วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN <p>วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ดำเนินการโดย วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี วารสารฯเป็นภารกิจหนึ่งที่สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ และนักวิชาการที่ผลิตผลงาน ทั้งงานวิจัย บทความทางวิชาการในการสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาวิชาการ และวิชาชีพทั้งทางด้านการพยาบาล การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ การศึกษา ตลอดจนองค์ความรู้สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี th-TH วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม <p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม</p> การจัดการภาวะพิษเหตุติดเชื้อในผู้สูงอายุ : บทบาทพยาบาลชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/272233 <p>ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) ในผู้สูงอายุเป็นภาวะฉุกเฉิน ซึ่งพยาบาลชุมชนมีบทบาทสำคัญ ในการจัดการภาวะพิษเหตุติดเชื้อในผู้สูงอายุ พยาบาลควรทำความเข้าใจพยาธิสรีรวิทยา อาการ และอาการแสดงของภาวะพิษเหตุติดเชื้อ การใช้เครื่องมือคัดกรองภาวะพิษเหตุติดเชื้อเบื้องต้น คือ เกณฑ์การประเมินอวัยวะภายในล้มเหลวเนื่องจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแบบเร็ว(The quick Sepsis related Organ Failure Assessment :qSOFA) การประเมินภาวะพิษเหตุติดเชื้อที่สำคัญ ประกอบด้วย การซักประวัติ และการประเมินสภาพผู้ป่วย การเลือกใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้การประเมินผู้สูงอายุได้ผลดี และที่สำคัญคือการส่งเสริมการรับรู้การเจ็บป่วยเกี่ยวกับภาวะพิษเหตุติดเชื้อที่ถูกต้องแก่ผู้สูงอายุหรือประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะการรับรู้ด้านลักษณะอาการ ด้านระยะเวลา และสาเหตุของการเกิดโรค โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะพิษเหตุติดเชื้อ และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังจากมีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ เพื่อให้ผู้สูงอายุ ญาติผู้สูงอายุ หรือประชาชนทั่วไปสังเกตอาการ และตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและลดอัตราการเสียชีวิตได้</p> รพีพรรณ กำลังวุธ ชุลีพร หีตอักษร สุธาสินี เจียประเสริฐ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 4 3 94 106 การประเมินการดำเนินงานการพัฒนาต่อยอดเพื่อขยายผลรูปแบบระบบสุขภาพชุมชน สู่ระบบบริการสุขภาพอย่างไร้รอยต่อสำหรับผู้สูงอายุเชิงบูรณาการ จังหวัดอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/273290 <p>การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยประเมินผล โดยใช้กรอบแนวคิด Consolidated Framework for Implementation Research (CFIR) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการดำเนินงานการพัฒนาต่อยอดเพื่อขยายผลรูปแบบระบบสุขภาพชุมชนสู่ระบบบริการสุขภาพอย่างไร้รอยต่อสำหรับผู้สูงอายุเชิงบูรณาการ จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้รูปแบบการศึกษาแบบผสานวิธี การศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 1,773 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติเชิงพรรณนา ส่วนการศึกษาเชิงคุณภาพ 1) สัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มขับเคลื่อนเชิงนโยบาย 15 คน โดยเลือกแบบเจาะจง 2) สนทนากลุ่มกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอและตำบล (ระบบสุขภาพชุมชน) และระดับชุมชน รวม 60 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ร้อยละ 82.40 โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กลุ่มทั่วไป ร้อยละ 75.17 กลุ่มมีประวัติโรคหัวใจ (จำนวน 126 คน) ร้อยละ 75.40 ปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือนที่เกี่ยวกับการพลัดตกหกล้ม/กระดูกสะโพกหัก ร้อยละ 79.86 กลุ่มขับเคลื่อนเชิงนโยบายและการพัฒนาระบบสุขภาพ ทั้ง Health-Non Health Sector รับรู้/เข้าใจนโยบายและเป้าหมาย สอดคล้องกับแนวคิดระบบสุขภาพ หลักการบูรณาการ การบริการอย่างไร้รอยต่อ ในบริบทสังคมผู้สูงอายุ และการเจ็บป่วยด้วย 3 กลุ่มโรค กลุ่มขับเคลื่อนการดำเนินโครงการระดับจังหวัด ระบบสุขภาพชุมชน และระดับชุมชน ทุกอำเภอมีการนำ CANDLE Model มาประยุกต์ใช้ตามบริบทและทุนเดิมเสริมด้วยทุนทางสังคม จัดระบบดูแลกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มป่วย ด้วยการส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟูและดูแลหลังจำหน่ายและระบบส่งต่อผู้ป่วย ขับเคลื่อนงานผ่านกลไก พชอ. ชมรมผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ สถานชีวาภิบาล พระคิลานุปัฏฐาก กลุ่มเป้าหมายทั้งหมดเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดี ควรขยายผลให้ครอบคลุมทุกพื้นที่</p> อุทัย นิปัจการสุนทร กัญญารัตน์ กันยะกาญจน์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-08 2024-11-08 4 3 1 15 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 ของประชาชน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลาง ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/274124 <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM2.5 ของประชาชน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 180 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 มีค่าความเชื่อมั่น 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงปริมาณที่ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านเพศ อายุ และความรู้ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายการส่งเสริมการป้องกันฝุ่น P.M 2.5 ของประชาชน และควรจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับฝุ่นให้กับคนชุมชนเพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการสัมผัส PM 2.5 ซึ่งอันนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 ของประชาชนต่อไป</p> เพชรผกา มูณี บัว ฤดูบัว สุริยพงศ์ กุลกีรติยุต ศรัณยู คำกลาง ปุณณ์ภวิศา ป้องพิมาย จิตติมา จันทร์อุไร สิทธิชัย สิงห์สุ วริยา เคนทวาย Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-09 2024-11-09 4 3 16 24 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/269229 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเครียดและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของหลักสูตรประกาศนัยบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเทคนิคเภสัชกรรม หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทันตสาธารณสุข ปีการศึกษา 2566 จำนวนทั้งหมด 70 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ครอนบาค เท่ากับ 0.848 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติทดสอบไคสแควร์ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเครียดระดับปานกลาง (ร้อยละ 77.1) ผลการวิเคราะห์ไคสแควร์ พบว่า ความเพียงพอของรายได้ครอบครัว ความเพียงพอของรายได้นักศึกษา มีความสัมพันธ์กับความเครียดที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ส่วนผลทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน พบว่า รายได้ครอบครัว (r=-0.244) ชั่วโมงการนอนหลับ (r=-0.252) ภาวะซึมเศร้า (r=0.612) ด้านสังคม (r=-0.403) และความยืดหยุ่นทางจิตใจ (r=-0.323) ความสัมพันธ์กับความเครียดที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี ควรมีการจัดกิจกรรมที่ช่วยจัดการกับปัจจัยชั่วโมงการนอนหลับ ภาวะซึมเศร้า ด้านสังคม และด้านความยืดหยุ่นทางจิตใจ ซึ่งจะลดผลกระทบของความเครียดต่อชีวิตประจำวัน คุณภาพชีวิต และส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้</p> ศศิธร ศิลารักษ์ กุลสตรี เจริญชัย ศุภากร สมจิตร์ ปริญญ์ อยู่เมือง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 4 3 25 39 การพัฒนาแผ่นแปะจากสารสกัดของสมุนไพรในตำรับยาลูกประคบ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/270654 <p>ลูกประคบสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีสรรพคุณทางยาช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) มีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาแผ่นแปะบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ที่มีส่วนประกอบของสารสกัดในตำรับยาลูกประคบสมุนไพร ทำการพัฒนาแผ่นแปะทั้งหมด 4 สูตร โดยใช้สารสกัดของตัวยาในตำรับยาลูกประคบสมุนไพรที่สกัดด้วยด้วยทำละลายเอทานอล 95% ในความเขมข้นต่างกัน 0.5% (H1), 1% (H2), 2% (H3) และ 3% (H4) จากนั้นทำการศึกษาความคงสภาพ ในสภาวะเร่งด้วยอุณหภูมิร้อนสลับเย็น (Heating and cooling cycle) และศึกษาความคงสภาพในสภาวะจริง โดยทำการประเมินการลักษณะทางกายภาพและเคมี ผลการศึกษาพบว่า แผ่นแปะสูตรตำรับ H3 ที่ใช้สารก่อเจลคือ HPMC 2% Gelatin 9% โดยน้ำหนัก และมีความเข้มข้นของสารสกัด 2% โดยน้ำหนัก เป็นสูตรตำรับที่ดีที่สุด มีลักษณะทางกายภาพมีสีเขียวอมเหลือง มีกลิ่นที่ดีตามธรรมชาติ มีคา pH เท่ากับ 6 ในการทดสอบความคงสภาพในสภาวะเร่ง มีการเปลี่ยนแปลงของสีที่เข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนการทดสอบ แต่ในการทดสอบความคงสภาพในสภาวะจริงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมี</p> กัญจนภรณ์ ธงทอง เพชรัตน์ รัตนชมภู ดวงประกาย จารุฐานันต์ ปภาภัสสร์ ธีระพัฒนวงศ์ ศิรินทิพย์ พรมเสนสา นันทิกานต์ พิลาวัลย์ สมบูรณ์ เจตลีลา Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-29 2024-12-29 4 3 40 54 ความรอบรู้ทางสุขภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูบบุหรี่ ในภาคตะวันออก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/271099 <p>การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์คือเพื่อศึกษา 1) ความรอบรู้ทางสุขภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2) พฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ <br />3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและความรอบรู้ทางสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูบบุหรี่ในภาคตะวันออก สุ่มตัวอย่างโดยการแบ่งชั้นภูมิ ตามสัดส่วนของกลุ่มประชากรแต่ละจังหวัด จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนกันยายน - ตุลาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไคสแควร์ การทดสอบของฟิสเชอร์ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีของเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรอบรู้ทางสุขภาพในภาพรวมอยู่ในระดับมีปัญหา ร้อยละ 74.30 และมีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระดับไม่ดี ร้อยละ 55.40 ปัจจัยส่วนบุคคลด้าน อายุ สถานภาพการสมรส อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของตนเอง รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว ระดับการศึกษา จังหวัดที่อยู่อาศัย จำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน ระยะเวลาในการสูบบุหรี่ เหตุผลในการสูบบุหรี่ สถานที่ที่ชอบสูบบุหรี่มากที่สุด การมีโรคประจำตัว การเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของคนในครอบครัว ความรอบรู้ทางสุขภาพในภาพรวม และรายด้านได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ ด้านทักษะการสื่อสาร ด้านทักษะการจัดการตนเอง ด้านการตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง และด้านทักษะรู้เท่าทันสื่อมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูบบุหรี่ในภาคตะวันออก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ภูริภัทร์ หมั่นดี วรพล แวงนอก Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-29 2024-12-29 4 3 55 67 การจัดการภาวะหมดไฟในผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/273145 <p>วิจัยเชิงคุณภาพนี้ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยา ตามแนวคิดของสตรูเบริท์และ<br />คาร์เพนเตอร์ (Streubert &amp; Carpenter, 1995) เป็นการแบ่งปัน บอกเล่าประสบการณ์ชีวิต สะท้อนแก่นแท้และทำความชัดเจนกับปรากฏการณ์นั้นและบรรยายตามคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ตรง โดยสัมภาษณ์ ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟและการจัดการภาวะหมดไฟในผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งมีภาวะหมดไฟ ดูแลผู้สูงอายุมาแล้ว 1 ปีขึ้นไป มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 10 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง และการบันทึกเทป วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟในผู้ดูแลผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) ความเครียดสะสม<br />2) ระยะเวลาในการดูแลผู้สูงอายุ 3) ภาระงานของผู้ดูแลในการดูแลผู้สูงอายุแต่ละวัน 4) พฤติกรรมของผู้สูงอายุ และพบว่าผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีการจัดการภาวะหมดไฟ 4 ลักษณะ ดังนี้ 1) นึกถึงบุญคุณของผู้สูงอายุ 2) การคิดเชิงบวก 3) การพูดคุยกับผู้ดูแลผู้สูงอายุคนอื่นๆ 4) ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับทีมสุขภาพหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนารูปแบบการจัดการภาวะหมดไฟและการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป</p> นิศารัตน์ นรสิงห์ กาญจนา ศุภศรี Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-29 2024-12-29 4 3 68 79 ประสิทธิผลในการบำรุงผิวของโลชั่นจากสารสกัดกลีบดอกบัวหลวง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/274870 <p>หลายส่วนของบัวหลวงมีสรรพคุณทางยาหลายประการ สารสกัดกลีบดอกมีสารซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรสิเนส มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิวจากสารสกัดกลีบดอกบัวหลวง 2) เปรียบเทียบระดับความยืดหยุ่น และระดับเม็ดสีเมลานินของผิว ก่อน และหลังการใช้ผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิวจากสารสกัดกลีบดอกบัวหลวง 3) เปรียบเทียบระดับความยืดหยุ่น และระดับเม็ดสีเมลานินของผิว หลังการใช้ผลิตภัณฑ์สูตรตำรับพื้นฐาน กับสูตรตำรับผสมสารสกัดกลีบดอกบัวหลวง และ 4) การประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิวจากสารสกัดกลีบดอกบัวหลวง คำนวณขนาดตัวอย่างด้วย G*Power ได้เท่ากับ 34 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง ทาโลชั่นในตำแหน่งที่กำหนด เป็นระยะเวลา 28 วัน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสูตรตำรับทั้งหมด 4 สูตร โดยสูตรตำรับที่ 4 มีเนื้อโลชั่นละเอียด สีของโลชั่นเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีการเจริญของจุลินทรีย์หรือเชื้อรา ไม่มีการเกิด creaming และ cracking ความเป็นกรด-ด่าง เท่ากับ 5-6 เมื่อวัดด้วย Cutometer MPA 580 พบว่า ระดับความยืดหยุ่นของผิวหลังใช้มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ เท่ากับ 0.89±0.04 และ 0.82±0.06 ตามลำดับ (p&lt;.05) และจากการวัดด้วย Mexameter MX 18 พบว่า ระดับเม็ดสีเมลานินของผิวหลังใช้ผลิตภัณฑ์มีค่าลดลงมากกว่าก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ เท่ากับ 54.03±10.52 และ 71.12±12.39 ตามลำดับ (p&lt;.05) ระดับความยืดหยุ่นของส่วนทดลองมีค่ามากกว่าส่วนควบคุม เท่ากับ 0.89±0.04 และ 0.84±0.05 ตามลำดับ (p&lt;.05) ระดับเม็ดสีเมลานินของส่วนทดลองมีค่าลดลงมากกว่าส่วนควบคุม เท่ากับ 54.03±10.52 และ 71.50±12.66 ตามลำดับ (p&lt;.05) และประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ พบว่า อยู่ในระดับระดับมาก (4.36±0.63) กล่าวได้ว่าผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิวจากสารสกัดกลีบดอกบัวหลวงนี้สามารถเป็นต้นแบบในการพัฒนาสูตรตำรับ หรือนำไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ต่อไป</p> ฉัตรดนัย อุประวรรณา ธัญญะ พรหมศร Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-30 2024-12-30 4 3 80 93