วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR <p>วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี (BCNNON Health Science Research Journal) รับพิจารณาบทความวิชาการ บทความวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา และนวัตกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้อง มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Double blind peer review) โดยกำหนดการออกวารสารทุก 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ (ม.ค.-เม.ย. พ.ค.-ส.ค. และ ก.ย.-ธ.ค.) จำนวนชิ้นงานบทความ 10-12 เรื่อง/ฉบับ </p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี และคณาจารย์ท่านอื่น ในวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> bcnnonjournal@bcnnon.ac.th (Dr. Warongrong Nelson) warongrong.n@bcnnon.ac.th (Dr. Warongrong Nelson) Sat, 30 Aug 2025 20:15:26 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนารูปแบบการพยาบาลอย่างต่อเนื่องในผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/276860 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>การพัฒนารูปแบบการพยาบาลที่มีคุณภาพช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และการเสียชีวิตในผู้สูงอายุ <br />ที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong> : </strong>เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลอย่างต่อเนื่องในผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยและพัฒนา คือ 1) พัฒนารูปแบบฯ โดยวิเคราะห์ปัญหาจากการสนทนากลุ่มและทบทวนข้อมูล 2) พัฒนารูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 30 คน และผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 66 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ของพยาบาลในการพยาบาลผู้สูงอายุฯ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติพยาบาล แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลและผู้สูงอายุฯ แบบบันทึกผลลัพธ์การดูแล วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>รูปแบบฯ ที่พัฒนา ประกอบด้วย 1) แนวทางการคัดกรอง 2) แนวทางการดูแล 3) แนวทางการเคลื่อนย้าย และ 4) คู่มือปฏิบัติการพยาบาล (7 Aspects of care) และประสิทธิผลของรูปแบบฯ พบว่าความพึงพอใจของพยาบาลต่อรูปแบบฯ อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.57, SD 0.54) ความพึงพอใจของผู้สูงอายุต่อรูปแบบฯ อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.06, SD 0.33) คะแนนเฉลี่ยความรู้พยาบาลเกี่ยวกับดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.001) และผลลัพธ์ตัวชี้วัดทางคลินิกดีขึ้นทุกด้าน</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>รูปแบบการพยาบาลฯ ช่วยให้การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด มีความครอบคลุม <br />มีศักยภาพ สามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้สูงอายุ และเพิ่มความพึงพอใจของบุคลากรและผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแล</p> วรินทร์ธร ร่มไทร, พัชรินทร์ วรรณโพธิ์, กันทิมา ขาวเหลือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/276860 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 อายุของมารดา ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การปฏิบัติด้านสุขอนามัย การนอนหลับ และคุณภาพการนอนหลับในสตรีตั้งครรภ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/277232 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การตั้งครรภ์ส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจอาจมีผลต่อคุณภาพการนอนหลับของสตรีตั้งครรภ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอายุของมารดา ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การปฏิบัติด้านสุขอนามัยการนอนหลับ และคุณภาพการนอนหลับในสตรีตั้งครรภ์</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีตั้งครรภ์อายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 129 ราย ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับพิตส์เบิร์ก แบบสอบถามความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และแบบวัดการปฏิบัติด้านสุขอนามัยการนอนหลับ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 72.09 มีอายุระหว่าง 20–30 ปี โดยอายุไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับ (r=0.07, p=0.469) 2) กลุ่มตัวอย่างมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 22.81, S.D.=5.44) และมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับคุณภาพการนอนหลับ (r=0.24, p=0.006) ขณะที่การปฏิบัติด้านสุขอนามัยการนอนหลับอยู่ในระดับต่ำ (ค่าเฉลี่ย = 76.93, S.D.