วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN <p>วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ดำเนินการโดย วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี วารสารฯเป็นภารกิจหนึ่งที่สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ และนักวิชาการที่ผลิตผลงาน ทั้งงานวิจัย บทความทางวิชาการในการสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาวิชาการ และวิชาชีพทั้งทางด้านการพยาบาล การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ การศึกษา ตลอดจนองค์ความรู้สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี th-TH วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม <p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม</p> การประเมินความเสี่ยงสภาพแวดล้อมการทำงานหน่วยจ่ายกลางโรงพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/275650 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้บ่งอันตรายและประเมินความเสี่ยงสภาพแวดล้อมการทำงานหน่วยจ่ายกลางโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จังหวัดชลบุรี รูปแบบการวิจัยเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ หน่วยจ่ายกลางโรงพยาบาลที่ใช้ในการประเมินสภาพแวดล้อม และผู้ปฏิบัติงานจำนวน 7 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบชี้บ่งอันตรายด้วยวิธี (Job Safety Analysis: JSA) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการประเมินความเสี่ยงตามระเบียบกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์การบ่งชี้อันตราย การประเมินความเสี่ยง และการจัดทำแผนงานบริหารจัดการความเสี่ยง 2543 ชี้บ่งอันตรายด้วยเทคนิคการวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัยในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการทำงาน โดยให้คะแนนโอกาสการเกิดเหตุการณ์และความรุนแรงของการเกิดเหตุการณ์ในการประเมินความความเสี่ยง</p> <p> ผลวิจัยพบว่า สภาพแวดล้อมการทำงานหน่วยจ่ายกลางมีความเสี่ยง 12 รายการ จากกระบวนการทำงาน 7 ขั้นตอน พบความเสี่ยงสูง 2 รายการ (8 คะแนน) คือ การติดเชื้อทางเลือด (Bloodborne pathogens) และการสัมผัสสารเคมี (Chemical Exposure) เช่น Ethylene Oxide ความเสี่ยงยอมรับได้ 6 รายการ (4 คะแนน) และความเสี่ยงเล็กน้อย 4 รายการ (2 คะแนน) เสนอให้จัดทำแผนงานลดและควบคุมความเสี่ยงเพื่อปรับปรุงแก้ไขตามมาตรการป้องกันและการปรับปรุงความเสี่ยง รวมทั้งส่งเสริมให้บุคลากรปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดีในการทำงานเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุและการเจ็บป่วยจากการทำงานของผู้ปฏิบัติงานหน่วยจ่ายกลาง</p> เจษฎา เมืองซ้าย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 275650 275650 ผลของโปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณสถานีงานเพื่อลดอาการผิดปกติ ทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ ในแรงงานนอกระบบอาชีพผลิตสิ่งทอ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/280912 <p>การศึกษาผลของโปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณสถานีงานเพื่อลดอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ ในแรงงานนอกระบบอาชีพผลิตสิ่งทอ เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณสถานีงานเพื่อลดอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ ในแรงงานนอกระบบกลุ่มอาชีพผลิตสิ่งทอ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการการยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณสถานีงาน ก่อนการปฏิบัติงาน ระหว่างปฏิบัติงาน และหลังการปฏิบัติงาน เป็นระยะเวลา 7 วัน สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกการติดตามการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography) ชนิดรับสัญญาณที่ผิวหนังรับสัญญาณ 8 ช่อง เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยค่าคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อในการหดตัว (Muscle EMG activity) โดยใช้สถิติ Paired T-Test ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%CI</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังการใช้โปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณสถานีงาน โดยในเวลาที่ 0, 15 และ 30 นาที บริเวณหลังส่วนล่าง และไหล่ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ค่าร้อยละคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อในการหดตัวมีค่าลดลง สรุปแล้วโปรแกรมการการยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่บริเวณสถานีงานสามารถเพิ่มความแข็งแรงและความยึดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ และช่วยลดความรุนแรงต่อการเกิดอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อได้ อันจะนำไปสู่แผนการจัดการ การบริหารความเสี่ยง และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องในกลุ่มแรงงาน เพื่อเป็นการลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นและให้กับกลุ่มแรงงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วิพา ชุปวา วิศิษฎ์ ทองคำ กู้เกียรติ ทุดปอ วิทยา อยู่สุข กาญจนา แซ่อึง กฤตภาส สีหะวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 280912 280912 ประสิทธิผลของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกลร่วมกับการรักษาแบบสังเกตการรับประทานยาโดยตรงด้วยการกระตุ้นเตือนผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาวัณโรคในชุมชน: กรณีศึกษาคลินิกวัณโรคโรงพยาบาลปง อ.