วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR <p>วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี (BCNNON Health Science Research Journal) รับพิจารณาบทความวิชาการ บทความวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา และนวัตกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้อง มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Double blind peer review) โดยกำหนดการออกวารสารทุก 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ (ม.ค.-เม.ย. พ.ค.-ส.ค. และ ก.ย.-ธ.ค.) จำนวนชิ้นงานบทความ 14 เรื่อง/ฉบับ </p> วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี th-TH วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี 2985-2501 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี และคณาจารย์ท่านอื่น ในวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ ร่วมกับการประยุกต์ใช้กลวิธีทางสุขศึกษาเพื่อส่งเสริมการป้องกัน การติดเชื้อโควิด 19 ของนิสิตมหาวิทยาลัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/268470 <p><strong>บทนำ</strong><strong> :</strong> พฤติกรรมการป้องกันเชื้อโควิด 19 และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong> :</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของนวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ร่วมกับการใช้กลวิธีทางสุขศึกษาในการส่งเสริมการป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ของนิสิตมหาวิทยาลัย</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong> : </strong>การวิจัยและพัฒนา แบ่งการศึกษาเป็น 2 ระยะ คือ 1) การพัฒนานวัตกรรม โดยยกร่าง และประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน และ 2) การทดลองใช้นวัตกรรม ศึกษาแบบ<br />กึ่งทดลอง วัดก่อน-หลังการทดลอง และติดตามผล 1 เดือน จำนวน 76 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 38 คน เครื่องมือ ประกอบด้วย นวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Repeated measure ANOVA และ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong> : </strong>นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม <br />เป้าหมายของนวัตกรรม หน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นวัตกรรมฯ การประยุกต์ใช้ และเครื่องมือวัดและประเมินผล และรวมถึง 3 กิจกรรมการเรียนรู้ โดยนวัตกรรมมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก และผลของการใช้นวัตกรรม พบว่า กลุ่มทดลองในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผล 1 เดือน มีการรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาสเสี่ยง ความคาดหวังในประสิทธิผลของการป้องกัน การรับรู้ความสามารถในการป้องกัน และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ดีขึ้นกว่าก่อนการทดลองและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> นวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ร่วมกับการประยุกต์ใช้กลวิธีทางสุขศึกษาที่พัฒนามีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ที่ดีขึ้น</p> ธีรพล ผังดี อดิศร ปล้องใหม่ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 1 12 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269946 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาและส่งต่ออย่างทันท่วงที</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนาและประเมินผลลัพธ์ของแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลแม่แตง</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยและพัฒนาใช้กรอบแนวคิดของ Soukup ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) สืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ 3) ทดลองใช้ และ 4) นำแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันไปใช้จริง ตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง คือ พยาบาล 9 คน และผู้ป่วย 26 คน เครื่องมือวิจัย คือ แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ 1) แนวคำถามสนทนากลุ่ม 2) แบบบันทึกเวลา Door to refer time 3) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ประกอบด้วย 1) การคัดกรอง นาทีที่ 1-5 2) การดูแลตามแนวทาง Stroke fast track นาทีที่ 6-10 และ 3) เตรียมการส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ นาทีที่ 11-30 หลังการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ พบว่า ระยะเวลาที่ผู้ป่วยได้รับการดูแลตามแนวทาง Stroke fast track (M=8.15, SD=3.90) ระยะเวลาที่ได้รับการดูแลตั้งแต่แรกรับถึงส่งต่อ (M=29.31, SD=6.88) น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.01) ส่วนระยะเวลาที่ผู้ป่วยได้รับการคัดกรอง (M=5.50, SD= 3.36) ไม่มีความแตกต่างจากเกณฑ์มาตรฐาน และความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.73, SD=0.41)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>แนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> ปิยาภรณ์ นาไวย์ อัมภิชา นาไวย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 13 24 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะอ้วนลงพุง โรคกินไม่หยุด และภาวะซึมเศร้าในนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/270532 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> ภาวะซึมเศร้าของนักศึกษามีสาเหตุจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยส่วนบุคคลและด้านภาวะสุขภาพเป็นปัจจัยเชิงสาเหตุที่สำคัญ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลกับภาวะอ้วนลงพุง โรคกินไม่หยุด และภาวะซึมเศร้าในนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross sectional analytical study) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 366 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อประเมินอาการโรคกินไม่หยุด และแบบประเมินภาวะซึมเศร้า (9Q) ทำการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน 2566 ถึงเดือนมกราคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน เพื่อทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะซึมเศร้าด้วยการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกทวินามแบบพหุ (Multiple binomial logistic regression)</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> นักศึกษาไม่มีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 60.9 และปัจจัยที่มีอิทธิพลกับภาวะซึมเศร้าของนักศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.05) ได้แก่ ปัจจัยความเพียงพอของรายได้ ความรู้สึกเครียดเมื่อถูกล้อเลียนเรื่องรูปร่าง และอาการโรคกินไม่หยุด แต่ไม่พบอิทธิพลของภาวะอ้วนลงพุงต่อภาวะซึมเศร้า</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมและดูแลสุขภาพของนักศึกษา เช่น การจัดบริการให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพจิต การจัดการความเครียดและภาวะซึมเศร้าในนักศึกษา ส่งเสริมให้นักศึกษามีรายได้หรือลดรายจ่าย การส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง ไม่สนับสนุนการล้อเลียนผู้อื่น การป้องกันและจัดการอาการโรคกินไม่หยุด</p> อูน ตะสิงห์ ชลวิภา สุลักขณานุรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 25 36 ความชุกและปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ของหญิงไทยในเขตชุมชนกึ่งเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/271133 <p><strong>บทนำ :</strong> โรคมะเร็งเต้านมพบมากเป็นอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้หญิงไทยโดยเฉพาะในเขตชุมชนกึ่งเมือง การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีการป้องกันและค้นหาความผิดปกติของมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก แต่พบว่าการตรวจเต้านมด้วยตนเองสม่ำเสมอยังมีน้อยซึ่งอาจจะเกิดจากหลายปัจจัย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของหญิงไทยในเขตชุมชนกึ่งเมือง</p> <p><strong>วิธีดำเนินการ</strong><strong>วิจัย :</strong> การวิจัยแบบภาคตัดขวาง ตัวอย่าง คือหญิงไทยที่อยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนกึ่งเมือง 295 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบบตัวแปรเชิงเดี่ยว และแบบตัวแปรเชิงพหุ โดยกำหนดนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> พบว่า ความชุกพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ร้อยละ 96.30 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ได้แก่ อายุมากกว่า 40 ปี ได้รับการศึกษา รายได้มากกว่า 5,000 บาทต่อเดือน ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมระดับปานกลางและระดับสูง ทรัพยากรที่เอื้อ และการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมในเรื่องโรคมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเองระดับสูง</p> <p><strong>สรุปผล :</strong> ผู้เกี่ยวข้องควรส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง จัดหาทรัพยากรที่เอื้อต่อการตรวจ และให้แรงสนับสนับสนุนกระตุ้นเตือนอย่างสม่ำเสมอ จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เชิงรุกให้แก่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่</p> ภัทรนัย ไชยพรม ชิสาพัชร์ ชูทอง ฉัตรสุดา มาทา ศิริพันธ์ หอมแก่นจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 37 48 ผลของโปรแกรมเทคนิคการเดินเร็วแบบยกแขนสูงที่ระดับความหนักปานกลางต่อการลดความเครียดของประชาชนวัยผู้ใหญ่ในชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269300 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>ฮอร์โมนคอร์ติซอล เป็นฮอร์โมนที่เป็นดัชนีชี้วัดทางชีวภาพของภาวะเครียดในวัยผู้ใหญ่ การเดินเร็วแบบยกแขนสูงที่ระดับความหนักปานกลางในวัยผู้ใหญ่เป็นวิธีที่นำมาลดระดับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลโปรแกรมฯ ต่อระดับความเครียดและฮอร์โมนคอร์ติซอลในน้ำลายของผู้ใหญ่</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> วิจัยกึ่งทดลอง แบบวัดก่อน-หลังการทดลอง และระยะติดตามผล 1 เดือน ตัวอย่าง คือ ผู้ใหญ่ จำนวน 64 คน ทำการคัดเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 32 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมเทคนิคการเดินเร็วแบบยกแขนสูงที่ระดับความหนักปานกลาง โดยการเดินเร็วบนพื้นราบวันละ 30 นาที ทำ 3 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ แบบประเมินความเครียด และชุดทดสอบปริมาณฮอร์โมนคอร์ติซอลในน้ำลาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนซ้ำ</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันทีและติดตามผล 1 เดือน กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะเครียดและค่าเฉลี่ยฮอร์โมนคอร์ติซอล แตกต่างกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) และมีคะแนนค่าเฉลี่ยภาวะเครียด และค่าเฉลี่ยฮอร์โมนคอร์ติซอล ก่อนและหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และติดตามผล 1 เดือน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) พบว่า หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันทีและติดตามผล 1 เดือน ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) ส่วนคะแนนเฉลี่ยภาวะเครียดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> บุคลากรทางสุขภาพ นำโปรแกรมฯ ประยุกต์ใช้ได้เพื่อลดระดับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ยชญ์รวินทร์ จรบุรมย์ พัชราภัณฑ์ ไชยสังข์ อนุสรณ์ แน่นอุดร รัชพร ใช้ธูปทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 49 59 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/270346 <p><strong>บทนำ :</strong> การตั้งครรภ์วัยรุ่นเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งร่างกายและจิตสังคม หากสตรีตั้งครรภ์กลุ่มนี้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาจะสามารถเข้าถึง และเข้าใจข้อมูลด้านสุขภาพ ส่งผลให้มีพฤติกรรมสุขภาพและผลลัพธ์การตั้งครรภ์ที่ดี </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย : </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย :</strong> การวิจัยเชิงทำนายแบบตัดขวาง ตัวอย่าง ได้แก่ สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น อายุ 10-19 ปี จำนวน 98 ราย วิธีการเลือกตัวอย่างตามเกณฑ์การคัดเข้า เครื่องมือที่ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดา และใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณ</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> ระดับการศึกษา รายได้ครอบครัว การสนับสนุนทางสังคม จำนวนครั้งของการฝากครรภ์ และจำนวนครั้งของการได้รับคำแนะนำด้านสุขภาพรายกลุ่มในระยะตั้งครรภ์สามารถอธิบายความผันแปรของความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดาได้ร้อยละ 51 (R<sup>2</sup>=.510, F=19.120, p&lt;.001) โดยปัจจัยที่สามารถทำนายความรู้ด้านสุขภาพมารดา ได้แก่ รายได้ครอบครัว การสนับสนุนทางสังคม จำนวนครั้งของการฝากครรภ์ และจำนวนครั้งของการได้รับคำแนะนำด้านสุขภาพรายกลุ่มในระยะตั้งครรภ์</p> <p><strong>สรุปผล :</strong> การส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพมารดานั้น ขึ้นอยู่กับการได้รับข้อมูลด้านสุขภาพที่สำคัญเฉพาะตน เวลาในการได้รับข้อมูลด้านสุขภาพที่เพียงพอ และการได้รับการสนับสนุนทางสังคมที่ดีซึ่งช่วยให้สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นมีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น สามารถดูแลสุขภาพตนเองและทารกได้</p> ศศิพัชร พูลสวัสดิ์ ฤดี ปุงบางกะดี่ เอมพร รตินธร Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 60 71 ขนาดยาซัลแบกแทมในผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อ Acinetobacter baumannii โดยใช้แบบจำลองมอนติคาร์โล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/271035 <p><strong>บทนำ :</strong> <em>Acinetobacter baumannii</em> (<em>A. baumannii)</em> เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ปัจจุบันพบรายงานการดื้อยาเพิ่มมากขึ้น โดยมีคำแนะนำให้ใช้ยาซัลแบกแทมในขนาดสูง แต่การศึกษาในผู้ป่วยเด็กมีจำกัด จึงต้องมีการประยุกต์ใช้ความรู้ทางเภสัชจลนศาสตร์มากำหนดขนาดยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาค่าตัวแปรทางเภสัชจลนศาสตร์ของยาซัลแบกแทมในผู้ป่วยเด็กอายุ 1 ถึง 12 ปี ที่มีการติดเชื้อ <em>A. baumannii</em> และนำมากำหนดขนาดยาที่เหมาะสมโดยใช้แบบจำลองมอนติคาร์โล</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย :</strong> ทบทวนวรรณกรรม เกี่ยวกับเภสัชจลนศาสตร์ และการให้ยาซัลแบกแทมในผู้ป่วยเด็ก นำค่าตัวแปรที่ได้มากำหนดขนาดยาโดยใช้แบบจำลองมอนติคาร์โล และคำนวณค่าร้อยละของเวลาที่ระดับยาในเลือดสูงกว่าค่าระดับยาต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ (MIC) อย่างน้อยร้อยละ 60 แล้วนำมาคิดความน่าจะเป็นที่ระดับยาจะถึงเป้าหมายโดยให้มีค่ามากกว่าร้อยละ 80</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> ที่ค่า MIC น้อยกว่า 2 มก.ต่อลิตร ขนาดยาที่แนะนำคือ 25-200 มก. ต่อ กก. ทุก 4 ชม.และ 150-200 มก. ต่อ กก. ทุก 6 ชม. สำหรับค่า MIC ระหว่าง 4-8 ต่อลิตร ขนาดยา คือ 150-200 มก. ต่อ กก. ทุก 4 ชม. และที่ค่า MIC 16 มก.ต่อลิตร ขนาดยา คือ 200 มก.ต่อ กก. ทุก 4 ชั่วโมง</p> <p><strong>สรุปผล :</strong> ขนาดยาที่ได้เป็นแนวทางในการรักษาการติดเชื้อ <em>A. baumannii </em>ในผู้ป่วยเด็กที่ทำให้ได้ระดับยาถึงดัชนีเป้าหมายมากกว่าร้อยละ 80 ที่ MIC ค่าต่าง ๆ แต่ควรนำไปใช้ด้วยความระมัดระวัง และมีการติดตามอาการทางคลินิกอย่างใกล้ชิด</p> ฐิติณัชช์ เด็ดแก้ว ภูริ เจริญสุข พีรพัฒน์ ทรัพย์พฤทธิกุล วีรยุทธ แซ่ลิ้ม วรพิสิฐ ธีราทร ณิชกานต์ ศุภกิจวณิชกุล Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 72 82 สุนทรียทักษะภาวะผู้นำและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269756 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> การบริหารความเสี่ยงเป็นกลยุทธ์ในการบริหารทางการพยาบาล มุ่งเน้นการให้การพยาบาลตามมาตรฐานของวิชาชีพ ทำให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสุนทรียทักษะภาวะผู้นำ ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และการบริหารความเสี่ยง และศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา 196 คน เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> คะแนนโดยรวมของสุนทรียทักษะภาวะผู้นำและปัจจัยแห่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์ระดับสูง และระดับปานกลางกับการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) ตามลำดับ และสุนทรียทักษะภาวะผู้นำด้านทักษะความสามารถในการนำ ด้านทักษะการวางแผนและจัดองค์การ ด้านทักษะการคิดริเริ่ม และปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความพร้อมและสมัครใจในการมีส่วนร่วมสามารถร่วมกันในการพยากรณ์การบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>สุนทรียทักษะภาวะผู้นำด้านทักษะความสามารถในการนำ ด้านทักษะการวางแผนและจัดองค์การ ด้านทักษะการคิดริเริ่ม และปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความพร้อมและสมัครใจในการมีส่วนร่วมสามารถร่วมกันในการพยากรณ์การบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมาได้</p> ธนัญญา คมพยัคฆ์ ประจักร บัวผัน นพรัตน์ เสนาฮาด ชนาพร ปิ่นสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 83 94 ปัจจัยทำนายทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยครั้งแรก มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269777 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>การฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยครั้งแรกเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับนักศึกษาพยาบาล ซึ่งทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลเป็นสมรรถนะสำคัญในการให้การพยาบาลแก่ผู้รับบริการ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong> : </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแกร่งในชีวิตและทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาล และศึกษาปัจจัยทำนายทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยครั้งแรก</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong> : </strong>วิจัยแบบวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงทำนาย ตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ลงเรียนรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน จำนวน 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความแข็งแกร่งในชีวิต และแบบสอบถามทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาล ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ .98 และ .94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>คะแนนเฉลี่ยความแข็งแกร่งในชีวิตโดยรวม และคะแนนเฉลี่ยทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลโดยรวมอยู่ในระดับมาก และความแข็งแกร่งในชีวิตมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.01) ความแข็งแกร่งในชีวิตเป็นปัจจัยที่ทำนายทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลที่ฝึกปฏิบัติบนหอผู้ป่วยเป็นครั้งแรกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (β=.644, p&lt;.01)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>ความแข็งแกร่งในชีวิตมีความสัมพันธ์เชิงบวก และเป็นปัจจัยทำนายทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยครั้งแรก แสดงให้เห็นว่า นักศึกษาพยาบาลสามารถเผชิญสถานการณ์ปัญหา และประยุกต์ใช้ทักษะการแก้ปัญหาทางการพยาบาลได้</p> เยาวดี สุวรรณาคะ พัดชา ไชยสำแดง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 95 106 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการมารับบริการคลินิกฝังเข็มของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269008 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> คุณภาพการบริการของคลินิกฝังเข็มเป็นสิ่งสำคัญในระบบบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ส่งเสริมให้ผู้มารับบริการเข้าถึงบริการที่ดีและมีคุณภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการมารับบริการคลินิกฝังเข็ม และศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการมารับบริการของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง ตัวอย่าง คือ ผู้รับบริการคลินิกฝังเข็มของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร อายุ 18 ปีขึ้นไปที่มารับบริการคลินิก จำนวน 240 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือ ประกอบด้วย แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล สภาวะสุขภาพกาย ทัศนคติต่อการรักษาด้วยการฝังเข็ม คาดหวังต่อผลลัพธ์ของการรักษาด้วยการฝังเข็ม ความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยการฝังเข็ม และคุณภาพการมารับบริการคลินิกฝังเข็ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบไคว์แสคว์ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์สัมประสิทธิ์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> ระดับคุณภาพการมารับบริการคลินิกฝังเข็มโรงพยาบาลแห่งหนึ่งอยู่ในระดับดี และทัศนคติต่อการรักษาด้วยการฝังเข็ม ความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยการฝังเข็ม สิทธิการรักษา และภาวะสุขภาพกายเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการมารับบริการคลินิกฝังเข็มของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> ทัศนคติ ความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยการฝังเข็ม สิทธิการรักษา และภาวะสุขภาพกายเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการมารับบริการคลินิกฝังเข็มของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ดังนั้นควรมีการพัฒนากลยุทธ์การให้บริการที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง</p> ธัญวรรณ เกิดดอนทราย นพโรจน์ วงศ์พัชรจรัส ณัฐศศิ ฐิติภาสวัจน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 107 118 การพัฒนารูปแบบการดูแลเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของศูนย์สุขภาพชุมชนเครือข่ายโรงพยาบาลสงขลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269136 <p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> รูปแบบการดูแลเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนา เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองในการดูแลเท้าและป้องการเกิดแผลที่เท้า</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลเท้าและศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของศูนย์สุขภาพชุมชน<br />เครือข่ายโรงพยาบาลสงขลา</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา มี 2 ระยะ คือ 1) พัฒนารูปแบบการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ และ 2) ศึกษาประสิทธิผลรูปแบบการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ จำนวน 27 คน เครื่องมือวิจัย คือ รูปแบบการดูแลเท้าที่พัฒนาขึ้น และแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลเท้า วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติทดสอบทีคู่ และสถิติทดสอบวิลคอกซัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>รูปแบบการดูแลเท้า(KUBO) ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) การจัดการความรู้ 2) การดำเนินการจัดการ 3) การจัดการพฤติกรรม และ 4) การบริหารจัดการตัวเราเอง โดยประสิทธิผลหลังใช้รูปแบบการดูแลเท้า พบว่า ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลเท้าของตัวอย่างหลังใช้รูปแบบการดูแลเท้าที่พัฒนาขึ้นเพิ่มขึ้นกว่าก่อนใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (p&lt;.05) การชาที่เท้าซ้ายและเท้าขวาลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (p&lt;.05) และไม่เกิดแผลที่เท้า ร้อยละ 100</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>:</strong> รูปแบบการดูแลเท้า (KUBO) ที่พัฒนาขึ้นใช้เป็นแนวทางส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองในการดูแลเท้า และป้องการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้</p> รวิสรา แก้วกระเศรษฐ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 119 130 การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/268843 <p><strong>บทนํา :</strong> โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จำเป็นต้องจัดระบบบริการสุขภาพอย่างมีมาตรฐาน เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้อย่างมีคุณภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong> :</strong> เพื่อถอดบทเรียน ศึกษาการมีส่วนร่วม และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังของ รพ.สต. ในสังกัด อบจ.</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong> :</strong> การวิจัยผสมผสานแบบคู่ขนาน ตัวอย่างรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,888 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) บุคลากรของ อบจ. จำนวน 38 คน 2) บุคลากรทีมสุขภาพ จำนวน 1,055 คน 3) อสม. จำนวน 393 คน และ 4) ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จำนวน 402 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบสำรวจข้อมูลพื้นฐานระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2) แบบสอบถามการถอดบทเรียนและการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังของ รพ.สต. ในสังกัด อบจ. 3) แบบสนทนากลุ่มและแบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> <strong>:</strong> มีความสอดคล้องกันของข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ของ รพ.สต. ในสังกัด อบจ. มีการจัดระบบบริการเหมือนอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข แต่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งการให้บริการสุขภาพ การสนับสนุนบุคลากรด้านสุขภาพ ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ การเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น ระบบการคลัง และภาวะผู้นำและธรรมาภิบาล</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong> :</strong> รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไปสังกัด อบจ. ในระยะเปลี่ยนผ่านยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างต่อเนื่องตามแนวคิด 6 เสาหลักของระบบบริการสุขภาพ โดยจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุข และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง</p> ปัฐยาวัชร ปรากฎผล พรทิพย์ สำริดเปี่ยม กนกพร แก้วโยธา กนกพร เทียนคำศรี จำรัส สาระขวัญ ศิริพร ครุฑกาศ กฤตพัทธ์ ฝึกฝน ประกาศ เปล่งพานิชย์ สุภาพรรณ บุญสืบชาติ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 131 142 กลยุทธ์จิตวิทยาเชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟ ในการทำงานของพยาบาลหอผู้ป่วย โรงพยาบาลเอกชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269012 <p><strong>บทนำ</strong><strong> : </strong>กลยุทธ์จิตวิทยาเชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงาน ช่วยให้พยาบาลสามารถนำตนเองผ่านพ้นอุปสรรค ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จในการทำงาน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong> : </strong>1) ศึกษาภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงาน 2) ศึกษาผลการใช้กลยุทธ์จิตวิทยาเชิงบูรณาการ</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัย แบบผสานวิธี ตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 50 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 25 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวัดภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงาน 2) แบบสอบถามกลยุทธ์จิตวิทยาเชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงาน และ 3) แบบสัมภาษณ์เชิงจิตวิทยา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา One way ANOVA with repeated measure และสถิติ Two way ANOVA with repeated measure วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>ข้อมูลเชิงปริมาณ พบว่า พยาบาลวิชาชีพมีภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงาน ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับสูง (x̄=2.43, SD=0.29) กลยุทธ์จิตวิทยาเชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงาน ประกอบด้วย กลยุทธ์การจัดการตนเอง กลยุทธ์การปรับเปลี่ยน และกลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนแปลง คะแนนเฉลี่ยภาวะหมดไฟในการทำงานของกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่ากลุ่มทดลองมีความเชื่อมั่นในการบริการงานการพยาบาล สามารถรับรู้ กำกับตนเอง และเห็นคุณค่าในตนเอง</p> <p><strong>สรุปผล : </strong>การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันภาวะหมดไฟในการทำงานพยาบาล ช่วยให้พยาบาลมีความสามารถเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ มีความมั่นใจในตนเองและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่นเพิ่มขึ้น</p> ผุสดี เหนี่ยวพึ่ง ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 143 154 การพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานบูรณาการกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่อการพัฒนาทักษะชีวิตของนักศึกษาพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/269370 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>การพัฒนาทักษะชีวิตในนักศึกษาพยาบาลมีความจำเป็นต่อการปรับตัวในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการเตรียมนักศึกษาเป็นพยาบาลที่ดีและลดการสูญเสียนักศึกษาระหว่างการเรียน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานบูรณาการกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่อการพัฒนาทักษะชีวิตของนักศึกษาพยาบาลและประเมินประสิทธิผลโปรแกรมฯ หลังการจัดการเรียนรู้</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>รูปแบบการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) การพัฒนาโปรแกรม 3) ประเมินประสิทธิผลการใช้โปรแกรม โดยศึกษาจากนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 120 คนระหว่างเดือน ตุลาคม 2565 ถึง มีนาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบประเมินทักษะชีวิตของนักศึกษาพยาบาล 2) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ด้วยสถิติการทดสอบค่าทีและสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>การพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 วัตถุประสงค์หลักของโปรแกรม ส่วนที่ 2 เนื้อหาการเรียนรู้ ส่วนที่ 3 กระบวนการเรียนรู้ผลการประสิทธิผลของโปรแกรม พบว่า 1) หลังการเรียนรู้คะแนนทักษะชีวิตโดยรวมสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมอยู่ระดับมากขึ้นไปทุกด้าน</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานบูรณาการกิจกรรมเสริมหลักสูตรส่งผลให้นักศึกษาพยาบาลมีทักษะชีวิตเพิ่มสูงขึ้น สถานศึกษาพยาบาลควรนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการศึกษา</p> ชุติมา มาลัย สิรภพ โตเสม อรนุช นุ่นละออง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 18 2 155 166