https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/issue/feed
วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ
2023-12-25T00:00:00+07:00
Asst.Dr. Matanee Radabutr
[email protected]
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี (ฺBCNNON Health Science Research Journal) รับพิจารณาบทความวิชาการ บทความวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา และนวัตกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้อง มีกระบวนการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบก่อนการเผยแพร่ (Double blind peer review) โดยกำหนดการออกวารสารทุก 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ (ม.ค.-เม.ย. พ.ค.-ส.ค. และ ก.ย.-ธ.ค.) จำนวนชิ้นงานบทความ 14 เรื่อง/ฉบับ </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/264750
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตต่อพลังสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ
2023-10-15T07:30:18+07:00
ชวนนท์ จันทร์สุข
[email protected]
นฤมล จันทร์สุข
[email protected]
อุษา ดำขำ
[email protected]
<p><strong>บทนำ :</strong> โปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตเป็นกิจกรรมเชิงปฏิบัติการที่ออกแบบมา เพื่อเพิ่มพลังสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตเพื่อเพิ่มพลังสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย : </strong>การศึกษานี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองด้วยแบบแผนการทดลองแบบศึกษาสองกลุ่มวัดสองครั้ง ตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท จำนวน 46 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 23 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพจิต จำนวน 8 สัปดาห์ ๆ ละ 90 นาที ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับเอกสารความรู้เรื่องพลังสุขภาพจิต เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบประเมินพลังสุขภาพจิตที่มีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าครอนบาคเท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลระดับ พลังสุขภาพจิตด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบระดับพลังสุขภาพจิตก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สถิติ Paired t-test และวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับพลังสุขภาพจิตระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ Independent t-test </p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>หลังได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิต กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพลังสุขภาพจิตสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p><strong>สรุป : </strong>โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพจิต สามารถทำให้ผู้สูงอายุมีพลังสุขภาพจิตสูงขึ้น บุคลากรทางด้านสาธารณสุขสามารถประยุกต์กิจกรรมในโปรแกรมไปใช้เป็นแนวทางในการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตในประชาชนกลุ่มวัยอื่น ๆ ได้</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/263582
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาวัยรุ่น ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี
2023-07-04T08:39:38+07:00
จารุวรรณ์ ท่าม่วง
่[email protected]
อรวรรณ ดวงใจ
[email protected]
รุ่งนภา เขียวชะอ่ำ
[email protected]
นวพร มามาก
[email protected]
<p><strong>บทนำ : </strong>การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งสำคัญในการเจริญเติบโตของทารก แต่มารดาวัยรุ่นจัดเป็นกลุ่มที่ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ ขาดประสบการณ์ จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การศึกษาสถานการณ์ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาวัยรุ่นจึงมีความสำคัญในการพัฒนาแนวทาง การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวให้ได้นานถึง 6 เดือน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหา อุปสรรค และความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาวัยรุ่น ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี</p> <p><strong>วิธีการวิจัย : </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล คือ มารดาวัยรุ่นหลังคลอดอายุน้อยกว่า 20 ปี แผนกหลังคลอด จำนวน 15 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก วิเคราะห์ข้อมูลจากการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> แก่นสาระสำคัญของสถานการณ์ฯ สรุปได้ 5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1) ด้านความเชื่อ 2) ด้านการสนับสนุนทางสังคม 3) ด้านสิ่งแวดล้อม 4) ด้านการรับรู้ประโยชน์ และ 5) ด้านการรับรู้อุปสรรค</p> <p><strong>สรุป :</strong> จากผลงานวิจัย เป็นการศึกษาในระยะที่ 1 ทำให้ได้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการศึกษาในระยะต่อไป และใช้เป็นแนวทางในการออกแบบโปรแกรมเพื่อสนับสนุนให้มารดาวัยรุ่นประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/263615
การพัฒนาโปรแกรมเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารด้วยไอเอสบาร์ (ISBAR) โดยวิธีสะท้อนคิด สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ในรายวิชาปฏิบัติ การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
2023-06-28T11:30:19+07:00
อุไร นิโรธนันท์
[email protected]
<p><strong>บทนำ</strong> : ทักษะการสื่อสารของนักศึกษาพยาบาล มีผลต่อความสามารถในการส่งต่อข้อมูลทางคลินิกของผู้ป่วย ไอเอสบาร์เป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่การพัฒนาทักษะการสื่อสารของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> : เพื่อศึกษาสภาพการณ์ พัฒนาและประเมินผลโปรแกรมเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารด้วยไอเอสบาร์โดยวิธีสะท้อนคิด</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong> : การวิจัยและพัฒนา 3 ระยะ คือ 1) ศึกษาสภาพการณ์ 2) พัฒนาและทดลองใช้โปรแกรมเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารด้วยไอเอสบาร์โดยวิธีสะท้อนคิด 3) ประเมินผลโปรแกรมจากนักศึกษาพยาบาล กลุ่มทดลอง 32 คน กลุ่มควบคุม 32 คน พยาบาลพี่เลี้ยง 15 คน และผู้ป่วย 64 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินความรู้และการปฏิบัติในการส่งเวร และแบบสอบถามความพึงพอใจ การใช้โปรแกรมและการสื่อสารของนักศึกษาพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>: 1) นักศึกษาพยาบาลส่งเวรใช้เวลานาน ไม่ลำดับเรื่องราว ขาดข้อมูลสำคัญ และไม่มีรูปแบบ 2) โปรแกรมเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารด้วยไอเอสบาร์โดยวิธีสะท้อนคิด ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารของนักศึกษาพยาบาล 3) คะแนนเฉลี่ยความรู้และการปฏิบัติในการส่งเวรของนักศึกษาพยาบาลสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุม ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการสื่อสารของนักศึกษาพยาบาลกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และนักศึกษาพยาบาลและพยาบาลพี่เลี้ยงมีความพึงพอใจต่อการใช้โปรแกรมในระดับมาก </p> <p><strong>สรุป</strong><strong> :</strong> โปรแกรมเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารด้วยไอเอสบาร์โดยวิธีสะท้อนคิด ช่วยให้นักศึกษาพยาบาลสื่อสารและส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/265379
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุ
2023-09-21T13:31:00+07:00
อติญาณ์ ศรเกษตริน
[email protected]
รวีวรรณ แก้วอยู่
[email protected]
รุ่งนภา จันทรา
[email protected]
จุฬารัตน์ ห้าวหาญ
[email protected]
กรรณิกา เรืองเดช ชาวสวนศรีเจริญ
[email protected]
เพชรรุ่ง เดชบุญญจิตต์
[email protected]
<p><strong>บทนำ :</strong> ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรม 3อ.2ส. ในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> รูปแบบการวิจัยเป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง ตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 64 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพประกอบด้วย กิจกรรมสร้างทักษะ การสื่อสาร การใช้ข้อมูล และการจัดการตนเอง ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ 3อ.2ส. ที่ให้ตัวอย่างตอบเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติการทดสอบที</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> พบว่าคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุหลังเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุของกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมฯสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับความรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p><strong>สรุป :</strong> โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพมีประสิทธิผลในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ในผู้สูงอายุ</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/265518
การติดตามผลการพัฒนาอาจารย์พยาบาลด้านการสอน การใช้ยาอย่างสมเหตุผล ในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
2023-09-18T11:01:00+07:00
ลัดดาวัลย์ ไวยสุระสิงห์
[email protected]
ศุกร์ใจ เจริญสุข
[email protected]
กนกเลขา สุวรรณพงษ์
[email protected]
ลัดดา เหลืองรัตนมาศ
[email protected]
นฤมล อังศิริศักดิ์
[email protected]
กมลรัตน์ เทอร์เนอร์
[email protected]
สุนทราวดี เธียรพิเชฐ
[email protected]
