัคซีนในเด็ก หากเกิดสถานการณ์ทางสุขภาพที่ผิดปกติ เช่น เกิดการแพร่ระบาดของโรค เกิดภัยพิบัติ เป็นต้น</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/269182
ผลของการออกกำลังกายแบบปฏิสัมพันธ์ต่อตัวแปรในการเดินในเด็กที่มีน้ำหนักเกินและอ้วน อายุระหว่าง 10 - 12 ปี
2024-06-10T13:57:41+07:00
สุภาพร แก้วแสนเมือง
supapon.kae@mfu.ac.th
อัมพา พุ่มโพธิ์
ampha.pum@mfu.ac.th
พันน์นรินทร์ สุวรรณรัตน์
Phannarin.suw@mfu.ac.th
วิศรุต บุตรากาศ
vitsarut.but@mfu.ac.th
<p>ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนในเด็กส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของร่างกาย เกิดผลกระทบต่อลักษณะการเดินที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการส่งเสริมคุณภาพการเดินจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดิน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายด้วยการเล่นเกมแบบปฏิสัมพันธ์ต่อตัวแปรในการเดิน และค่าดัชนีมวลกายในเด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน อาสาสมัครที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน อายุระหว่าง 10 - 12 ปี จำนวน 32 คน ถูกแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ด้วยวิธีการจับคู่รายบุคคล กลุ่มทดลองได้รับการออกกำลังกายด้วย Nintendo Switch กับ Ring fit Controller (Ring-Con) เป็นเวลา 35 นาทีต่อครั้ง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ระยะเวลา 6 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบ<br />ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ อาสาสมัครทุกรายทำการทดสอบการเดิน 2 นาที ด้วยความเร็วในการเดินความเร็วปกติและความเร็วสูงสุดด้วย APDM mobility lab และบันทึกค่าตัวแปรตัวในการเดิน ใช้สถิติ Independent sample t-test ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ในการทดสอบด้วยการเดินความเร็วสูงสุด กลุ่มทดลองมีความถี่การก้าวเดิน ความเร็วในการเดิน ระยะเวลาการยืนขาเดียว ความยาวก้าว และระยะเวลาที่ขาลอยพ้นพื้นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระยะเวลาที่ขาทั้ง 2 ข้างสัมผัสพื้นลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบ ดังนั้นการออกกำลังกายด้วยการเล่นเกม<br />แบบปฏิสัมพันธ์จึงเป็นทางเลือกที่ดีและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพและความสามารถในการเดินในเด็กที่มีน้ำหนักเกินและอ้วน</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/269995
ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดลำปางและแพร่
2024-03-26T17:32:46+07:00
รัตนา ไชยมูล
rattana.noon01@hotmail.com
สุประวีณ์ วิภูศิริ
rattana.noon01@hotmail.com
วาที สิทธิ
wathee@rihes.org
<p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคโควิด 19 และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคโควิด 19 ของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดลำปางและแพร่ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา จังหวัดลำปางและแพร่ จำนวน 504 คน สุ่มตัวอย่างจากสูตรประมาณสัดส่วนของประชากร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มบุคลากรทางการศึกษามีค่าเฉลี่ยความรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เท่ากับ 10.90 มีค่าเฉลี่ยทัศนคติอยู่ในระดับเชิงบวก เท่ากับ 8.03 และมีค่าเฉลี่ยการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคโควิด 19 อยู่ในระดับถูกต้องตามเกณฑ์<br />ที่กำหนด เท่ากับ 7.06 ผลการทดสอบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับความรู้ ได้แก่ ระดับการศึกษา ตำแหน่งวิชาการ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติ ได้แก่ ตำแหน่งวิชาการ รายวิชาที่สอน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตัว ได้แก่ จำนวนปีที่ทำงาน และโรคประจำตัว และเมื่อทดสอบความสัมพันธ์ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคโควิด 19 ของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดลำปางและแพร่ พบว่า ความรู้กับทัศนคติ และทัศนคติกับการปฏิบัติตัว มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนความรู้กับการปฏิบัติตัว ไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการศึกษาในครั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษาควรมีการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษามีความรู้เพิ่มเติม ส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ดี และสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับโรคโควิด 19</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/269611
ปัจจัยทำนายการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในกลุ่มเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตสุขภาพที่ 9
2024-06-25T13:54:20+07:00
ณัฎฐญา ไทยกลาง
nuttaya.thaiklang@gmail.com
พัชรี ศรีกุตา
phatcharee.s@nrru.ac.th
<p>การศึกษาการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการดำเนินงาน ด้านการป้องกันการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตสุขภาพที่ 9 กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานป้องกันการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตสุขภาพที่ 9 จำนวน 335 คน ได้จากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาค่าเฉลี่ยของประชากร สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน แห่งละ 1 คน โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายตามสัดส่วนของประชากร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยรายงานความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน วิเคราะห์ปัจจัยทำนายด้วยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นแบบพหุที่ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยวิธีนำตัวแปรเข้าทั้งหมด ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยแรงจูงใจ ปัจจัยการสนับสนุนจากองค์กร และการดำเนินงานด้านการป้องกันการจมน้ำในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในกลุ่มเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตสุขภาพที่ 9 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.57 (S.D. = 0.63), 4.55 (S.D. = 0.70) และ 26.14 (S.D. = 3.54) ตามลำดับ ปัจจัยทำนายการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ได้แก่ ตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุข แรงจูงใจ การสนับสนุนจากองค์กร ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ และตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันทำนายการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในกลุ่มเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตสุขภาพที่ 9 ได้ร้อยละ 38.0</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/270187
ผลของการใช้สื่อให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านโภชนาการและ ระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในหญิงตั้งครรภ์
2024-04-02T11:43:53+07:00
ดวงเดือน ดวงสำราญ
duangduean717@hotmail.com
อัญชลี จันทาโภ
duangduean_d@rmutt.ac.th
จิราวรรณ ศิริโสม
duangduean_d@rmutt.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้สื่อให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านโภชนาการและระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มตัวอย่างคือหญิงตั้งครรภ์ 70 คนที่มารับบริการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมโภชนาการซึ่งประกอบด้วยสื่อวีดิทัศน์ให้ความรู้และการติดตามทางโทรศัพท์ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านโภชนาการ และแบบบันทึกผลการตรวจความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Paired t-test, Independent t-test และ Chi-square test ผลการวิจัยพบว่าหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านโภชนาการและระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) เมื่อเทียบกับก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุม โดยไม่มีผู้ที่มีระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าร้อยละ 33 หลังการทดลอง ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้สื่อให้ความรู้มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านโภชนาการและเพิ่มระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางต่อไป</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/269407
The ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณฟีนอลทั้งหมดและเคอวซิติน ของสารสกัดชั้นเอทานอลของดอกทองกวาว Butea monosperma (Linn.)
2024-03-03T15:37:35+07:00
นรินทร์ กากะทุม
narin.ka@ssru.ac.th
แสงสิทธิ์ กฤษฎี
Narin.ka@ssru.ac.th
วรรณี พรมด้าว
Narin.ka@ssru.ac.th
กิตติศักดิ์ แคล้ว จันทร์สุข
Narin.ka@ssru.ac.th
ปภาวี สุขดี
Narin.ka@ssru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และปริมาณสารเควอซิตินในสารสกัดชั้นเอทานอลของดอกทองกวาว <em>Butea monosperma</em> (Linn.) โดยใช้เทคนิคโครมาโตกราฟีแบบของเหลวสมรรถนะสูง (High Performance Liquid Chromatography; HPLC) ผลการวิจัยพบว่าสารสกัดชั้นเอทานอลของดอกทองกวาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 49.43±3.4 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่า BHT (สารมาตรฐาน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่า p เท่ากับ 0.002 สารสกัดชั้นเอทานอลดอกทองกวาวมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด 86.01±0.03 มิลลิกรัมแกลลิกต่อน้ำหนักของสารสกัด และมีปริมาณเควอซิตินเท่ากับ 0.0110±0.0003 มิลลิกรัมต่อตัวอย่าง 100 มิลลิกรัม การศึกษานี้มีความสำคัญในการให้ข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดชั้นเอทานอลจากดอกทองกวาว ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอาง และเวชสำอางจากสมุนไพรในอนาคต การค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของดอกทองกวาวเป็นแหล่งสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ทางเภสัชศาสตร์และบ่งชี้ว่าพืชชนิดนี้อาจถูกนำไปใช้ในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/270771
