วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN <p>วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ดำเนินการโดย วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี วารสารฯเป็นภารกิจหนึ่งที่สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ และนักวิชาการที่ผลิตผลงาน ทั้งงานวิจัย บทความทางวิชาการในการสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาวิชาการ และวิชาชีพทั้งทางด้านการพยาบาล การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ การศึกษา ตลอดจนองค์ความรู้สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี th-TH วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม <p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม</p> ความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์ในการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/268194 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์ศึกษาระดับความวิตกกังวลการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องในหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี และเปรียบเทียบความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์ฯจำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา ปัญหาค่าใช้จ่าย เคยได้รับการผ่าตัดอื่น ๆ (ไม่รวมผ่าตัดคลอด) มาก่อน ประสบการณ์ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง และลักษณะแผลจากการผ่าตัดคลอด&nbsp; กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ฯ จำนวน 112 คน คัดเลือกแบบเจาะจง รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบประเมินความวิตกกังวล ที่มีค่าความเชื่อมั่น&nbsp; 0.934 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Mann – Whitney U Test&nbsp; และ Kruskal – Wallis Test พบว่า ความวิตกกังวลอยู่ในระดับสูง (<em>M</em>&nbsp; = 3.12)&nbsp; เปรียบเทียบความวิตกกังวล จำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา ปัญหาค่าใช้จ่าย การเคยได้รับการผ่าตัดอื่น ๆ (ไม่รวมผ่าตัดคลอด) มาก่อนประสบการณ์ที่รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง และลักษณะแผลจากการผ่าตัดคลอด พบว่า หญิงตั้งครรภ์ฯ ระหว่างกลุ่มมีปัญหาค่าใช่จ่ายและกลุ่มที่ไม่มีปัญหามีความวิตกกังวลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ระดับของความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์ฯ รายด้านความวิตกกังวล ส่วนใหญ่ อยู่ในระดับ ปานกลาง ยกเว้นในด้านความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเพศสัมพันธ์ ภายหลังการผ่าตัด และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ซ้ำภายหลังการผ่าตัด ซึ่งมีความวิตกกังวล อยู่ในระดับ ต่ำ</p> ชฎารัตน์ เหลืองอร่าม Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 1 15 A ปัจจัยทางครอบครัวและพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/269855 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางครอบครัวและพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ใช้การวิจัยในลักษณะผสมผสานวิธีระหว่างการศึกษาแบบภาคตัดขวางและการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้ครอบครัวเป็นหน่วยศึกษาและสมาชิกในครอบครัวเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ เครื่องชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง แบบสอบถามชนิดมีโครงสร้างและกึ่งโครงสร้าง ผลวิจัยพบว่า เด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนจำนวน 136 คน (38.6%) ปัจจัยที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้แก่ เด็กที่กำลังเรียนหนังสือ อยู่ในครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวที่มีรายได้ไม่พอใช้จ่ายต่อเดือน พฤติกรรมการรับประทานอาหารระหว่างมื้อและในขณะดูทีวี รับประทานขนมและเครื่องดื่มผลิตภัณฑ์จากนมและน้ำตาล น้ำอัดลม พฤติกรรมเนือยนิ่งและขาดการออกกำลังกาย ผลการวิจัยนี้ ช่วยให้ทำความเข้าใจในปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เป็นข้อพิจารณากำหนดมาตรการในการปรับหรือเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่นที่เสี่ยงต่อโรค</p> บุญลือ ฉิมบ้านไร่ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 29 42 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานภายใต้พระราชบัญญัติและระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานพัสดุสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/270416 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการงานพัสดุ การบริหารจัดการพัสดุตามหลัก ธรรมาภิบาล และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานพัสดุ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพัสดุ ภายใต้พระราชบัญญัติและระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานพัสดุสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานพัสดุสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 200 ราย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบไคสแควร์ (Chi-Square Test) และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s product-moment correlation coefficients) กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) สภาพการจัดการงานพัสดุ ,การบริหารจัดการพัสดุตามหลักธรรมาภิบาล และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่พัสดุโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em>=4.02,SD=0.459 ; <em>M</em>=4.37, SD=0.504 และ <em>M</em>=4.37, SD=0.513 ตามลำดับ) 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า เพศ อายุ การศึกษา ระยะเวลาการปฏิบัติงาน และประสบการณ์การปฏิบัติงาน ด้านพัสดุ ไม่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพงานจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ (p=0.124, 0.619, 0.097, 0.330, 0.155 ตามลำดับ) และ 3) สภาพการจัดการงานพัสดุ และการบริหารจัดการพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลโดยรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูงและระดับสูง กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่พัสดุ (ค่า r=0.718, p&lt;0.01 และ r=0.865, p&lt;0.01 ตามลำดับ) ดังนั้นเพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจึงควรจัดอบรมเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการปฏิบัติงานพัสดุตามพระราชบัญญัติและระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล</p> สุพิศ ขำพงษ์ไผ่ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 16 28 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนของผู้ปกครอง ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/267502 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อน<br>วัยเรียนของผู้ปกครอง ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียน จำนวน 225 คน ใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน รวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบป้อนเข้า</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 80.00 และปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนของผู้ปกครองร้อยละ 56.90 (R²= .569 p &lt; .000) โดยตัวแปรที่สามารถทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก ทัศนคติต่อการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากเด็ก การรับรู้ความสามารถตนเองในการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก การเข้าถึงแหล่งบริการทันตกรรม การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อนหรือชุมชน ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับ -0.116, 0.151, 0.106,&nbsp; 0.184, 0.261, 0.278 ตามลำดับ</p> <p>จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเน้นการให้บริการเชิงรุก <br>มีการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานทางด้านทันตสาธารณสุขที่เหมาะสม มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ถึงความสามารถของตนเองในการดูแลสุขภาพช่องปากและการป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากเด็ก เพื่อลดการรับรู้อุปสรรคในการป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากเด็ก <br>โดยผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการวางแผนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม</p> Miss Hanifah Booraka พรรณี บัญชรหัถตกิจ ทัศพร ชูศักดิ์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 43 60 การจัดการเรียนการสอนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/269196 <p>การวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของชุดกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ต่อพฤติกรรมการบริการและการจัดการเรียนการสอนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ประชากรที่ใช้ในงานวิจัยคือ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเทคนิคเภสัชกรรม ชั้นปีที่ 1 ที่ลงทะเบียนและเรียนวิชาคุณธรรมจริยธรรมวิชาชีพ จำนวน 40 คน ผู้ให้ข้อมูลในการสนทนากลุ่มด้วยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาสำหรับข้อมูลส่วนบุคคล สถิติวิเคราะห์การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสองกลุ่มสัมพันธ์กัน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการสะท้อนการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 18.93 ปี เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม ด้านจิตบริการ (5.40±1.91) ด้านการคิดเชิงวิเคราะห์ (4.45±2.81) และด้านการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง (2.75±1.56) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 จากการสนทนากลุ่มผู้เรียนสะท้อนกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกลุ่มที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม มีการสร้างข้อตกลงร่วมกัน มีการสะท้อนคิดหลังกิจกรรมทุกครั้ง ผู้สอนที่ยิ้มแย้ม พูดจาสุภาพที่พูดคุยได้ มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติงาน มีความเห็นอกเห็นใจ สามารถไว้วางใจได้ มีความสังเกต เป็นผู้ฟังที่ดีอย่างลึกซึ้งโดยไม่ตัดสิน และสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่ผ่อนคลาย ข้อเสนอแนะของการวิจัยนี้แนะนำให้ผู้วิจัยอื่นสร้างและพัฒนากิจกรรมสำหรับผู้สอน มีการติดตามและประเมินผลจากผู้เรียนและผู้สอน</p> สินีนาฏ วิทยพิเชฐสกุล Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 60 73 การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้านที่ปฏิบัติงานในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/267016 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยสหสัมพันธ์ (Correlation Research) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรี จำนวน 234 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของเครจซี่<br>และมอร์แกน&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคล &nbsp;การปฏิบัติงานเป็น อสม. แรงสนับสนุนทางสังคมและความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .864, .873 และ .924 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผลการวิจัย พบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรี มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.87,S.D.= .442) &nbsp;ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.01 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;แรงสนับสนุนทางสังคม (r =.372) และการปฏิบัติงานเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข (r = .585) และปัจจัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรี ได้แก่ การปฏิบัติงานเป็น อสม. แรงสนับสนุนทางสังคม ระดับการศึกษา และ เพศ (Beta= .640) สามารถร่วมกันพยากรณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรีได้ ร้อยละ 41.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> พิมพ์ณรัณ ผุดผาด Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 74 87 ประสิทธิผลของการเยี่ยมบ้านเพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากต่อพฤติกรรมดูแลสุขภาพช่องปากและปริมาณคราบจุลินทรีย์บนตัวฟันของผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/270054 <p>การบริการทันตกรรมไม่สามารถเข้าถึงในบางกลุ่มได้ เช่น ผู้สูงอายุ ดังนั้นการพัฒนาสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการ โดยเฉพาะงานส่งเสริมสุขภาพช่องปากให้สอดคล้องกับนโยบายหมอครอบครัว (Family care team) ที่เน้นการบริการในชุมชนเป็นหลัก การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการเยี่ยมบ้านเพื่อการส่งเสริมสุขภาพช่องปากต่อพฤติกรรมดูแลสุขภาพช่องปากและปริมาณคราบจุลินทรีย์บนตัวฟันของผู้สูงอายุ เป็นการวิจัยทดลองเบื้องต้น แบบศึกษากลุ่มเดียววัดสองครั้ง โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุ จำนวน 30 คน เข้าร่วมโปรแกรม 4 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที ประกอบด้วยกิจกรรมเสริมสร้างสัมพันธภาพ ประเมินสุขภาพองค์รวม และสร้างทักษะการดูแลช่องปาก และกระตุ้นทักษะการดูแลช่องปาก 1-3 เก็บข้อมูลดูแลสุขภาพช่องปาก 2 ครั้ง ก่อน-หลังทดลอง และเก็บข้อมูลคราบจุลินทรีย์บนตัวฟัน 6 ครั้ง ก่อนทดลอง สัปดาห์ที่ 1 สัปดาห์ที่ 3 สัปดาห์ที่ 5 สัปดาห์ที่ 7 และหลังทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน และสถิติ Paired T-test</p> <p>พบว่าภายหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมดูแลสุขภาพช่องปาก (=2.31 SD=0.17) สูงกว่าก่อนทดลอง (=1.96 SD=0.19) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (P-value &lt; 0.001) และภายหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยคราบจุลินทรีย์บนตัวฟัน (=52.53 SD=8.24) ต่ำกว่าก่อนทดลอง (=79.53 SD=6.12) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (P-value &lt; 0.001) จึงเสนอว่าควรมีการจัดกิจกรรมการเยี่ยมบ้านสำหรับผู้ผู้สูงอายุเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผุ้สูงอายุให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี</p> อนุพงษ์ สอดสี Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 88 98 ภาวะสุขภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/269339 <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะสุขภาพ คุณภาพชีวิต และวิเคราะห์ภาวะสุขภาพที่เสี่ยงต่อปัญหาการเจ็บป่วยของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ 420 ชั่วโมงจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จำนวน 41 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรวจร่างกายเบื้องต้นและใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ภาวะสุขภาพทางกายส่วนใหญ่มีค่าดัชนีมวลกาย น้ำหนักเกินถึงอ้วนระดับที่ 2&nbsp; รอบเอวเกินมาตรฐาน ความดันโลหิตค่อนข้างสูงและชีพจรปกติ (ร้อยละ 63.42, 65.85, 63.42, 73.17 ตามลำดับ) ไม่มีโรคประจำตัว (ร้อยละ 75.61) ส่วนภาวะสุขภาพทางจิต พบว่า ไม่เป็นโรคซึมเศร้า (ร้อยละ 95.12) มีความเครียด (ร้อยละ 48.78) สำหรับการวิเคราะห์ภาวะสุขภาพ พบว่า ภาวะสุขภาพทางกายมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคโรคอ้วนลงพุง ส่วนภาวะสุขภาพทางจิต พบว่าอยู่ในระดับดี เครียดเล็กน้อย คุณภาพชีวิตและสุขภาพโดยรวมดี(ร้อยละ 56.09)</p> <p>การวิเคราะห์ภาวะสุขภาพที่เสี่ยงต่อปัญหาการเจ็บป่วยและคุณภาพชีวิต พบว่า ภาวะสุขภาพทางกายมีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วนลงพุง ไตวายเรื้อรัง ฯลฯ ส่วนภาวะสุขภาพทางจิตดี เครียดเล็กน้อย คุณภาพชีวิตและสุขภาพโดยรวมดี ส่งผลต่อการดูแลและช่วยเหลือผู้สูงอายุได้อย่างเต็มศักยภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>ผลการศึกษา สามารถนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนส่งเสริมภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อส่งผลต่อการทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป</p> กนกพร ไพศาลสุจารีกุล Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 4 1 99 101