=18.75) และมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับคุณภาพการนอนหลับ (r=0.45, p&lt;0.001) นอกจากนี้ พบว่า ร้อยละ 50.39 ของสตรีตั้งครรภ์มีคุณภาพการนอนหลับอยู่ในระดับไม่เหมาะสม</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: ผลการศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมสุขอนามัยการนอนหลับและการจัดการความวิตกกังวลในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อพัฒนาคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพโดยรวมของสตรีตั้งครรภ์</p> พนิดา ภูตระกูล, จิราวรรณ ดีเหลือ, พรรณพิไล ศรีอาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/277232 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความตั้งใจในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของผู้สูงอายุที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนในจังหวัดร้อยเอ็ด : การศึกษาภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/277498 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษาความตั้งใจในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของผู้สูงอายุที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความตั้งใจในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด-19 ในจังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนาย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 ในจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 100 คน เป็นการศึกษาภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ซึ่งเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสุขภาพทั่วไป ความตั้งใจในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ความเชื่อสุขภาพเกี่ยวกับโรคโควิด–19 และแบบประเมินความกลัวโรคโควิด-19 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติ Mann-Whitney U Test และสถิติการวิเคราะห์ความถดถอยโลจิสติค</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> พบว่าผู้สูงอายุที่ไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด-19 มีคะแนนความตั้งใจในการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.71 (S.D.=2.12) และการรับรู้ประโยชน์ของวัคซีนโรคโควิด-19 สามารถทำนายความตั้งใจในการฉีดวัคซีนวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=1.54, 95% CI=1.14-2.08)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า ผู้สูงอายุที่มีการรับรู้ประโยชน์ของวัคซีนโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น มีความตั้งใจในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงขึ้น</p> ศิริมา พนาดร, พนิดา จันทโสภีพันธ์, โรจนี จินตนาวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/277498 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของแอปพลิเคชันการจัดการรายกรณีต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278026 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> โรคต้อกระจกเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ การรักษาที่สำคัญคือการผ่าตัดต้อกระจก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดหากขาดการดูแลที่เหมาะสม การจัดการรายกรณีผ่านแอปพลิเคชันเป็นแนวทางที่สามารถช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุหลังผ่าตัดต้อกระจก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของแอปพลิเคชันการจัดการรายกรณีต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก</p> <p><strong>วิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research design) ใช้รูปแบบทดสอบก่อน-หลังการทดลอง (Two-groups pretest-posttest design) ผู้สูงอายุอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่มารับการผ่าตัดต้อกระจก ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในเขตภาคกลาง เป็นกลุ่มทดลอง 45 ราย และกลุ่มควบคุม 45 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับการผ่าตัดต้อกระจก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ สถิติทดสอบไคว์แสควร์ และสถิติทดสอบที</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> ผู้สูงอายุที่ใช้แอปพลิเคชันการจัดการรายกรณีมีคะแนนพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001) และมีคะแนนสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผล :</strong> พยาบาลสามารถใช้แอปพลิเคชันการจัดการรายกรณีเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุหลังผ่าตัดต้อกระจก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลต่อเนื่อง</p> เชนจ์ ปรีเปรม, เสาวรส มีกุศล, ปิยะธิดา นาคะเกษียร, สกาวรัตน์ เพ็ชร์ยิ้ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278026 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเจ็บป่วยกับพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในจังหวัดชายแดนใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278386 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>การรับรู้ความเจ็บป่วยที่ถูกต้องเหมาะสมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสมและยังช่วยชะลอการเสื่อมของไต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเจ็บป่วยกับพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในจังหวัดชายแดนใต้</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 <br />ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 84 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามการรับรู้ความเจ็บป่วยของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และแบบสอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอไตเสื่อม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>พบว่าการรับรู้ความเจ็บป่วยกับพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 <br />ในจังหวัดชายแดนใต้ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.42, p&lt;.01)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>การรับรู้ความเจ็บป่วยที่ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 มีพฤติกรรมสุขภาพในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยชะลอการเสื่อมของไตไม่ให้เข้าสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น</p> แวรสลินดา มาหามะ, พัชราวดี ทองเนื่อง, ทวีพร เพ็งมาก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278386 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278715 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกคลอดก่อนกำหนดมีความสำคัญต่อสหสาขาวิชาชีพและครอบครัวทารกคลอดก่อนกำหนด ช่วยลดอัตรากลับมารักษาซ้ำ ค่าใช้จ่ายในการรักษา และระยะวันนอนพักรักษา ณ โรงพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อวิเคราะห์ปัญหา พัฒนารูปแบบ และศึกษาผลลัพธ์รูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) พัฒนาร่างรูปแบบการเตรียมจำหน่าย โดยวิเคราะห์ปัญหา ร่วมกับทีมและสืบค้นวรรณกรรม 2) ทดลองใช้รูปแบบกับพยาบาล จำนวน 17 คน และมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด จำนวน 60 ราย โดยใช้คู่มือ แบบประเมินความรู้และทักษะ และ 3) ประเมินผลการใช้รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Independent t-test วิเคราะห์เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>รูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักน้อยกว่า 1,500 กรัม ประกอบด้วย คู่มือ แนวปฏิบัติการพยาบาล และแบบบันทึกผลลัพธ์ ผลการวิจัยพบว่า มารดากลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้และทักษะการดูแลสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.001) และมีความพึงพอใจในระดับมาก หลังใช้รูปแบบใหม่ อัตราการกลับมารักษาซ้ำลดลงร้อยละ 20 ลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 171,529.60 บาทต่อราย และจำนวนวันนอนพักรักษา ณ โรงพยาบาลลดลงเฉลี่ย 21.5 วันต่อราย</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>รูปแบบการวางแผนจำหน่ายสำหรับทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 1,500 กรัม ใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดอย่างต่อเนื่อง โดยสื่อสารร่วมกันระหว่างทีมสหสาขาและครอบครัวทารกคลอดก่อนกำหนด เพื่อส่งเสริมศักยภาพมารดาในการดูแลทารกที่บ้าน</p> กันทิมา ขาวเหลือง, อารยา มันตราภรณ์, รุจิเรข จันทร์ชอน, ณัฐฐาทิพย์ ทะกา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278715 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้แอปพลิเคชัน SDU Brain Training ต่อความรู้การป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278948 <p><strong>บทนำ :</strong> ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ดังนั้น การใช้แอปพลิเคชันในผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันภาวะสมองเสื่อม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาผลของแอปพลิเคชัน “SDU Brain Training” ต่อความรู้การป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยง และศึกษาความพึงพอใจในการใช้แอปพลิเคชัน</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย :</strong> การวิจัยกึ่งทดลอง แบบ Two group pretest posttest design กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุในจังหวัดสุพรรณบุรี สุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 60 คน เครื่องมือ ได้แก่ แอปพลิเคชัน SDU Brain Training แบบประเมินความพึงพอใจ แบบประเมินความรู้การป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยง แบบประเมินประสิทธิผลแอปพลิเคชัน และแบบทดสอบสภาพสมอง AMT ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติทดสอบ t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> หลังการใช้แอปพลิเคชัน กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (M=14.23 SD=.82, M=11.93 S.D.=1.41) มีระดับความพึงพอใจต่อการใช้แอปพลิเคชันโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.90, SD=.40) ผลของการประเมินประสิทธิผลการใช้แอปพลิเคชันมีระดับคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด (M=4.66, SD=.42) ข้อมูลด้านการเป็นแอปพลิเคชันให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ สามารถพัฒนาการรู้คิดและป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้อย่างเหมาะสม มีคะแนนเฉลี่ยระดับมากที่สุด (M=4.83, SD=.38)</p> <p><strong>สรุปผล :</strong> แอปพลิเคชั่น “SDU Brain Training” สามารถนำไปใช้ในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงได้</p> เรณู ขวัญยืน, ณัฐรพี ใจงาม, ดวงเนตร ธรรมกุล, อรนุช ชูศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/278948 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาบทบาทของศูนย์วิชาการในการสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/279425 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กระทรวงสาธารณสุขมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของรพ.สต. เพื่อส่งเสริมให้การบริการสุขภาพปฐมภูมิมีคุณภาพมากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาบทบาทของศูนย์วิชาการในการสนับสนุนการดำเนินงานของรพ.สต. ในสังกัดอบจ.</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> วิจัยเชิงคุณภาพ คัดเลือกพื้นที่ในการศึกษาแบบชั้นภูมิ จาก 1 จังหวัดใน 1 เขตสุขภาพที่ศูนย์วิชาการตั้งอยู่จำนวน 5 เขตสุขภาพ ผู้ให้ข้อมูลเป็นบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขและมหาดไทย รวม 151 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม และเวทีรับฟังความคิดเห็น แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.6-1.00 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการจำแนกชนิดข้อมูลและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> ข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาบทบาทของศูนย์วิชาการในการสนับสนุน รพ.สต. ที่ถ่ายโอนภายใต้ อบจ. ดังนี้ 1) สนับสนุนทางวิชาการให้แก่ รพ.สต. ในพื้นที่รับผิดชอบเพื่อผลักดันการดำเนินงานตามตัวชี้วัดและบริการสุขภาพปฐมภูมิอย่างมีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนตามบริบทพื้นที่ 2) บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์วิชาการของแต่ละกรม แล้วจึงประสานงานกับ อบจ. และคณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ ลดความซ้ำซ้อนในการสนับสนุนทางวิชาการให้กับรพ.สต. ที่ถ่ายโอน และ 3) ปรับบทบาทการทำงานร่วมกับอบจ. ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยการกำหนดตัวชี้วัดร่วมกัน เพื่อกำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินงานของรพ.สต. สู่เป้าหมายรพ.สต.คุณภาพ</p> <p><strong>สรุปผล</strong> <strong>:</strong> ศูนย์วิชาการเป็นหน่วยงานสำคัญในการอภิบาลระบบสุขภาพโดยการสนับสนุนวิชาการให้เข้มแข็งมากขึ้นร่วมกับหน่วยบริการสุขภาพในทุกระดับ</p> จิราพร วรวงศ์, ยุพาภรณ์ ติรไพรวงศ์, มณีรัศมิ์ พัฒนสมบัติสุข, พนารัตน์ วิศวเทพนิมิตร, อริณรดา ลาดลา, วีระพงษ์ เรียบพร, เจียมใจ ศรีชัยรัตนกูล, นิภาพร อภิสิทธิวาสนา, พรพรรณ มนสัจจกุล, นงนุช วงศ์สว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/279425 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยใน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/279654 <p><strong>บทนำ</strong> : การใช้ยาไม่สมเหตุผลเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขทั่วโลก ความรอบด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลจะช่วยให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วยอย่างเหมาะสม มีพฤติกรรมการใช้ยาที่ปลอดภัยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> : การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณาเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วยที่เข้ารับบริการหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าและปทุมธานี</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> : กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยสามัญอายุรกรรมและศัลยกรรมจำนวน 155 คน เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและแบบสอบถามพฤติกรรมการใช้ยา ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .96 และ.93 ตามลำดับ ค่าความเชื่อมั่น</p> <p>KR-20 เท่ากับ .85 และ a Cronbach's เท่ากับ .76 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน &nbsp;</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> : พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลของระดับไม่เพียงพอ ( =29.19, SD. 6.77) พฤติกรรมการใช้ยาอยู่ในระดับดี ( =2.18, SD. 0.41) ความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r =.47, p =.000)</p> <p><strong>สรุปผล</strong> : ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยที่นอนรักษาในโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับการรับประทานยาและดูแลตนเองเกี่ยวกับการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ความรอบรู้การใช้ยาอย่างสมเหตุผลด้านความสามารถในการเข้าใจข้อมูลด้านยาและสุขภาพเป็นประเด็นที่ต้องพัฒนาเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสม</p> สารนิติ บุญประสพ, เยาวรัตน์ รุ่งสว่าง, สุจิรา วิเชียรรัตน์, อัญวีร์ เหล็กเพชร, ธนวรรณ โพธิ์เงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/279654 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของชุดการเรียนรู้ เรื่อง การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในทารกแรกเกิดต่อความมั่นใจ ทักษะการฉีดยา และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/279816 <p><strong>บทนำ</strong><strong> : </strong>การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในทารกแรกเกิดเป็นทักษะที่สำคัญในวิชาชีพพยาบาล ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ความมั่นใจ และทักษะที่ถูกต้อง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong> : </strong>เพื่อศึกษาผลของชุดการเรียนรู้ฯ ต่อความมั่นใจ ทักษะการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในทารกแรกเกิด และความพึงพอใจของนักศึกษา</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดี่ยววัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 จำนวน 205 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความมั่นใจในการปฏิบัติทักษะการฉีดยา แบบประเมินความพึงพอใจต่อชุดการเรียนรู้ฯ แบบประเมินทักษะการฉีดยา และชุดการเรียนรู้ เรื่อง การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในทารกแรกเกิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความมั่นใจก่อนและหลังการใช้ชุดการเรียนรู้ฯ โดยใช้สถิติ dependent t-test และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่นใจและทักษะการฉีดยาโดยใช้สถิติ Spearman’s rank correlation coefficient</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong> : </strong>คะแนนเฉลี่ยความมั่นใจในการปฏิบัติทักษะการฉีดยาฯ ภายหลังการใช้ชุดการเรียนรู้ฯ (M=20.13, SD=3.03) สูงกว่าก่อนการใช้ (M=12.29, SD=2.94) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.001) และความมั่นใจภายหลังการใช้ชุดการเรียนรู้ฯ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับคะแนนการปฏิบัติทักษะการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในทารกแรกเกิด (r<sub>s</sub>=.636, <em>p</em>&lt;.001)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>ชุดการเรียนรู้ฯ ช่วยส่งเสริมความมั่นใจและพัฒนาทักษะการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในทารกแรกเกิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> เนตรสุมล จตุรจรรยาเลิศ, สุชาดา เตชวาทกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/279816 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาบทเรียนสอนเสริมออนไลน์ผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์ รายวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น สำหรับนักศึกษาพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/280182 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>ในยุคดิจิทัลการสร้างสื่อเทคโนโลยีทางการเรียนการสอนจะช่วยพัฒนานักศึกษาให้เกิดการเรียนรู้ได้มากขึ้น การพัฒนาบทเรียนผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์จึงเป็นแนวทางหนึ่งเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ในการเรียนรู้แบบนำตนเอง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนาบทเรียนสอนเสริมออนไลน์ผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์ เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน สำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจในการใช้บทเรียนสอนเสริมออนไลน์ผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์พยาบาล 3 คน และนักศึกษาพยาบาล 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบทดสอบวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น แบบสอบถามคุณภาพและความพึงพอใจต่อบทเรียนสอนเสริมออนไลน์ผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติบรรยาย และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนกับหลังเรียนทันทีและหลังเรียน 2 สัปดาห์ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F=23.19, p&lt;.001) บทเรียนสอนเสริมผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์มีคุณภาพในระดับมากที่สุด ( =4.76, SD=0.37) และนักศึกษามีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ( =4.69, SD=0.39)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>บทเรียนสอนเสริมผ่านสื่อแอปพลิเคชันไลน์มีคุณภาพและใช้งานได้ง่ายทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเองส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ดังนั้นสามารถนำมาใช้พัฒนาการเรียนรู้ในรายวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> สุปรีดา มณิปันตี, ศิริพร ชาวสุรินทร์, วราภรณ์ แก้วอินทร์, กิตติศักดิ์ โสภัณ, กุลปริยา ผิวดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/280182 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ทางกายและกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/280342 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>ความรอบรู้ทางกายเป็นปัจจัยที่สำคัญของการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ทางกายและกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ทางกายและกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคมที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 84 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรอบรู้ทางกายผู้สูงอายุ และแบบสอบถามกิจกรรมทางกาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์เพียร์สันในการความความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ทางกายและกิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> พบว่าผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคมมีความรอบรู้ทางกายอยู่ในระดับปานกลาง มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับสูง และความรอบรู้ทางกายมีความสัมพันธ์ทางบวกกับกิจกรรมทางกายในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.377, p&lt;0.01)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาครั้งนี้จะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในสนับสนุนการพัฒนาความรอบรู้ทางกายเพื่อเพิ่มกิจกรรมทางกาย</p> ไตรรัตน์ ช้างชนะ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐธยาน์ สุวรรณคฤหาสน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา ธานะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/280342 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700