<p><strong>บทนำ :</strong> การพัฒนาอาจารย์พยาบาลในการเรียนการสอนเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนากําลังคนด้านสุขภาพ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong>เพื่อศึกษาผลการพัฒนาอาจารย์พยาบาลด้านการสอนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง ตัวอย่างเป็นอาจารย์พยาบาลของสถาบันการศึกษาพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรพัฒนาครูผู้สอนฯ เรื่องการจัดการเรียนการสอนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต จำนวน 90 คนเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการติดตามผลพัฒนาอาจารย์พยาบาลหลังการอบรมและแบบสอบถามสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> หลังการอบรมอาจารย์พยาบาลมีความรู้เรื่องการจัดการเรียนการสอนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตในระดับมาก มีการนำความรู้และวิธีการที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ มีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับมากที่สุดและมีสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอยู่ในระดับมาก</p> <p><strong>สรุป :</strong> หลักสูตรพัฒนาครูผู้สอนฯ เรื่องการจัดการเรียนการสอนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลฯ มีผลต่อการพัฒนาอาจารย์ด้านการสอนการใช้ยาอย่างสมเหตุผล</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/264846
ผลของรูปแบบการชะลอไตเสื่อมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
2023-08-18T13:55:03+07:00
ธวัช วิเชียรประภา
[email protected]
<p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> การดำเนินงานชะลอไตเสื่อมที่เหมาะสมจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคไตรายใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการชะลอไตเสื่อมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน</p> <p><strong>วิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อน-หลังการทดลอง ตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังในชุมชน จำนวน 60 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คนและกลุ่มควบคุม 30 คน คัดเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือ ได้แก่ รูปแบบการชะลอไตเสื่อมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และแบบวัดพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติพรรณนา เปรียบเทียบพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อม ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ความดันโลหิต และอัตราการกรองของไต โดยใช้สถิติทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> พบว่าค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมและอัตราการกรองของไตก่อนและหลังการทดลองในกลุ่มทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .001) พฤติกรรมการชะลอไตเสื่อมน้ำตาลในกระแสเลือด ความดันโลหิตและอัตราการกรองของไตหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .001)</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>:</strong> รูปแบบการชะลอไตเสื่อมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ในการชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังในชุมชนได้</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/262046
ผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ของนักศึกษาพยาบาล
2023-07-06T14:46:58+07:00
ณิชมน หลำรอด
[email protected]
ภราดร ยิ่งยวด
[email protected]
สุดารัตน์ วันงามวิเศษ
[email protected]
ผ่องพรรณ ภะโว
[email protected]
<p><strong>บทนำ :</strong> ปัจจุบันปัญหาการสูบบุหรี่ได้แพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชน สาเหตุสำคัญคืออยากทดลองเลียนแบบเพื่อน หากไม่ได้รับการป้องกันจะทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> การวิจัยกึ่งทดลอง สองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลอง ตัวอย่างคือ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2564 ชั้นปีที่ 1 - 4 แห่งหนึ่ง กลุ่มทดลองเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จากชมรมนักศึกษาพยาบาลสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่ จำนวน 30 คน กลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ของนักศึกษาพยาบาล ระยะเวลา 4 สัปดาห์ 5 กิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ของนักศึกษาพยาบาลหลังการทดลองมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>:</strong> โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันนักสูบหน้าใหม่สามารถทำให้นักศึกษามีองค์ความรู้ และทักษะในการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ พร้อมนำไปถ่ายทอดให้กับนักศึกษาของวิทยาลัยฯทุกคน ตลอดจนสามารถนำไปใช้กับประชาชนในชุมชนได้</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/263398
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในชุมชนเขตเทศบาลนครลำปาง
2023-10-18T16:27:02+07:00
พชร วิวุฒิ
[email protected]
โอภาส ประมูลสิน
[email protected]
พิกุล อุทธิยา
[email protected]
สัญญาลักษณ์ หมูดวง
[email protected]
วีระชัย เขื่อนแก้ว
[email protected]
<p><strong>บทนำ :</strong> ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จะต้องปรับตัวต่อการดูแลผู้ป่วยและอาจเกิดผลกระทบจากการปรับตัวที่ไม่เหมาะสมในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม หากผู้ดูแลฯ ไม่สามารถปรับตัวได้จะทำให้เกิดปัญหาต่อการดำเนินชีวิต เกิดความเหนื่อยล้า จนส่งผลให้ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย :</strong> 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ดูแลฯ และ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ดูแลฯ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> การวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ดูแลฯ ตัวอย่าง คือ 1) ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำนวน 138 คน และ 2) บุคลากรสุขภาพที่เชี่ยวชาญการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำนวน 12 คน เครื่องมือวิจัยคือ แบบประเมินระดับการปรับตัว แบบบันทึกสนทนากลุ่ม และแบบประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบ ระยะที่ 2 ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ดูแลฯ ตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำนวน 138 คน เครื่องมือในการวิจัยคือ รูปแบบการส่งเสริมการปรับตัว และแบบประเมินระดับการปรับตัว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา และสถิติทดสอบที</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> หลังการใช้รูปแบบฯ ระดับการปรับตัวของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ระดับการปรับตัวของกลุ่มทดลองหลังใช้รูปแบบส่งเสริมการปรับตัวสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001)</p> <p><strong>สรุป :</strong> รูปแบบการส่งเสริมการปรับตัวใช้เป็นแนวทางส่งเสริมด้านร่างกายของผู้ดูแลฯ เพื่อป้องกันพฤติกรรมการดูแลสุขภาพและเกิดการเจ็บป่วยขึ้นได้</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/264843
ค่าพยากรณ์บวกผลการตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์เต้านม กลุ่ม BI-RADS 4 และ 5 และความสัมพันธ์กับผลพยาธิวิทยา
2023-07-16T16:55:04+07:00
ศุภวรรณ จิวะพงศ์
[email protected]
ปรางนรี คุ้มสาธิต
[email protected]
จารุวรรณ สันตินันท์
[email protected]
<p><strong>บทนำ</strong><strong> : </strong>แมมโมแกรมและอัลตราซาวด์เต้านมเป็นวิธีตรวจคัดกรองและวินิจฉัยรอยโรคของเต้านม การรายงานผล BI-RADS 4 และ 5 เป็นระดับที่ควรตรวจ เนื่องจากมีโอกาสเป็นมะเร็งได้สูง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาค่าพยากรณ์บวกผลการตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์เต้านมกลุ่ม BI-RADS 4 และ 5 และศึกษาความสัมพันธ์กับผลพยาธิวิทยา</p> <p><strong>วิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงพรรณาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง ตัวอย่างทั้งหมด จำนวน 442 ราย เก็บข้อมูลจากแบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก และค่าพยากรณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และหาความสัมพันธ์กับผลพยาธิวิทยาโดยใช้สถิติไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong> :</strong> ร้อยละ 53.1 ของตัวอย่างที่คลำพบก้อนที่เต้านมเป็นมะเร็งเต้านม ร้อยละ 22.4 เป็นรอยโรคที่ไม่ใช่มะเร็ง ร้อยละ 19.7 มีค่าพยากรณ์บวกของมะเร็งเต้านมกลุ่ม BI-RADS 4A 4B 4C และ 5 ก้อนที่เต้านมขนาด 2 เซนติเมตรขึ้นไปเสี่ยงต่อการพบมะเร็งเต้านม 2.68 เท่าของกลุ่มที่ขนาดก้อนน้อยกว่า 2 เซนติเมตร กลุ่ม BI-RADS 5 เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม 16.95 เท่าของ BI-RADS 4</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>:</strong> ขนาดของก้อนที่พบ ค่าพยากรณ์บวกของการรายงานผล BI-RADS 4 และ 5 สามารถพยากรณ์โอกาสการเป็นมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/264966
แนวทางการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมโดยนวัตกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลภูหอ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย
2023-10-09T14:57:03+07:00
ปวินตรา มานาดี
[email protected]
กันนิษฐา มาเห็ม
[email protected]
วิทยา สุขคำ
[email protected]
รัชนีย์ ไพเมือง
[email protected]
<p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ นวัตกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์สุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุและศึกษาแนวทางการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมโดยนวัตกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลภูหอ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย</p> <p><strong>วิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> กระบวนการพัฒนา ประกอบด้วย 4 ระยะ คือ 1) ระยะศึกษาสถานการณ์ปัญหาการดูแลสุขภาวะองค์รวมโดยนวัตกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุ 2) ระยะวิเคราะห์ศักยภาพชุมชน 3) ระยะวางแผนและปฏิบัติการ 4) ระยะติดตามและประเมินผล</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>สถานการณ์สุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุ ตำบลภูหอ มีจำนวนผู้สูงอายุร้อยละ 17.23 ของประชากรทั้งหมด แนวทางพัฒนาสุขภาวะองค์รวมผู้สูงอายุโดยนวัตกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 1) ด้านร่างกาย ส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การป้องกันการเจ็บป่วยทั้งโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ 2) ด้านจิตใจ จัดกิจกรรมผ่อนคลายจิตใจของผู้สูงอายุให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการผ่อนคลายความเครียดหรือซึมเศร้า 3) ด้านสังคมเน้นส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยใช้กิจกรรมกระบวนการกลุ่มมากระตุ้น การมีส่วนร่วมของสมาชิกในครอบครัว และ 4) ด้านจิตวิญญาณ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกเสียสละ เห็นใจผู้อื่น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือในชุมชน</p> <p><strong>สรุปผล </strong><strong>: </strong>การดูแลสุขภาวะองค์รวมผู้สูงอายุต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ทำงานร่วมกัน และการให้ครอบครัวผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะองค์รวมที่สมบูรณ์</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/265771
การพัฒนารูปแบบการสร้างสุขภาวะตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรโคกหนองนาโมเดล
2023-09-17T10:12:50+07:00
สุพัตรา วัฒนเสน
[email protected]
อัจฉรา กิตติวงศ์วิสุทธิ์
[email protected]
ประทีป กาลเขว้า
[email protected]
เตือนใจ ภูสระแก้ว
[email protected]
<p><strong>บทนำ : </strong>การพัฒนาเกษตรกรให้มีสุขภาวะที่ดีตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยให้พึ่งพาตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างสุขภาวะของเกษตรกร ในกลุ่มเครือข่ายเกษตรกร<br />โคกหนองนาโมเดล อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ตัวอย่างที่ใช้สำรวจข้อมูลสถานการณ์สุขภาวะ จำนวน 224 คน กลุ่มผู้ร่วมพัฒนารูปแบบ จำนวน 30 คน และตัวอย่างที่เป็นสมาชิกกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรที่เข้าร่วมกิจกรรมสร้างสุขภาวะพื้นที่ต้นแบบ จำนวน 35 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการสร้างสุขภาวะ แบบวัดคุณภาพชีวิต แบบวัดความสุข และแบบประเมินการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจต่อการพัฒนารูปแบบ แนวคำถามการสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณาและ Paired sample t-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>รูปแบบประกอบด้วย 1) การสร้างเครือข่าย 2) การมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่าย <br />3) การพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการสร้างเสริมสุขภาพ 4) การช่วยเหลือกัน แบ่งปันและเยี่ยมบ้าน <br />5) ร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติและดูแลสิ่งแวดล้อม 6) การกระตุ้น เสริมแรง ติดตาม ประเมินผล และพบว่า คะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการสร้างสุขภาวะ คุณภาพชีวิต ความสุข การมีส่วนร่วมและความพึงพอใจในการพัฒนารูปแบบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001)</p> <p><strong>สรุป : </strong>รูปแบบการสร้างสุขภาวะตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทำให้มีพฤติกรรมสุขภาวะที่ดี เพิ่มคุณภาพชีวิตและความสุขให้กับเครือข่ายเกษตรกรโคกหนองนา</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/263630
การเปรียบเทียบภาวะเหนื่อยล้าในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล
2023-07-06T09:27:44+07:00
คุณัชญ์ประเสริฐ วิฑูรเศรษฐ์
[email protected]
ประจักษ์ วิฑูรเศรษฐ์
[email protected]
อริสา สำรอง
[email protected]
<p><strong>บทนำ :</strong> ภาวะเหนื่อยล้าในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 เกิดจากปัจจัยหลายประการ รวมทั้งปัจจัยส่วนบุคคล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบภาวะเหนื่อยล้าในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 ตามปัจจัยส่วนบุคคล</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> การวิจัยเชิงพรรณนา ตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดฯ จำนวน 250 คน เครื่องมือ ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล และภาวะเหนื่อยล้าในการทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และเปรียบเทียบภาวะเหนื่อยล้าในการทำงานของพยาบาล โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วย Sheffe</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดฯ มีภาวะเหนื่อยล้าในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง พยาบาลวิชาชีพที่มีอายุ 20 -29 ปี ระยะเวลาปฏิบัติงาน 1 -5 ปี และปฏิบัติงานแผนกฉุกเฉินมีภาวะเหนื่อยล้าในการทำงานสูงที่สุดในแต่ละกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำนวนชั่วโมงในการทำงานพบว่าไม่แตกต่างกัน</p> <p><strong>สรุป :</strong> ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความเหนื่อยล้าในการทำงานที่แตกต่างกัน ผู้บริหารควรมอบหมายงานให้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญ และจัดสัดส่วนภาระงานที่เหมาะสม และควรรับฟังความคิดเห็นและคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อลดความเหนื่อยล้าในการทำงาน</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/264669
การวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาประสบการณ์และผลกระทบด้านสุขภาพในสาวจัดฟันในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19
2023-09-11T10:30:21+07:00
กิตตินันท์ ศรีแสนตอ
[email protected]
จุฑามาศ ไชยผง
[email protected]
นริศรา แก้วสอนดี
[email protected]
สุทธิดา ทองเชิดชู
[email protected]
ทิภากร พุ่มเฉลา
[email protected]
วรยุทธ นาคอ้าย
[email protected]
<p><strong>บทนำ : </strong>การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้จัดฟันที่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการรับและแพร่เชื้อสูงในช่วงสถานการณ์ระบาดจากการทำหัตถการ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาประสบการณ์ของสาวจัดฟันโดยมุ่งศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> <p><strong>วิธีการวิจัย :</strong> ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการศึกษาครั้งนี้คือสาวจัดฟันแบบติดแน่น จำนวน 11 คน โดยเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจนข้อมูลมีความอิ่มตัว และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการจัดกลุ่มแก่นสาระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> ประสบการณ์และผลกระทบของสาวจัดฟันสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) ผลกระทบด้านสุขภาพพบว่าเกิดปัญหาสุขภาพช่องปาก ได้แก่ มีแผลในช่องปาก มีการเกาะของคราบหินปูน ปัญหาการโยกของฟัน และฟันล้ม และมีความเครียดและความวิตกกังวลสืบเนื่องจากการไม่ได้รับการรักษาตามแผน 2) ผลกระทบด้านการเงินทำให้ไม่สามารถจุนเจือครอบครัว และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครอบครัวลดลง และยังส่งผลกระทบต่อแผนการรักษาที่ไม่เป็นไปแนวทางที่กำหนดและต้องใช้เวลาในการรักษาและการจัดฟันนานมากขึ้น</p> <p><strong>สรุป :</strong> การวางแผนชีวิตทั้งด้านการเยียวยาร่างกาย จิตใจ การจัดการเรื่องการออมทรัพย์ และการสนับสนุนสวัสดิการ อาจเป็นแนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อแผนการรักษาของทันตแพทย์น้อยลง</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHR/article/view/263368
แนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินงานวิจัยเชิงคุณภาพกับผู้สูงอายุ ที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น
2023-11-16T15:45:20+07:00
นิตติยา น้อยสีภูมิ
[email protected]
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินการวิจัยกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ตรงในการมีชีวิตอยู่กับภาวะสมองเสื่อมที่ยังมีความสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ ความคิดเห็น ความรู้สึก ความต้องการของตนเองให้กับผู้อื่นได้ ยังคงมีความสามารถในการจดจำหรือระลึกถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยได้ และสามารถตัดสินใจเข้าร่วมการวิจัยได้ บทความนี้รวบรวมข้อมูลความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยร่วมกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมและจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ทำวิจัยกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น</p> <p>ผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้นถือเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่ผู้วิจัยต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนด้านผลกระทบจากการเข้าร่วมวิจัย ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม อาสาสมัครกลุ่มนี้ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับผู้เข้าร่วมการวิจัยกลุ่มอื่น ๆ บทความฉบับนี้เน้นถึงแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น โดยคำนึงถึงประเด็นจริยธรรมที่ควรพิจารณา 6 ประเด็น ได้แก่ การคัดเลือกอาสาสมัครเพื่อเข้าร่วมงานวิจัยเชิงคุณภาพ การให้ข้อมูลการวิจัยและการขอความยินยอมเข้าร่วมการวิจัย ความเสี่ยงทางด้านจริยธรรมการวิจัยและแนวทางการจัดการกับความเสี่ยง วิธีการดำเนินงานวิจัย เทคนิคการสัมภาษณ์ และข้อควรตระหนักในการดำเนินการวิจัย เพื่อให้ทราบถึงมุมมอง ประสบการณ์ที่แท้จริงกับการมีชีวิตอยู่กับภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น ปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมที่เป็นผู้ให้ข้อมูลในงานวิจัย</p>
2023-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี