https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/issue/feedวารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต2025-09-29T15:43:34+07:00Associate Professor Sasitorn Bejrachandra, MD /Associate Professor Noppacharn Uaprasert, MDnbcjournal@gmail.comOpen Journal Systems<p><strong>วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต</strong></p> <p>ISSN 2985-2390 (Print)</p> <p>ISSN 2985-2404 (Online) (Since October 2023)</p> <p>วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต เป็นวารสารทางการของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการทางโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตระดับนานาชาติ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน พัฒนางานเขียนของนักวิจัย เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นระหว่างผู้ร่วมวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อเผยแพร่กิจกรรมและข่าวสารทางวิชาการของทั้งสององค์กร</p>https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/279130CD20 expression in plasma cell neoplasm and B-cell non-Hodgkin lymphoma with plasmacytic differentiation: insights into aberrant markers2025-08-20T09:15:41+07:00Narongdej Poonsombudloetnarongdej.poon@gmail.comSanya Sukpanichnantsanya.suk@mahidol.ac.thPreeyawat Ngamdamrongkiat preeyawat.nga@outlook.com2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/282847Editor's note2025-09-29T14:36:10+07:00ศศิธร เพชรจันทรsasitorn.bej@mahidol.ac.thนภชาญ เอื้อประเสริฐnoppacharn.u@chula.ac.th<p>-</p>2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/282848Apheresis: blood component separation and therapeutic application2025-09-29T14:41:23+07:00นิภาพรรณ ลี้ตระกูลnipapan_lee@nation.ac.th<p>-</p>2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/281829Infections in Lymphoma patients2025-08-20T12:08:31+07:00Chinadol WanitpongpunChinwanit@yahoo.com2025-08-20T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/282850DAT positive: related factors and management 2025-09-29T14:53:20+07:00สาริกา เมฆฉายsarika.m@redcross.or.thดุษฎี ภูรีกุลdussadee.p@redcross.or.th<p>-</p>2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/280740การศึกษาเปรียบเทียบอัตราการสูญเสียเกล็ดเลือดระหว่างเก็บเซลล์ต้นกำเนิดด้วยเครื่องแยกส่วนประกอบโลหิตแบบอัตโนมัติ2025-07-02T10:00:33+07:00ขวัญเรือน ชำนาญโพธิ์ kkkwan_nid@hotmail.comกิติยาลักษณ์ วารีศรีbellly76@gmail.comวรุฒ ชมภูchompoo.warut@gmail.comพรรณดี วัฒนบุญยงเจริญphandee_lee@yahoo.com<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>บทนำ</strong> การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด เป็นหนึ่งในการรักษามาตรฐานสำหรับมะเร็งทางโลหิตวิทยา โดยเครื่องปั่นแยกส่วนประกอบโลหิตอัตโนมัติถูกนำมาใช้สำหรับเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากกระแสเลือด อย่างไรก็ตาม การสูญเสียเกล็ดเลือดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ <strong>วัตถุประสงค์</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตราการสูญเสียเกล็ดเลือดระหว่างเครื่องแยกเซลล์อัตโนมัติสองรุ่น (Amicus และ COM.TEC) ในการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อให้คำแนะนำสำหรับการเลือกใช้เครื่องมือในผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำหรือมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออกผิดปกติ <strong>วัสดุและวิธีการ</strong> เป็นการวิจัยย้อนหลังในผู้ป่วยโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาจำนวน 60 รายที่ต้องการการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายตัวเอง โดยใช้เครื่องแยกเซลล์เม็ดเลือดสองชนิด แล้วจึงวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณเกล็ดเลือดของผู้ป่วยก่อนและหลังการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด <strong>ผลการศึกษา</strong> เครื่องปั่นแยกส่วนประกอบโลหิตแต่ละเครื่องถูกใช้ในการเก็บเซลล์จากผู้ป่วยจำนวนเครื่องละ 30 ราย ค่ามัธยฐาน (ควอร์ไทล์ที่1-ควอร์ไทล์ที่3)ของปริมาณเกล็ดเลือด ในผู้ป่วยที่ใช้เครื่อง Amicus คือ 95 (83-127) x 10³/µL ก่อนการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด และ 85 (65-110) x 10³/µl หลังการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด ดังนั้นจึงมีการสูญเสียเกล็ดเลือด 14.0 (3.5-20.7) % สำหรับผู้ป่วยที่ใช้เครื่อง COM.TEC คือ 87 (67-108) x 10³/µL ก่อนการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด และ 64 (50-85) x 10³/µL หลังการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด ส่งผลให้มีการสูญเสียเกล็ดเลือด 26.5 (19.3-29.6)% โดยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการสูญเสียเกล็ดเลือดระหว่างเครื่องแยกเซลล์เม็ดเลือดสองชนิด ที่ <em>p</em> < 0.05 ไม่พบภาวะแทรกซ้อนทางคลินิกที่มีนัยสำคัญระหว่างการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดด้วยเครื่องทั้งสองชนิด <strong>สรุป</strong> อัตราการสูญเสียเกล็ดเลือดต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในผู้ป่วยที่ใช้เครื่อง Amicus เมื่อเทียบกับเครื่อง COM.TEC โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนรุนแรงระหว่างการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเกล็ดเลือดต่ำควรเก็บเซลล์ต้นกำเนิดด้วยเครื่อง Amicus เพื่อลดอัตราการสูญเสียเกล็ดเลือด</p> <p><strong>Abstract</strong><strong>:</strong></p> <p><strong>Introduction</strong><strong>: </strong>Hematopoietic stem cell transplantation (HSCT) is one of the standard treatments for hematologic malignancies. Automated blood cell separators are used to collect <strong>hematopoietic</strong> stem cells from peripheral blood. However, platelet loss remains a challenge. <strong>Objective</strong>: This study aims to compare the rate of platelet loss between two automated blood cell separators, COM.TEC and Amicus, in patients undergoing autologous peripheral blood stem cell collection (PBSC), in order to provide recommendations for device selection in patients with thrombocytopenia or those with high bleeding risk. <strong>Materials and Methods</strong><strong>: </strong>This is a retrospective study in 60 hematologic malignancy patients requiring autologous PBSC, pre-leukapheresis and post-leukapheresis patients’ data were analyzed.<strong> Results</strong><strong>: </strong>Each device was used in 30 patients. The median platelet count (Q1-Q3) in patients using Amicus was 95 (83-127) x 10<sup>3</sup>/µL before collection and 85 (65-110) x 10<sup>3</sup>/µL after collection, resulting in a platelet loss of 14.0 (3.5-20.7) %. In patients using COM.TEC, the median platelet count was 87 (67-108) x 10<sup>3</sup>/µL before collection and 64 (50-85) x 10<sup>3</sup>/µL after collection, resulting in a platelet loss of 26.5 (19.3-29.6)%. There was a statistically significant difference in platelet loss between the two blood cell separators at <em>p</em> < 0.05. No significant complications were observed in either device. <strong>Conclusion</strong><strong>: </strong>The platelet loss rate was statistically lower in those using Amicus compared to COM.TEC. No severe complications were observed. Therefore, Amicus device may be recommended over COM.TEC device for PBSC in patients with low pre-apheresis platelet counts or those at risk of thrombocytopenia.</p>2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/281403การทำนายฟีโนไทป์หมู่เลือดระบบ Duffy จากการตรวจจีโนไทป์ในผู้บริจาคเลือดคนไทยภาคใต้2025-08-04T10:53:42+07:00อรฤดี ขันติสิทธิพรonruedee.k@allied.tu.ac.thธนภรณ์ ช้อยฉิมพลีbellotorfor@gmail.comกัมพล อินทรนุชkamphon.int@gmail.comสุภัตตรา มิถุนดีsupattra.m@redcross.or.thกันตภณ กลับอำไพkantaphon.gla@mahidol.ac.thอ้อยทิพย์ ณ ถลางoytipntl@hotmail.com<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>บทนำ</strong> หมู่เลือดระบบ Duffy (FY) เป็นหมู่เลือดที่มีความสำคัญในด้านเวชศาสตร์การบริการโลหิต เนื่องจากความเสี่ยงของการเกิด Fy<sup>a</sup> และ Fy<sup>b </sup>alloimmunization ภายหลังจากการได้รับเลือดหรือการตั้งครรภ์ การตรวจแอนติเจนทั้ง Fy<sup>a</sup>, Fy<sup>b</sup> และ Fy<sup>x</sup> พบความผิดพลาดเมื่อใช้การตรวจด้วยวิธีซีโรโลยี ดังนั้นจึงมีการประยุกต์ใช้การตรวจจีโนไทป์เพื่อระบุอัลลีล <em>FY*A</em> และ <em>FY*B</em> เพื่อทำนายเป็นฟีโนไทป์ <strong>วัตถุประสงค์ </strong>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจอัลลีล <em>FY*A</em> และ <em>FY*B </em>เพื่อทำนายเป็นฟีโนไทป์ของ FY และตรวจหาอัลลีล FY*X ในผู้บริจาคเลือดคนไทยภาคใต้ <strong>วัสดุและวิธีการ </strong>ใช้ตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้บริจาคเลือดคนไทยภาคใต้ จำนวน 427 ราย มาทำการตรวจจีโนไทป์เพื่อระบุอัลลีล <em>FY*A</em> และ <em>FY*B </em>ด้วยวิธีพีซีอาร์ เอสเอสพี ตัวอย่างที่เป็นจีโนไทป์แบบ <em>FY*A</em>/<em>B</em> และ <em>FY*B/B</em> จะตรวจยืนยันเพิ่มเติมด้วยวิธี DNA sequencing เพื่อตรวจหาอัลลีล <em>FY*X </em> <strong>ผลการศึกษา</strong> ความถี่ของอัลลีล <em>FY*A</em>, <em>FY*B</em> และ <em>FY*B<sup>ES</sup></em> เท่ากับ 0.854, 0.145 and 0.001 ตามลำดับ ถึงแม้ว่าฟีโนไทป์แบบ Fy(a–b–) ไม่พบในการศึกษาครั้งนี้ แต่มีผู้บริจาคเลือด 1 ราย ที่พบว่ามีจีโนไทป์แบบ <em>FY*A</em>/<em>B<sup>ES</sup></em> ความถี่ของจีโนไทป์แต่ละชนิดคือ <em>FY*A</em>/<em>A</em> (72.83%), <em>FY*A</em>/<em>B</em> (24.82%), <em>FY*B</em>/<em>B</em> (2.11%) และ <em>FY*A</em>/<em>B<sup>ES</sup></em> (0.23%). ตามลำดับ ตัวอย่างจำนวน 114 ราย ที่มีจีโนไทป์เป็น <em>FY*A</em>/<em>B</em> และ <em>FY*B</em>/<em>B</em> ได้นำมาตรวจหาลำดับเบสเพื่อหาอัลลีล <em>FY*X</em> แต่พบว่ามีตำแหน่งของนิวคลีโอไทด์ที่พบความเปลี่ยนแปลงเฉพาะ c.298G>A ซึ่งไม่ส่งผลต่อการแสดงออกของแอนติเจน Fy<sup>b </sup> ความเสี่ยงของการเกิด alloimmunization ต่อ Fy<sup>a</sup> และ Fy<sup>b </sup>ในคนไทยภาคใต้สูงกว่าคนไทยภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกลุ่มประชากรเอเชียอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) <strong>สรุป</strong> ความถี่ของอัลลีล <em>FY*A</em> และ <em>FY*B</em> ที่สูงในคนไทยภาคใต้ส่งผลต่อความเสี่ยงของการเกิด alloimmunization จากการได้รับเลือด ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจจีโนไทป์ของ FY เพื่อลดปัญหาปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์จากการได้รับเลือด และเพิ่มความปลอดภัยในการให้เลือดต่อไป</p> <p><strong>Abstract: </strong></p> <p><strong>Background and Objectives:</strong> The Duffy (FY) blood group system is important in transfusion medicine due to the risk of alloimmunization from Fy<sup>a</sup> and Fy<sup>b</sup> antigens after transfusion or pregnancy. Serological testing can misinterpret Fy<sup>a</sup>, Fy<sup>b</sup>, and Fy<sup>x</sup> antigens; therefore, genotyping of <em>FY*A</em> and <em>FY*B</em> alleles is applied to accurately predict FY phenotypes. This study aimed to determine <em>FY*A</em> and <em>FY*B</em> allele frequencies, predict FY phenotypes, and assess the presence of the <em>FY*X</em> allele in Southern Thai blood donors. <strong>Materials and methods:</strong> Altogether, 427 DNA samples of blood donors in Southern Thailand were genotyped using in-house PCR with sequence-specific primers (PCR-SSP) to detect <em>FY*A</em> and <em>FY*B</em> alleles. Samples with <em>FY*A</em>/<em>B </em>and <em>FY*B</em>/<em>B </em>genotypes were confirmed and used to determine the <em>FY*X</em> allele by DNA sequencing. <strong>Results:</strong> The <em>FY*A</em>, <em>FY*B</em> and <em>FY*B<sup>ES</sup></em> allele frequencies were 0.854, 0.145 and 0.001, respectively. Although the Fy(a–b–) phenotype was not observed, one donor was identified as possessing the <em>FY*A</em>/<em>B<sup>ES</sup></em> genotype. Genotype frequencies were <em>FY*A</em>/<em>A</em> (72.83%), <em>FY*A</em>/<em>B</em> (24.82%), <em>FY*B</em>/<em>B</em> (2.11%) and <em>FY*A</em>/<em>B<sup>ES</sup></em> (0.23%). Those 115 samples with <em>FY*A</em>/<em>B</em> and <em>FY*B</em>/<em>B</em> genotypes, <em>FY*X</em> allele screening revealed variation only at c.298G>A, which did not affect Fy<sup>b</sup> antigen expression. Fy<sup>a</sup> and Fy<sup>b </sup>alloimmunization risks were significantly higher in Southern Thais compared to Central and Northern Thais and other Asian populations (<em>p</em> < 0.05). <strong>Conclusion:</strong> The high frequency of the <em>FY*A</em> and <em>FY*B</em> alleles among Southern Thais contributes to transfusion-induced alloimmunization risks. Consequently, FY genotyping is suggested to minimize transfusion reactions and improve blood transfusion safety</p>2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/276387ผลกระทบของวัณโรคปอดต่ออัตราการอยู่รอดโดยรวมในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-cell non-Hodgkin2025-04-09T09:00:07+07:00ปิยะพงษ์ กัญญาpiyapong_kanya@hotmail.comวรรัตน์ อิ่มสงวนminkworat@gmail.comปิยาภรณ์ ศิริจันทร์ชื่นsiripiyaporn@gmail.com<p><strong>บทนำ </strong>ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-cell non-Hodgkin lymphoma (B-cell NHL) มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นวัณโรคปอดระหว่างการรักษา ทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาแย่ลง <strong>วัตถุประสงค์</strong> เปรียบเทียบอัตราการอยู่รอดโดยรวมที่ 3 ปี ของผู้ป่วย B-cell NHL ที่เป็นวัณโรคปอดกับไม่เป็นวัณโรคปอด และความสัมพันธ์ระหว่างวัณโรคปอดกับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในผู้ป่วย B-cell NHL <strong>วัสดุและวิธีการ </strong>ศึกษาย้อนหลัง ในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ถึงเดือนธันวาคม 2566 เพื่อวิเคราะห์อัตราการอยู่รอดโดยรวมที่ 3 ปีด้วย Kaplan-Meier method วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างวัณโรคปอดกับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วย cox proportional hazards models <strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วย B-cell NHL 415 ราย อายุเฉลี่ย 58.96 ปี พบ เป็นวัณโรคปอด 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.58 หลังการวินิจฉัยและระหว่างการรักษา ผู้ป่วย B-cell NHL ที่เป็นวัณโรคปอดมีอัตราการอยู่รอดโดยรวมที่ 3 ปี แย่กว่าผู้ป่วยที่ไม่เป็นวัณโรคปอด (ร้อยละ 22.39 เทียบกับ ร้อยละ 55.11, <em>p</em> < 0.001) วัณโรคปอดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต 1.80 เท่า (HR, 1.80, 95% CI, 1.01-3.21) <strong>สรุป</strong> วัณโรคปอดในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-cell NHL สัมพันธ์กับอัตราการอยู่รอดที่แย่ลง และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ</p>2025-05-27T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/276481การวิเคราะห์เปรียบเทียบวิธีการวินิจฉัยภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD: Fluorescent Spot Test กับวิธีเชิงปริมาณ2025-03-07T08:47:32+07:00กชปิญชร จันทร์สิงห์kochpinchon2331@gmail.comวิยการณ์ อินทรรุจิกุลwiyakan.int@mahidol.ac.thกัลยา เตชะวณิชย์kalayata@yahoo.comกลีบสไบ สรรพกิจkleebsabai@gmail.comเจษฎา บัวบุญนำ onco008@yahoo.com<p><strong>บทนำ</strong> ภาวะพร่องเอนไซม์กลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (glucose-6-phosphate dehydrogenase, G6PD) เป็นภาวะที่เกิดจากความพร่องของเอนไซม์ในเม็ดเลือดแดง ซึ่งส่งผลกระทบทางสาธารณสุขอย่างมาก การศึกษานี้เปรียบเทียบประสิทธิภาพการวินิจฉัยของวิธี fluorescent spot test (FST) ซึ่งเป็นวิธีเชิงคุณภาพ กับวิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณสองวิธี ได้แก่ วิธีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ และวิธีของ Glock และ McLean (G&Mc) เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือและความเหมาะสมในการส่งตรวจ <strong>วิธีการศึกษา </strong>ตัวอย่างเลือดจำนวน 221 ตัวอย่าง ที่เก็บระหว่างปี พ.ศ. 2552 ถึง 2564 ได้รับการวิเคราะห์ โดยเตรียมสารฮีโมไลเซตภายใต้สภาวะควบคุมเพื่อคงไว้ซึ่งการทำงานของเอนไซม์ วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณใช้การวัดการผลิตสารนิโคตินาไมด์ อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด์ ฟอสเฟต ด้วยสเปกโทรโฟโตเมทรี ในขณะที่วิธี FST ใช้การตรวจสอบด้วยการดูภายใต้แสงอัลตราไวโอเลต คำนวณค่าการทำงานของ G6PD เฉลี่ย และประเมินความไวและความจำเพาะของ FST เทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดโดยวิธีเชิงปริมาณ <strong>ผลการศึกษา</strong> ค่าการทำงานของ G6PD เฉลี่ยปรับตามเพศชายอยู่ที่ 12.6 IU/gHb สำหรับวิธี WHO และ 8.8 IU/gHb สำหรับวิธี G&Mc วิธี FST แสดงความไวและความจำเพาะสูงในทุกเกณฑ์ โดยมีประสิทธิภาพเกือบสมบูรณ์ที่เกณฑ์ ร้อยละ 30 ขึ้นไป <strong>สรุป</strong> วิธี FST เป็นเครื่องมือที่น่าเชื่อถือสำหรับการคัดกรองภาวะพร่อง G6PD ในภาคสนาม โดยแสดงความไวและความจำเพาะที่แม่นยำ ขณะที่วิธีการเชิงปริมาณมีความแม่นยำสูงขึ้นสำหรับการประเมินในรายละเอียด จึงมีบทบาทเสริมกันในกระบวนการวินิจฉัย</p>2025-05-01T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/281476ผลของยีน sD ต่อการแสดงออกของแอนติเจน s2025-08-05T15:18:05+07:00พลอยมณี สุวรรณวุฒิชัยploymanee.s@redcross.or.thปัญญา รัตนกาญกิจpanya.ra@redcross.or.thศิวาพร นามแดงSiwaporn.na@redcross.or.thมรกต เอมทิพย์morakot.e@redcross.or.thศิริลักษณ์ เพียรเจริญsirilak.ph@redcross.or.th<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>หมู่โลหิต MNS มีความสำคัญทางคลินิกในประชากรไทย ซึ่งแตกต่างจากชาวผิวขาว ซึ่งแอนติเจนควบคุมโดยยีน <em>GYPA</em> และ <em>GYPB</em> ที่มีความใกล้เคียงกันมาก ทำให้เกิดลักษณะ gene conversion จากการเปลี่ยนแปลงลำดับเบส (single nucleotide polymorphism; SNPs) หรือการแลกเปลี่ยนระหว่างยีน (hybrid gene) ส่งผลให้มีความหลากหลายของแอนติเจนสูง การตรวจแอนติเจนหมู่โลหิต MNS จึงมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องเฝ้าระวังผลที่ผิดปกติ และตรวจยืนยันด้วยเทคนิคระดับโมเลกุลเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลที่ถูกต้อง s<sup>D </sup>เป็นแอนติเจนในหมู่โลหิต MNS ลำดับที่ 23 ซึ่งเกิดจาก SNPs c.173C > G บนยีน <em>GYPB</em> โดยจัดอยู่ในกลุ่ม low-incidence antigen คือ มีความถี่น้อยกว่าร้อยละ 1 ในประชากร อย่างไรก็ตามการศึกษาความถี่ในคนไทย โดยใช้เทคนิคทางซีโรโลยีพบว่า ความถี่ของแอนติเจน s<sup>D </sup>ในตัวอย่างผู้บริจาคโลหิตหมู่ O คือร้อยละ 2 และมีรายงานแอนติบอดีสามารถทำให้เกิดโรคเม็ดเลือดแดงแตกในทารกแรกเกิดอย่างรุนแรงอีกด้วย นอกจากนี้พบว่า เซลล์เม็ดเลือดแดงที่เป็น s<sup>D</sup>+ ทำให้เกิดการแสดงออกของแอนติเจน s อ่อนลงกว่าการแสดงออกในเซลล์เม็ดเลือดแดงทั่วไป ผู้บริจาคโลหิตชาวไทยรายหนึ่งพบผลการตรวจแอนติเจน s ให้ผลไม่สอดคล้องกันระหว่างการตรวจด้วยน้ำยาสำเร็จรูปที่ต่างโคลนกัน ผลการทดสอบด้วยเทคนิคอณูชีววิทยาด้วยน้ำยาสำเร็จรูปแปลผลแอนติเจน s+ จึงทำการทดสอบ Sanger sequencing พบว่าผู้บริจาคโลหิตรายนี้มี รูปแบบยีนของ <em>GYPB*sD</em> allele แบบ homologous ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลไม่สอดคล้องกันในการตรวจแอนติเจน s นี้ รายงานนี้จึงเป็นรายงานแรกที่มีการกล่าวถึงรูปแบบยีน <em>GYPB*sD</em> allele ในระดับ homozygous ในคนไทย ที่ทำให้เกิดผลลบปลอมในการตรวจแอนติเจน s ด้วยน้ำยา monoclonal anti-s clone P3YAN3</p> <p><strong>Abstract:</strong></p> <p>The MNS blood group system is considered clinically significant in the Thai population, which differs from that observed in the Caucasian populations. It is governed by the highly homologous <em>GYPA</em> and <em>GYPB</em> genes, with high polymorphism from various single nucleotide polymorphisms (SNPs) or gene conversion (hybrid genes). Antigen testing for the MNS blood group system is increasingly intricate and requires vigilance in monitoring for abnormal results, followed by molecular confirmation to ensure accuracy. The s<sup>D</sup> antigen, designated as the MNS23 antigen encoded by c.173C > G of the <em>GYPB</em> gene is classified as a low-incidence antigen with a frequency below 1%. However, serological studies of Thai individuals revealed an s<sup>D</sup> antigen frequency of approximately 2% among random group O blood donors. Notably, s<sup>D</sup> antigen has been reported to cause severe hemolytic disease of the fetus and newborn (HDFN). In addition, s<sup>D</sup>+ red blood cells are associated with altered s antigen expression compared to standard s+ red blood cells. It is crucial to confirm that blood donors do not possess antigens corresponding to the patient’s antibodies before transfusion. A Thai blood donor was observed to have discrepancy s phenotyping using different monoclonal anti-s and molecular technique using commercial kit showed s+ phenotype. Sanger sequencing was performed and revealed this donor has homozygous <em>GYPB*sD</em> allele as the cause of discrepancy results. This report is the first to describe the homozygous <em>GYPB*sD</em> allele causing false negative s phenotyping using monoclonal anti-s clone P3YAN3 in the Thai population.