ปง จ.พะเยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/277464 <p>การวิจัยในนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกล<br />ในการส่งสัญญาณข้อความเตือนให้ผู้ป่วยวัณโรครับประทานยาร่วมกับระบบการรักษาระยะสั้นที่มีการสังเกตโดยตรงและประเมินความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกลในการติดตามรักษาผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธีบรรจบกัน ระหว่างการศึกษากึ่งทดลองควบคู่กับการใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกไปพร้อม ๆ ในประชากรกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยวัณโรคปอดแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 47 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ 51 ราย เครื่องมือวิจัยได้แก่ โปรแกรมเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกล แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย แบบประเมินพฤติกรรมการรับประทานยาอยางตอเนื่อง และแบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง โดยใช้สถิติ ไคสแควร์ การถดถอยโลจิสติก และการวิเคราะห์เนื้อหาในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการรับประทานยามีความแตกต่างกันอย่ามีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>&lt;.001 โดยกลุ่มมีพฤติกรรมที่ถูกต้องต่อความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยวัณโรคดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกลมาใช้ร่วมกับการรักษาแบบสังเกตการกินยาโดยตรงมีความสัมพันธ์กับผลสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยวัณโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>&lt;.001 และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกลมาใช้ในการส่งสัญญาณเตือนในการรับประทานยามีโอกาสประสบผลสำเร็จในการรักษาวัณโรคเป็น 2.7 เท่า (<em>p</em>&lt;.001, 95% CI: .024 - .189) เมื่อเทียบกับการรักษาแบบสังเกตการกินยาโดยตรงอย่างเดียว ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพทางไกลมาใช้ร่วมกับวิธีการรักษาวัณโรคในปัจจุบันมีความเป็นไปได้และเหมาะสมกับสังคมยุคดิจิทัล</p> บุญลือ ฉิมบ้านไร่ ปิ่นปินัทธ์ ไชยอักษร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 277464 277464 ผลของโปรแกรมสร้างสุข 5 มิติ ต่อการป้องกันภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุในชุมชนตำบลสะลวง จังหวัดเชียงใหม่: การบูรณาการแนวคิดอนามัยครอบครัวเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/281322 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของโปรแกรมสร้างสุข 5 มิติในผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงภาวะซึมเศร้า กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ 163 คน ในพื้นที่ตำบลสะลวง จังหวัดเชียงใหม่ ใช้การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) กลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (one-group pretest-posttest design) ดำเนินโปรแกรมเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบประเมินภาวะซึมเศร้า (TGDS-15) แบบประเมินคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ (WHOQOL-OLD) และแบบประเมินพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ในช่วง 0.80–1.00 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ paired t-test และ <br />Chi-square test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม คะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าลดลงจาก 7.8 (S.D. = 2.6) <br />เหลือ 4.1 (S.D. = 2.3) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 13.45, <em>p</em> &lt; 0.001) คะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 65.2 (S.D. = 7.3) เป็น 75.6 (S.D. = 6.8) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 11.89, <em>p</em> &lt; 0.001) และคะแนนรวมพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นจาก 18.5 (S.D. = 4.7) เป็น 25.2 (S.D. = 5.1) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br />(t = 15.76, <em>p</em> &lt; 0.001) การวิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพจิตรายด้าน พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การนั่งสมาธิเจริญสติ การพูดคุยกับครอบครัวทุกวัน <br />การนอนหลับเพียงพอ และการลดเลิกสูบบุหรี่ ดื่มสุรา สรุปได้ว่า โปรแกรมสร้างสุข 5 มิติ ช่วยลดภาวะซึมเศร้าและส่งเสริมคุณภาพชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิผล</p> ฉัตรศิริ วิภาวิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 281322 281322 การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/278343 <p>การวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้ เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัจจัยเสี่ยง และพฤติกรรมสุขภาพการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของโรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ทำการศึกษา ในกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 324 คน โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) สถานการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ส่วนใหญ่เป็นหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันและหลอดเลือดสมองแตก รับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล (2) ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง <br />ส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ไขมัน LDL คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ และดัชนีมวลกายเกิน (3) พฤติกรรมสุขภาพ ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และใช้สารเสพติด ข้อเสนอแนะ ควรมีการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โดยการสร้างทีมสุขภาพ สร้างเสริมพลังอำนาจ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน</p> พีรรัชต์ ศรีเจริญ พยงค์ ศรีเจริญ คณิตตา อินทบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 278343 278343 ความเป็นจริงและความคาดหวังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่อบริบทการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตสุขภาพที่ 1 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/278728 <p>การวิจัยแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความเป็นจริงและความคาดหวังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต่อบริบทการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เขตสุขภาพที่ 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ อสม. ที่ปฏิบัติงานอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ของ รพ.สต. ถ่ายโอน ในเขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 420 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นผู้ตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามความเป็นจริงและความคาดหวังของ อสม. มีค่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ของแบบสอบถาม (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ครอนบาค เท่ากับ 0.83 โดยเก็บแบบสอบถามผ่าน ช่องทางออนไลน์โดยใช้กูเกิ้ลฟอร์มในช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน พ.ศ.2568 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ Paired Sample t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นจริงภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 3.95, SD = 0.53) และความคาดหวังภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.08, SD = 0.59) โดยด้านงบประมาณ มีระดับความเป็นจริงต่ำกว่าคาดหวัง มีความเป็นจริง (<em>M</em> = 3.73, SD = 0.65) และความคาดหวัง (<em>M</em> = 4.07, SD = 0.68) ส่วนด้านบุคคลากร/เจ้าหน้าที่มีระดับความเป็นจริงสูงกว่าความคาดหวัง (<em>M</em> = 4.06, SD = 0.61) และความคาดหวัง (<em>M</em> = 4.01, SD = 0.62) การเปรียบเทียบระดับความเป็นจริงและความคาดหวัง ด้านอาคารสถานที่ (ภายนอกอาคาร) ด้านครุภัณฑ์/วัสดุ ด้านยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาด้านบุคคลากร/เจ้าหน้าที่ ด้านงบประมาณ ด้านลักษณะการจัดบริการด้านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) ความคาดหวังของ อสม. ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพสามรถสะท้อนภารกิจการถ่ายโอน รพ.สต. ให้กับ อปท. ที่ส่งเสริมการจัดบริการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม</p> ปิยชนม์ อุดดง นภชา สิงห์วีรธรรม พัลลภ เซียวชัยสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 278728 278728 คุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก (ส่วนกลาง) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/279694 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงาน<br />ของบุคลากรในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก (ส่วนกลาง) 2) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานกับปัจจัย<br />ส่วนบุคคลของบุคลากรสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก (ส่วนกลาง) กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรภายในสถาบัน จำนวน 150 คน ด้วยวิธีการคำนวณจากสูตรของยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ระหว่าง <br />0.60-1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .968 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก (ส่วนกลาง) มีระดับคุณภาพชีวิตการทำงานโดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (M=3.47, S.D. = 0.61) 2) ผลการเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากร<br />ในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก (ส่วนกลาง) กับปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุ สถานภาพการสมรส ประเภทบุคลากร รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการปฏิบัติงานกับคุณภาพชีวิตการทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วน เพศ และระดับการการศึกษา ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะ<br />จากการวิจัยองค์กรควรพิจารณาในเรื่องของค่าตอบแทนที่เพียงพอให้เหมาะสมกับภาระงานมีการจัดสภาพแวดล้อม<br />ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน และสนับสนุนด้านการศึกษาให้เหมาะสมและเท่าเทียมกับบุคลากรในทุกตำแหน่งงาน</p> สุวพงษ์ พิมพ์พงษ์ เอนก ประดิษฐารมณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 279694 279694 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากในเด็กอายุ 3-5 ปี ของผู้ปกครองตำบลบ้านโภชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/279793 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยข้อมูลทั่วไป ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 3-5 ปี ของผู้ปกครอง รวมถึงศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยดังกล่าวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ปกครองในตำบลบ้านโภชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยประยุกต์กรอบแนวคิด PRECEDE Framework มาใช้ในการวิเคราะห์ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ปกครองของเด็กอายุ 3-5 ปี จำนวน 125 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติการทดสอบไคสแควร์ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยข้อมูลทั่วไป ได้แก่ สภาวะสุขภาพช่องปากเด็ก และปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กของผู้ปกครองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <br />จากการศึกษานี้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมองค์ความรู้ ทัศนคติ การเข้าถึงอุปกรณ์การดูแลสุขภาพช่องปาก การเข้าถึงแหล่งบริการทันตกรรม และการสนับสนุนจากแหล่งข้อมูลและบุคคลรอบข้าง เพื่อพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพช่องปากของเด็กในช่วง 3-5 ปี อย่างยั่งยืน</p> กัญจนพร วรรณา ถาวร มาต้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 279793 279793 ผลของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยประคับประคองระยะสุดท้าย แบบรายกรณี โรงพยาบาลชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/275360 <p>ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการพยาบาลที่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะรายได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดลองใช้และประเมินผลของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยประคับประคองระยะสุดท้ายแบบรายกรณี <br />ณ โรงพยาบาลชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพ 30 คน และผู้ป่วยระยะสุดท้าย 60 ราย คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการพยาบาลฯ และเครื่องมือรวบรวมข้อมูล 6 ชุด ได้แก่ <br />แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกการปฏิบัติการพยาบาล แบบเก็บข้อมูลผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาล และแบบวัดความรู้ด้านการพยาบาลระยะท้าย เครื่องมือผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (CVI) อยู่ระหว่าง 0.86–0.98 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาร์คระหว่าง 0.83–0.94 และค่า KR-20 เท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบแบบกลุ่มเดียววัด ก่อน–หลัง</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังการใช้รูปแบบฯ พยาบาลมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (M = 39.28 ± 2.35 <br />vs. 26.14 ± 3.45), ผู้ป่วยได้รับการพยาบาลเพิ่มขึ้น (M = 5.36 ± 1.78 vs. 3.75 ± 2.90), ผลลัพธ์การดูแลดีขึ้น <br />(M = 3.74 ± 1.00 vs. 2.26 ± 1.99), ผู้ป่วยและญาติพึงพอใจในระดับมาก (M = 4.05 ± 0.60) เช่นเดียวกับพยาบาล <br />(M = 4.00 ± 0.64) สะท้อนว่ารูปแบบการพยาบาลฯ ที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการพยาบาลผู้ป่วยระยะท้ายในสถานพยาบาลอื่น ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลแบบองค์รวมและตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> เกษร ภูแฉล้ม สุพัตรา อมรอมฤตกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 275360 275360 ประสิทธิผลการให้ทันตสุขศึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปาก สำหรับผู้สูงอายุติดบ้าน อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/279885 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการให้ทันตสุขศึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับผู้สูงอายุติดบ้าน อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 40 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แอปพลิเคชันไลน์ สื่อวีดีทัศน์ในเรื่องของการให้ทันตสุขศึกษาแก่ผู้สูงอายุติดบ้าน แบบสอบถามความรู้ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired Sample t – test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้ในการดูแลสุขภาพช่องปากหลังได้รับความรู้ทันตสุขศึกษา สูงกว่าก่อนได้รับความรู้ทันตสุขศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ หลังได้รับความรู้ทันตสุขศึกษามีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก สูงกว่าก่อนได้รับความรู้ทันตสุขศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการให้ทันตสุขศึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นแนวทางที่มีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้และปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุติดบ้าน ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้</p> ธัญญารัตน์ เรือนทอง อุบลทิพย์ ไชยแสง ฐิติกา กิมิเส อรุณี เมธีวรรธนะ สลิล กาจกำแหง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 5 2 279885 279885