พยากรณ์จำนวนผู้ป่วยนอกสูงอายุรับยาสมุนไพรจังหวัดอุบลราชธานี
2024-08-26T08:38:57+07:00
ภักศจีภรณ์ ขันทอง
phaksachiphonk@gmail.com
สุรศักดิ์ สุขสาย
vadhana.j@ptu.ac.th
วัฒนา ชยธวัช
vadhana.j@ptu.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยนอกสูงอายุที่มารับยาสมุนไพรในจังหวัดอุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2567 โดยรวบรวมข้อมูลจากรายงานสถิติของกระทรวงสาธารณสุขหัวข้อการจ่ายยาสมุนไพรแก่ผู้ป่วยนอกรายจังหวัด ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 ถึง 2566 (ประมวลผลวันที่ 18 ธันวาคม 2566) จากเว็บไซต์ Health Data Center ของกระทรวงสาธารณสุข ทฤษฎีระบบเกรย์และสมการถดถอยโพลีโนเมียลถูกนำมาใช้ในการพยากรณ์อนุกรมเวลานี้ ผลการศึกษาพบว่าตัวแบบ GM (1,1) Error Periodic Correction มีค่าเฉลี่ยร้อยละของความผิดพลาดสัมบูรณ์ (Mean absolute percentage error - MAPE) ของปีงบประมาณ 2561 - 2566 ต่ำที่สุด คิดเป็นร้อยละ 2.36 จึงมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยนอกสูงอายุรับยาสมุนไพร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีค่าพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยนอกสูงอายุรับยาสมุนไพร ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 149,429 คน เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 ร้อยละ 0.28 ส่งผลต่อความเป็นไปได้ในการสนับสนุนการจ่ายยาสมุนไพรภายในจังหวัดอบลราชธานีเพิ่มขึ้น ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับความต้องการยาสมุนไพรสำหรับผู้ป่วยนอกของประชากรสูงอายุ ซึ่งช่วยในการกำหนดนโยบายและการจัดสรรทรัพยากร</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/271270
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จังหวัดลพบุรี
2024-08-20T15:07:56+07:00
ดิสพล แจ่มจันทร์
dissapolc@gmail.com
ทัศพร ชูศักดิ์
dissapolc@gmail.com
พรรณี บัญชรหัตถกิจ
dissapolc@gmail.com
วัชราภรณ์ วงศ์สกุลกาญจน์
dissapolc@gmail.com
<p>โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่เป็นอันตรายระดับโลก ซึ่งเกิดจากการขาดความรอบรู้ ความตระหนักและการที่มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง จึงศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จังหวัดลพบุรี เพื่อนำผลการศึกษามาใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ วิธีการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง โดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จังหวัดลพบุรี จำนวน 272 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ทักษะความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพและทักษะการสื่อสารข้อมูลสุขภาพ ไม่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนทักษะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ทักษะการจัดการเงื่อนไขตนเอง ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ ทักษะการตัดสินใจ มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value <0.05 โดยตัวแปรทั้งหมดมีผลต่อการเกิดพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จังหวัดลพบุรี ได้ร้อยละ 70.5 (R<sup>2</sup> = 0.705) ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการจัดการรณรงค์สร้างกระแสให้เข้าถึงข้อมูลสุขภาพ เกิดความตระหนักต่อการสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่มีความสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยสามารถตัดสินใจที่จะกำหนดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพของตนเอง และมีระบบการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง จัดรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการดูแลสุขภาพและให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพ</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/272517
การประเมินผลแผนยกระดับความมั่นคงและความเป็นเลิศด้านควบคุมโรคของประเทศ พ.ศ. 2563 - 2565 ฉบับปรับปรุง กรมควบคุมโรค
2024-07-15T10:23:10+07:00
นันท์นภัส วงษ์พิรา
planningddc2019@gmail.com
มนิสรา มุ่งดี
mook.mungdee@gmail.com
ธัญรดี ศิลานุภาพ
thunradee.sila@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินแผนยกระดับความมั่นคงและความเป็นเลิศด้านควบคุมโรคของประเทศ พ.ศ. 2563 - 2565 ฉบับปรับปรุง รวมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จและปัญหาอุปสรรค เพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางในการจัดทำแผนในระยะต่อไป ทำการศึกษาในรูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนยกระดับฯ ของกรมควบคุมโรค จาก 44 หน่วยงาน และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 76 จังหวัด ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมการดำเนินงานทุกด้านอยู่ในระดับมาก มิติด้านผลลัพธ์ <br />มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด เท่ากับ 3.93 และมิติด้านบริบท มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดเท่ากับ 3.61 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของแผนยกระดับฯ คือ การกำหนดประเด็นความมั่นคงด้านสุขภาพไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และผู้บริหารให้ความสำคัญและนำแผนยกระดับฯ มาเป็นกรอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปี ในส่วนของปัญหาอุปสรรคสะท้อนถึงเนื้อหาของแผนที่ขาดความสมบูรณ์ ไม่ชัดเจนในหลายมิติ ขาดกลไกในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติและการกำกับติดตามผล ทำให้บางประเด็นไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมถึงการสื่อสารยังไม่ไปถึงผู้ปฏิบัติงานและเครือข่ายด้านป้องกันควบคุมโรคในระดับพื้นที่ ข้อเสนอคือ นำบทเรียนและช่องว่างจากการพัฒนามาใช้เพื่อเป็นกรอบในการจัดทำแผนระยะถัดไป รวมถึงใช้กฎหมายด้านการป้องกันโรคและภัยสุขภาพ เป็นกลไกสำคัญในบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับจัดทำแผนในระยะต่อไป ควรกำหนดเป้าหมายของแผนให้มีความชัดเจน สามารถวัดผลสำเร็จได้ และควรกำหนดให้มีกลไกการขับเคลื่อน ติดตามและประเมินผลลัพธ์ของแผนอย่างชัดเจนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/270102
สถานการณ์และความสัมพันธ์ของจำนวนฟันถาวร คู่สบฟันหลัง และภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ในผู้สูงอายุจังหวัดสุพรรณบุรี
2024-08-07T09:48:19+07:00
ภัทรา ทวีผล
phatra.taw@dome.tu.ac.th
สิริมา มงคลสัมฤทธิ์
tu.sirima@gmail.com
นนท์ธิยา หอมขํา
nontiya.h@fph.tu.ac.th
<p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาสถานการณ์และความสัมพันธ์ของจำนวนฟันถาวร คู่สบฟันหลัง และภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในผู้สูงอายุ จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุระหว่าง 60 - 80 ปี จำนวน 595 คน ผู้วิจัยสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยใช้แบบสอบถาม การประเมินภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ทั้งแบบคัดกรอง SARC-F การวัดแรงบีบมือโดยใช้ Handgrip และแบบประเมินสภาวะช่องปาก ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการถดถอยโลจิสติคทวิ ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุในการศึกษานี้เป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.58 เพศชาย ร้อยละ 30.42 อายุเฉลี่ย 68.25 ± 5.87 ปี มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ร้อยละ 25.55 โดยเพศหญิงพบ ร้อยละ 29.95 และเพศชาย ร้อยละ 15.47 พบมากที่สุดกลุ่มอายุ 80 ปี ร้อยละ 58.06 เมื่อควบคุมอิทธิพลของปัจจัยอื่น ๆ พบว่า จำนวนฟันถาวรที่มีเหลือมากหรือน้อยมีความสัมพันธ์กับภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย (P value = 0.005) โดยจำนวนฟันถาวร 0 - 9 ซี่/คน 1.90 เท่า (Adjusted OR = 1.90, 95% CI = 1.12 - 3.25) จำนวนฟันถาวร 10 - 19 ซี่/คน 2.29 เท่า (Adjusted OR = 2.29, 95% CI = 1.36 - 3.84) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีจำนวนฟันถาวร 20 - 32 ซี่/คน จำนวนคู่สบฟันหลังไม่พบความสัมพันธ์กับภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ดังนั้นควรมีการคัดกรองสุขภาพช่องปากและภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในผู้สูงอายุในชุมชน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมาก มีโรคประจำตัว และรวมทั้งส่งเสริมการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอและกิจกรรมทางกาย</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/271141
ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจถ่ายโอนภารกิจของบุคลากรในโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล สู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย
2024-08-20T15:53:12+07:00
ลลิตา สุทธิสร
sutthisorn89@gmail.com
มยุรินทร์ เหล่ารุจิสวัสดิ์
Sutthisorn89@gmail.com
<p>การศึกษาเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความตั้งใจที่จะถ่ายโอนภารกิจ และศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อระดับความตั้งใจที่จะถ่ายโอนภารกิจของบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 210 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 และแบบสอบถามแต่ละส่วนมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง 0.929 - 0.948 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะถ่ายโอนภารกิจในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อยู่ในระดับปานกลาง และปัจจัยที่มีผลต่อระดับความตั้งใจที่จะถ่ายโอนภารกิจของบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ได้แก่ ประเภทตำแหน่ง นโยบายและการบริหาร วิธีปกครองบังคับบัญชาหรือการนิเทศงาน ความสำเร็จในงานของบุคคล และความก้าวหน้าในตำแหน่ง<br>การงาน โดยสามารถพยากรณ์ความผันแปรความตั้งใจที่จะถ่ายโอนภารกิจ คิดเป็นร้อยละ 59.60</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/270456
ความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในตำบลสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์
2024-08-05T09:35:48+07:00
สุรศักดิ์ ธรรมรักษ์เจริญ
surasak.th@ksu.ac.th
จุฑามาศ เจียมสาธิต
surasak.th@ksu.ac.th
ธนูย์สิญจน์ สุขเสริม
surasak.th@ksu.ac.th
บุษกร สุวรรณรงค์
surasak.th@ksu.ac.th
สนธยา ไสยสาลี
surasak.th@ksu.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross–sectional Descriptive Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในตำบลสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 300 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความเชื่อด้านสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันตนเอง<br />จากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถาม ด้านความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และด้านความเที่ยง โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ 0.79 และ 0.74 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวส่วนใหญ่มีความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับสูง เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่าการรับรู้โอกาสเสี่ยงจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การรับรู้ความรุนแรงจากอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การรับรู้ต่ออุปสรรคในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยรวม มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว<br />ในตำบลสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ดังนั้นควรมีการสร้างโปรแกรมความเชื่อด้านสุขภาพเพื่อใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และศึกษาผลของโปรแกรมที่สร้างขึ้น</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/270530
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ต.หนองงูเหลือม อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา
2024-10-01T10:18:56+07:00
สุดา หันกลาง
suda_han@vu.ac.th
สมพงษ์ ลือกลาง
suda_han@vu.ac.th
สายสุนีย์ เลิศกระโทก
suda_han@vu.ac.th
ศุลีกร ศิวเสน
suda_han@vu.ac.th
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลหนองงูเหลือม อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา เก็บข้อมูลจาก อสม. ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 175 คน โดยใช้แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. (ค่าความเชื่อมั่น .78) และแบบวัดสมรรถนะการดูแลผู้สูงอายุของ อสม. (ค่าความเชื่อมั่น .93) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และตัวแบบการถดถอยแบบมัลติโนเมียลลอจิสติก ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุระดับปานกลาง ร้อยละ 58.3 <br />การสื่อสารสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. สามารถทำนายการมีสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุในระดับปานกลาง (OR = 1.562, 95%CI: 1.020 - 2.393) และระดับสูง (OR = 1.832, 95%CI: 1.154 - 2.906) และการจัดการตนเองตามหลัก 3อ.2ส. สามารถทำนายการมีสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุในระดับสูงได้ (OR = 1.530, 95%CI: 1.048 - 2.235) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < .05) ดังนั้น ควรให้การส่งเสริมสมรรถนะของ อสม. ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุด้วยการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารสุขภาพและด้านการจัดการตนเองตามหลัก 3อ2ส. ให้เกิดประสิทธิภาพและจะนำไปสู่การเกิดผลลัพธ์ที่ดีในการดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชนต่อไป</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/268511
การประเมินความปลอดภัยทางถนนด้วยแบบสำรวจความปลอดภัยทางถนนสำหรับทางหลวงท้องถิ่นกรณีศึกษาพื้นที่ตำบลโพประจักษ์ อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี
2024-03-06T13:50:11+07:00
ชวินทร มัยยะภักดี
m.chavin@fph.tu.ac.th
นนท์ธิยา หอมขำ
nontiya.h@fph.tu.ac.th
<p>อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในคนไทย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนนอกเหนือจากคนขับและสภาพรถแล้ว ยังมีปัจจัยทางด้านสภาพถนนและสิ่งแวดล้อมทางถนนที่ไม่ปลอดภัยอีกด้วย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความปลอดภัยของถนนและสิ่งแวดล้อมทางถนน โดยใช้รูปแบบการศึกษาเชิงสำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยสำรวจสภาพถนนทุกๆ 200 เมตร บนถนนสายหลักจำนวน 3 เส้น ในพื้นที่ตำบลโพประจักษ์ จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยแบบสำรวจความปลอดภัยทางถนนสำหรับทางหลวงท้องถิ่น ของกรมทางหลวงชนบท วิเคราะห์ค่าความปลอดภัยบนทางหลวงท้องถิ่น (Local Road Safety Index : LRSI) ด้วยสถิติพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า ความปลอดภัยบนทางหลวงท้องถิ่นทั้ง 3 เส้นทางหลักของหมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 ในพื้นที่ตำบลโพประจักษ์ จังหวัดสิงห์บุรี อยู่ในระดับความปลอดภัยดีและดีมาก ทั้งนี้ถนนเส้นทางที่ 1 มีค่า LRSI ร้อยละ 90.54 (ระดับความปลอดภัยของถนนอยู่ในระดับดีมาก) เส้นทางที่ 2 มีค่า LRSI ร้อยละ 82.32 (ระดับความปลอดภัยของถนนอยู่ในระดับดี) และเส้นทางที่ 3 มีค่า LRSI 0ร้อยละ 76.83 (ระดับความปลอดภัย<br />ของถนนอยู่ระดับดี) จากการประเมินสิ่งแวดล้อมทางถนน พบว่า มีจุดเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยทางถนน ได้แก่ อุปกรณ์ แจ้งเตือนบริเวณทางเชื่อมหรือทางโค้งไม่ครบถ้วน มีสิ่งกีดขวางบดบังเส้นทาง ขาดไฟฟ้าส่องสว่างทาง และสภาพผิวทางไม่เรียบ ดังนั้นการดูแลสภาพถนนให้คงสภาพความปลอดภัยในระดับดีถึงดีมากอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรดำเนินการประเมินความปลอดภัยทางถนนเป็นประจำทุกปี และเพิ่มมาตรการในการลดจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JMPH4/article/view/274932
ผลของอุณหภูมิของยาชาต่อปริมาณยาตีบหลอดเลือดที่ใช้ในการระงับความรู้สึก โดยการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังในการผ่าตัดคลอดแบบไม่เร่งด่วน
2024-10-30T14:03:25+07:00
จุฑารัตน์ เอี่ยมศิริ
jrermluk24@gmail.com
<p>ภาวะความดันโลหิตต่ำภายหลังจากการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังในผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องเป็นภาวะที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติและต้องใช้ยา vasopressor รักษาภาวะความดันโลหิตต่ำเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการใช้ heavy bupivacaine ที่อุณหภูมิ 25 และ 37 องศาเซลเซียส ต่อปริมาณการใช้ยา vasopressor ในการรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำว่าในกลุ่ม heavy bupivacaine ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส จะใช้ vasopressor ปริมาณน้อยกว่าหรือไม่ วิธีการศึกษาเป็นการศึกษาไปข้างหน้าแบบสุ่ม (randomized control trial) ในหญิงตั้งครรภ์เดี่ยวที่มารับการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องแบบไม่เร่งด่วน ASA I-II ทั้งหมด 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังด้วยด้วย 0.5% heavy bupivacaine 11 mg with morphine 0.2 mg รวมปริมาณยา 2.2 mL ที่ 25 องศาเซลเซียส (กลุ่ม H1) จำนวน 30 คน และกลุ่มทดลองที่ได้รับการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังด้วยด้วย 0.5% heavy bupivacaine 11mg with morphine 0.2 mg รวมปริมาณยา 2.2 mL ที่ 37 องศาเซลเซียส (กลุ่ม H2) จำนวน 30 คน ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลทั่วไปของประชากรทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกัน หลังจากการทำการระงับความรู้สึกแล้วพบว่าระยะเวลาหลังจากเริ่มทำการ spinal block จนถึงช่วงเวลาที่เริ่มเกิดความดันต่ำและใช้ vasopressor พบว่าในกลุ่ม H1 เริ่มพบผู้ป่วยความดันต่ำและได้รับยาที่นาทีที่ 3 ส่วนในกลุ่ม H2 เริ่มพบผู้ป่วยความดันต่ำเร็วกว่าและได้รับยาตั้งแต่นาทีที่ 1 หลังทำการ spinal block ในกลุ่ม H1 มีผู้ป่วยที่ความดันโลหิตต่ำและได้รับยา vasopressor (Ephedrine) จำนวน 15 คน คิดเป็นปริมาณยาเฉลี่ย 28.67 mg ส่วนในกลุ่ม H2 มีผู้ป่วยที่ความดันโลหิตต่ำและได้รับยา Ephedrine มีจำนวนมากกว่ากลุ่ม H1 คือมีจำนวน 18 คน แต่เมื่อคิดเป็นปริมาณยาเฉลี่ยแล้วกลับ พบว่าน้อยกว่า คือ 21.33 mg อย่างไรก็ตามเมื่อดูตามค่าทางสถิติแล้วพบว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้ ใช้ปริมาณยาไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุขเขต 4