</p> <p> </p>2025-09-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/277391ภาวะไขกระดูกฝ่อร่วมกับเนื้องอกต่อมไทมัส มาเริ่มด้วยภาวะซีดและเกล็ดเลือดต่ำ: รายงานผู้ป่วยและความท้าทายในการรักษา2025-07-25T09:31:02+07:00วรปภัส เฉลิมสุวิวัฒนาการbuagarfield@gmail.comภาสกร เจริญสักสวรรค์phartsakorn.c.01@gmail.comวรายุทธ เหลืองมณีโรจน์mhanoii89@hotmail.comนวลรัตน์ จีระศิริnuanrat.t@gmail.com<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>โรคไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia, AA) คือภาวะที่ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้ เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันทีเซลล์ชนิดซิโตทอกซิก (cytotoxic T cells) โดยทั่วไปมักตรวจไม่พบสาเหตุ แต่อาจเกิดจากปัจจัยบางอย่างเช่น ยา สารเคมี หรือความผิดปกติในการทำงานของภูมิคุ้มกัน เนื้องอกต่อมไทมัส (thymoma) เป็นหนึ่งในก้อนเนื้องอกที่พบบ่อยในช่องอกส่วนหน้า พบว่าสัมพันธ์กับภาวะหรือโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ รวมไปถึงโรคไขกระดูกฝ่อ รายงานผู้ป่วยฉบับนี้นำเสนอกรณีของโรคไขกระดูกฝ่อที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกต่อมไทมัส โดยแสดงรายละเอียดของอาการแสดงทางคลินิก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และลักษณะทางพยาธิวิทยา</p> <p>ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 54 ปี มีประวัติโรคไขมันในเลือดสูง มาพบแพทย์ด้วยอาการหอบเหนื่อยเวลาออกแรงเป็นเวลา 1 เดือน ตรวจร่างกายพบภาวะซีด จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง และอาการแสดงของก้อนที่ปอดข้างซ้าย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีภาวะโลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวปกติแต่มีอัตราส่วนของนิวโทรฟิลต่อลิมโฟไซต์ที่กลับกัน ผลการตรวจไขกระดูกพบว่าไขกระดูกมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดลดลงและ ไม่พบเซลล์เมกะคารีโอไซต์ ผลการตรวจรังสีวิทยาพบก้อนเนื้องอกขนาด 12.7 เซนติเมตรที่ช่องอกส่วนหน้า ผลการตรวจชิ้นเนื้อเข้าได้กับเนื้องอกต่อมไทมัสชนิด AB ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะไขกระดูกฝ่อรุนแรงจากก้อนเนื้องอกต่อมไทมัส ได้รับการรักษาด้วยยา cyclosporine, eltrombopag การให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด และการผ่าตัดเนื้องอกต่อมไทมัส อย่างไรก็ตามผู้ป่วยเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่รุนแรงหลังจากวินิจฉัยเป็นเวลา 4 เดือน</p>2025-08-27T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิตhttps://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/view/278766โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน แสดงอาการคล้ายกับมะเร็งทางโลหิตวิทยา2025-07-03T10:23:28+07:00วรรณพร โรจนปัญญาwannaphorn.rot@cpird.in.th<p>ผู้ป่วยหญิง 43 ปี มีน้ำหนักลดผิดปกติ ในระยะเวลา 6 เดือน ตรวจร่างกายพบต่อมน้ำเหลืองที่คอซ้ายขนาด 0.5 ซม. และที่รักแร้ซ้ายขนาด 2 ซม. ตรวจคลำพบม้ามโต จากการตรวจเลือดพบว่ามีฮีโมโกลบินลดลง โกลบูลินในเลือดสูง จากการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบว่ามี ground glass opacities ที่ปอดส่วนล่างทั้งสองข้าง มีต่อมน้ำเหลืองโตหลายตำแหน่ง คิดถึงภาวะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผลการตรวจเพิ่มเติมไม่พบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากชิ้นเนื้อจากไขกระดูก ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และชิ้นเนื้อตับ แม้ได้รับการสืบค้นอย่างเต็มที่แล้ว ผลทางห้องปฏิบัติการทางภูมิคุ้มกัน เข้าได้กับโรค SLE และ Sjögren’s syndrome หลังให้การรักษาโดยยา corticosteroids hydroxychloroquine น้ำตาเทียม และน้ำลายเทียม อาการของผู้ป่วยดีขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้นกลับมาเท่าเดิม จากผู้ป่วยรายนี้แสดงให้เห็นว่า โรคทางระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ อาจมีอาการและอาการแสดงคล้ายกับโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาอย่างมากได้ แพทย์จึงควรตระหนักและให้การสืบค้นให้ครอบคลุมเพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษาต่อไป</p>2025-08-20T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต