https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/issue/feed วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน 2024-04-30T19:10:06+07:00 กองบรรณาธิการวารสาร [email protected] Open Journal Systems Journal of Council of Community Public Health https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/270824 คำแนะนำการส่งบทความ 2024-04-30T19:10:06+07:00 ฐิตินันท์ จันทร์เยี่ยม [email protected] <p><strong>คำแนะนำการเตรียมและส่งบทความ </strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กองบรรณาธิการวารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน (Journal of Council of Community Public Health : JCCPH) ขอเชิญสมาชิกสภาการสาธารณสุขชุมชน และผู้สนใจทุกท่านร่วมส่งบทความวิชาการและวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ได้แก่ การสาธารณสุข การแพทย์ การพยาบาล การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งนี้ผลงานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาในวารสารอื่นและเมื่อได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ผู้เขียนจะต้องสมัครเป็นสมาชิกของวารสาร เพื่อความสะดวกในการส่งบทความวิชาการและวิจัย</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/265276 การพัฒนารูปแบบการบริการวัคซีนคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลสะเดา 2024-04-10T11:02:49+07:00 อุไร หัดเลาะ [email protected] นภชา สิงห์วีรธรรม [email protected] กิตติพร เนาว์สุวรรณ [email protected] <p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์ พัฒนารูปแบบและประสิทธิผลของรูปแบบการบริการวัคซีนคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลสะเดา ดำเนินการ 3 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการณ์ การบริการวัคซีนคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลสะเดา โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร ขั้นตอนที่ 2 <br />การสร้าง และพัฒนารูปแบบบริการวัคซีนโดยยกร่างรูปแบบจากผู้ปฏิบัติงาน 5 คน ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการบริการวัคซีน ใช้วิธีวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนหลัง ประชากรที่ใช้ ได้แก่ เด็กอายุ 0 - 5 ปี จำนวน 261 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง <br />คือ รูปแบบการบริการวัคซีนคลินิกหมอครอบครัวที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ทะเบียนนัดวัคซีน และทะเบียน<br />ความครอบคลุมวัคซีน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. สภาพการณ์การขาดนัดวัคซีนของเด็ก 0 - 5 ปี ในพื้นที่รับผิดชอบคลินิกหมอครอบครัวโรงพยาบาลสะเดา ช่วง 6 เดือนแรก ปีพ.ศ. 2565 โดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 65 และความครอบคลุมการได้รับวัคซีน<br />แต่ละชนิดครบตามเกณฑ์ในเด็กอายุ 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปี ร้อยละ 26, 61, 50 และ 49 ตามลำดับ ซึ่งต่ำเกณฑ์</li> <li>รูปแบบการบริการวัคซีนคลินิกหมอครอบครัวโรงพยาบาลสะเดา คือ รูปแบบ SAI &amp; C ประกอบด้วย 1) ระบบบริการ 2) ระบบการนัดและการติดตาม 3) ระบบสารสนเทศ และ 4) ระบบการติดตามความครอบคลุม</li> <li>หลังการใช้รูปแบบแล้วพบว่า อัตราการขาดนัดการรับวัคซีนลดลงจากร้อยละ 65 ต่อเดือน เป็น ร้อยละ 20 ต่อเดือน นอกจากนี้อัตราความครอบคลุมการรับวัคซีนในเด็กอายุครบ 1 ปี 2 ปี 3 ปี และ 5 ปี เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 26<strong>, </strong>61<strong>, </strong>50 และ 49 เป็นร้อยละ 90<strong>, </strong>83<strong>, </strong>72 และ 83 ตามลำดับ</li> </ol> <p> ดังนั้นควรนำรูปแบบการบริการวัคซีนที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการช่วยลดปัญหาการรับบริการวัคซีนของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและบริบทของชุมชน</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/265575 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของชาวลาหู่ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ 2024-03-07T11:24:36+07:00 วัชราภรณ์ ร่องเสี้ยว [email protected] วราภรณ์ บุญเชียง [email protected] อักษรา ทองประชุม [email protected] <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความรู้ด้านการบริโภค พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของชาวลาหู่ ในพื้นที่ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยรวบรวมข้อมูลจากการวิจัยเอกสาร แบบสอบถาม วิเคราะห์ ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของตัว แปร ด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์<br />แบบเพียร์สัน (Pearson 's Product Moment Correlation) ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนชาวลาหู่จำนวน 381 คน ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารอยู่ใน<br />ระดับน้อย พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมของชาวลาหู่อยู่ในระดับปานกลาง และความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกลุ่มตัวอย่างพบว่า <br />มีความสัมพันธ์เชิงบวก อธิบายได้ว่า เมื่อชาวลาหู่มีระดับความรู้ในการบริโภคอาหารที่เพิ่มขึ้นจะส่งผล<br />ให้มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารของชาวลาหู่ที่ดีขึ้นด้วย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/266218 ผลของการฝึกหายใจอย่างช้าต่อความดันโลหิตของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงระดับ 2โรงพยาบาลคลองหอยโข่ง 2024-02-16T14:31:35+07:00 นันวลัย ไยสวัสดิ์ [email protected] สุกิจ นำสวัสดิ์ชัยกุล [email protected] <p> การศึกษาวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบความดันโลหิตสูงระดับ 2 ก่อนและหลังฝึกหายใจช้าและเปรียบเทียบความแตกต่างระดับความดันโลหิตสูงของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงระดับ 2 ที่ยังไม่ได้รับยา ตัวอย่างผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลคลองหอยโข่ง อายุมากกว่า 18 ปี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน <br />กลุ่มควบคุมได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงและการนั่งพัก กับกลุ่มทดลองได้รับความรู้เกี่ยวกับ<br />โรคความดันโลหิตสูงและการฝึกหายใจช้า เครื่องวัดความดันโลหิตดิจิตอล ตรวจสอบความเที่ยงตรงปีละ 1 ครั้ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ใช้สถิติ Pair t-test และ independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงระดับ 2 หลังฝึกหายใจช้าลดลงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงระดับ 2 กลุ่มที่ได้รับการฝึกหายใจช้ามีระดับความดันโลหิตลดลงมากกว่ากลุ่มที่ได้รับความรู้โรคความดันโลหิตสูงและการนั่งพัก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ข้อเสนอแนะ ควรนำการฝึกหายใจช้ามาใช้ในการคัดกรองและเพิ่มในกระบวนการดูแลผู้ป่วยควบคู่กับการรักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อชะลอการนำไปสู่การเกิดโรค</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/267669 การพัฒนาแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกัญชาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการของโรงเรียนในตำบลวังทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ 2024-03-13T17:21:07+07:00 ณรงค์ทธิ์ เลิศอาวุธ [email protected] สุรศักดิ์ เทียบฤทธิ์ [email protected] จตุพร เหลืองอุบล [email protected] <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกัญชาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการของโรงเรียนในตำบลวังทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive) ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ใช้สถิติ Paired t test และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ตามแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม แนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์การใช้กัญชาในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 มีระดับความรู้อยู่ในระดับต่ำ ระดับเจตคติอยู่ในระดับดี และระดับพฤติกรรมอยู่ในระดับพอใช้ การพัฒนาแนวปฏิบัติ คือ<br />1) มาตรการเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญชาหรือกัญชงในโรงเรียน 2) อบรมให้ความรู้ การป้องกัน และโทษของการใช้กัญชาหรือกัญชง 3) รณรงค์ประชาสัมพันธ์โทษของการใช้กัญชาหรือกัญชง ผลการดำเนินงานตามแนวปฏิบัติ พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีระดับความรู้อยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางทางสถิติระดับ 0.05 (t = -6.78 ) (p – value &lt; 0.001) ระดับเจตคติอยู่ในระดับดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05 (t = -2.610 ) (p – value &lt; 0.013) ระดับพฤติกรรมอยู่ในระดับพอใช้อย่างมีนัยสำคัญทางทางสถิติระดับ 0.05 (t = -4.172) (p – value &lt; 0.000) ปัจจัยแห่งความสำเร็จ พบว่า 1. การสร้างภาคีเครือข่ายในสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกัญชาในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเข้มแข็ง 2. การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องและอันตรายจากกัญชาหรือกัญชงให้กับนักเรียน 3. การมีส่วนในการดำเนินงานตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกัญชาในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และ 4. การติดตามและประสานงานตามดำเนินงานตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกัญชาในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะ พบว่า 1) สถานศึกษาต้องตระหนักให้ความสำคัญในป้องกันการใช้กัญชา มีการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง 2) ควรจัดกิจกรรมการป้องกันการใช้กัญชาอย่างต่อเนื่อง ให้ตอบสนองความต้องการของนักเรียน 3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุนในการดำเนินงานด้านการป้องกันการใช้กัญชาโรงเรียนตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่ตามเห็นสมควร</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/269503 การพัฒนาเครื่องมือจัดการความเสี่ยงในคลินิกทันตกรรมคุณภาพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดปทุมธานี 2024-04-09T17:01:21+07:00 ฐิติพร บุนนาค [email protected] <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์สภาพปัญหาของคลินิกทันตกรรมคุณภาพในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดปทุมธานี สร้างและประเมินประสิทธิผลของเครื่องมือจัดการความเสี่ยงในคลินิกทันตกรรมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ทันตแพทย์ของโรงพยาบาลและทันตบุคลากรประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบประเมินมาตรฐานคลินิกทันตกรรมคุณภาพจังหวัดปทุมธานี แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาที่พบมากที่สุดคือการจัดการความเสี่ยง โดยมีจำนวนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลผ่านการประเมินอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 3 ข้อจาก 4 ข้อ (ร้อยละ 75.0) เครื่องมือจัดการความเสี่ยงในคลินิกทันตกรรมคุณภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่พัฒนาขึ้นคือ แบบรายงานอุบัติการณ์<br />ความเสี่ยงในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประกอบด้วย (1) ข้อมูลทั่วไป (2) รายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (3) เหตุการณ์ (4) มาตรการจัดการความเสี่ยง และ (5) ความเห็นของประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง มีผลการตรวจสอบคุณภาพแบบรายงานภาพรวมอยู่ในระดับมาก (mean=4.17, SD.=0.47) ผลการประเมินประสิทธิผลที่เกิดขึ้นพบว่าภายหลังการทดลองใช้ คลินิกทันตกรรมในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล<br />มีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การจัดการความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทุกข้อ</p> <p>ดังนั้น เครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ในการพัฒนางานบริการในคลินิก ทันตกรรมและบริการด้านต่างๆ ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นต่อไป</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/270669 การวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความซื่อสัตย์ ในการปฏิบัติงานของนายทหาร 2024-04-24T14:41:03+07:00 พันโทนิติศักดิ์ เชื่อมวราศาสตร์ [email protected] ปริญญา จิตอร่าม [email protected] <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยองค์ประกอบและโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติงานของนายทหาร เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากนายทหารที่ปฏิบัติงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ในการวิเคราะห์องค์ประกอบกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างไม่ต่ำกว่า 100 โดยกำหนดอัตราส่วนระหว่างหน่วยตัวอย่างและจำนวนพารามิเตอร์เท่ากับ 20 : 1 ได้ขนาดตัวอย่างเท่ากับ 460 คน ทำการเก็บข้อมูล 487 คน โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติงานของนายทหาร และ ระยะที่ 2 การยืนยันโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติงานของนายทหาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจและยืนยันข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p> ผลการวิจัย พบว่ามีการตอบแบบสอบถามกลับคืนมาจำนวน 487 คน เป็นนายทหารระดับชั้นสัญญาบัตรร้อยละ 62.63 ชั้นประทวน ร้อยละ 37.37 ดำรงตำแหน่งระดับบริหาร ร้อยละ 20.53 ระดับปฏิบัติ ร้อยละ 79.47 ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ร้อยละ 62.63 มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน 14.74 ปี (SD = 8.196) การวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติงานของนายทหาร ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ควรปฏิบัติ 20 ตัวบ่งชี้ และองค์ประกอบต้องงดเว้นการปฏิบัติ 3 ตัวบ่งชี้</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/264313 ผลของโปรแกรมศิลปะบำบัดต่อความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติด กลุ่มบังคับบำบัดแบบไม่ควบคุมตัว 2024-03-07T11:06:10+07:00 สรัญญา ขวัญเพชร [email protected] อุดมเกียรติ พูลสวัสดิ์ [email protected] สุจิตตรา ลักษณะ [email protected] วิราสินี สร้อยแก้ว [email protected] อมรรัตน์ สีสุข [email protected] นิธินันท์ พงษ์ศิริ [email protected] <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติด<br />กลุ่มบังคับบำบัดระหว่างก่อนและหลังการใช้โปรแกรมศิลปะบำบัด ในผู้ป่วยยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโคกโพธิ์ จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมศิลปะบำบัด 8 กิจกรรม ของโรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา และเครื่องมือที่ใช้<br />ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเองของกรมสุขภาพจิต โดยจะทำการเปรียบเทียบระดับความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติดกลุ่มบังคับบำบัดระหว่างก่อนและหลังการใช้โปรแกรมศิลปะบำบัดโดยใช้สถิติ Wilcoxon Signed Rank Test ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้โปรแกรมศิลปะบำบัดผู้ป่วย<br />มีความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยมีคะแนนความเครียดเฉลี่ยก่อนเข้าร่วมกิจกรรมศิลปะบำบัดเท่ากับ 18.08 (SD = 2.96) และหลังเข้าร่วมกิจกรรมศิลปะบำบัดมีคะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 8.42 (SD = 2.81) ดังนั้น การนำศิลปะบำบัดมาใช้ในการลดความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติดกลุ่มบังคับบำบัด<br />แบบไม่ควบคุมตัวจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีความเหมาะสมที่ควรนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรม<br />ลดความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติดในกลุ่มอื่น ๆ ต่อไป</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน