https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/issue/feed วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม 2023-12-29T14:03:46+07:00 ดร.สุทธิศักดิ์ สุริรักษ์ [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารศาสตร์สาธารณสุขและนวัตกรรม ดำเนินการโดย วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี วารสารฯเป็นภารกิจหนึ่งที่สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ และนักวิชาการที่ผลิตผลงาน ทั้งงานวิจัย บทความทางวิชาการในการสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาวิชาการ และวิชาชีพทั้งทางด้านการพยาบาล การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ การศึกษา ตลอดจนองค์ความรู้สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/262943 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH ของข้าราชการในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี 2023-05-29T19:39:06+07:00 Pairod Rodjanabeanjakul [email protected] <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH และปัจจัยทำนายความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากข้าราชการในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 352 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด และค่าต่ำสุด วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามโดยใช้การทดสอบสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน วิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามเพื่อทำนายความผันแปร โดยใช้สมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 66.5 มีคะแนนเฉลี่ย 140.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 26.23 ตัวแปรอิสระที่มีอิทธิพลต่อความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH มีจำนวน 6 ตัวแปร เรียงลำดับความสัมพันธ์จากมากไปน้อยดังนี้ 1) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 2) อัตราเงินเดือน 3) อายุ 4) ความพึงพอใจต่อบรรยากาศองค์กร 5) ทัศนคติต่อค่านิยม MOPH และ 6) เพศ (Beta = .357, .316, -.209, .169, .139 และ -.107 ตามลำดับ) โดยปัจจัยทั้งหมดสามารถร่วมกันทำนายความต้องการพัฒนาการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH ได้ร้อยละ 36.5 (R<sup>2 </sup>= .365)</p> <p><strong> </strong> สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดควรส่งเสริมให้ข้าราชการพัฒนาศักยภาพตนเองโดยมีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์เพื่อเป็นแรงผลักดันภายในไปสู่ความต้องการประสบความสำเร็จ เสริมสร้างบรรยากาศองค์กร ให้เป็นสถานที่ทำงานที่น่าอยู่น่าทำงาน พัฒนาให้ข้าราชการมีทักษะในการทำงานเป็นทีมโดยมองเป้าหมายความสำเร็จขององค์กรเป็นที่ตั้งร่วมกัน พร้อมกับเสริมสร้างและพัฒนาให้ข้าราชการมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามค่านิยม MOPH</p> 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/267022 การพัฒนารูปแบบการสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ 2023-12-29T12:47:22+07:00 Mrs.Sineenad Nawsuwan [email protected] <p>การวิจัยและพัฒนานี้เพื่อศึกษา 1)ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 2) พัฒนารูปแบบ และ 3) ประสิทธิผลของรูปแบบการสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ดำเนินการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษากลวิธีที่ดีในการสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง จากผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี จำนวน 13 คน เก็บข้อมูลด้วยการวิเคราะห์สนทนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบโดยการยกร่างรูปแบบที่พัฒนาขึ้นผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนนี้เป็นใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในคลินิกเบาหวาน แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสิงหนคร จำนวน 27 คน คำนวณโดยใช้โปรแกรม G* Power เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รูปแบบ SINHA Model แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบบันทึกระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ระหว่าง .67 – 1.00 และได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .805 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติ Paired sample t-test และ Wilcoxon signed ranks test ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ได้แก่ การอดอาหารหวาน อาหารมัน กาแฟ การเดินออกกำลังกาย การใช้เวลาในการเข้าวัดฟังธรรม การทำอาหารรับประทานเองเน้นการรับประทานปลาและผัก การค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานจากโทรทัศน์ และการกินสมุนไพร</li> <li>2. รูปแบบการสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ คือ SINGHA Model ประกอบด้วย 1) S: Social Media หมายถึง สื่อสังคมออนไลน์ มี 2) I: Information Support หมายถึงการให้ความรู้และคำแนะนำ 3) N: Nurturing of Local wisdom หมายถึง ภูมิปัญญาท้องถิ่น 4) G: Good Role Model หมายถึง คนต้นแบบ 5) H: Home หมายถึง ความผูกพันในครอบครัว 6) A: Administration หมายถึง การบริหารจัดการ</li> <li>3. ประสิทธิผลของรูปแบบ พบว่า หลังใช้รูปแบบผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้มีพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</li> </ol> <p>ดังนั้นควรนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปปรับใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ และขยายผลสู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/260980 ผลของการนิเทศแบบเสริมพลังต่อความรู้และทักษะการคัดแยกผู้ป่วย ของพยาบาลและนักเวชกิจฉุกเฉิน ในแผนกผู้ป่วยนอก 2023-12-29T13:45:32+07:00 Siriporn Homsawas [email protected] <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการนิเทศ แบบเสริมพลังต่อความรู้และทักษะการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินของพยาบาลห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน นักเวชกิจฉุกเฉินและพยาบาลผู้ป่วยนอก ของโรงพยาบาลน้ำโสม อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือโปรแกรมการนิเทศแบบเสริมพลังตามแนวคิดของกิบสัน แบบทดสอบความรู้และทักษะเกี่ยวกับการคัดแยกผู้ป่วย ได้ค่า KR20 เท่ากับ 0.73 และ 0.75 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เชิงพรรณนา และสถิติ Wilcoxon signed rank test ผลวิจัยพบว่า</p> <p>หลังการนิเทศแบบเสริมพลังพบว่า พยาบาลและนักเวชกิจฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลน้ำโสม อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี มีความรู้และทักษะเกี่ยวกับการคัดแยกผู้ป่วยเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> <p>ดังนั้นโรงพยาบาลน้ำโสมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำวิธีการนิเทศแบบเสริมพลังมาปรับใช้ในการพัฒนาศักยภาพการคัดแยกผู้ป่วยให้กับพยาบาลวิชาชีพ นักเวชกิจฉุกเฉิน ตลอดจนขยายผลไปสู่หน่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นในชุมชน</p> <p>คำสำคัญ: การนิเทศแบบเสริมพลัง, การคัดแยกผู้ป่วย, พยาบาลวิชาชีพ, นักเวชกิจฉุกเฉิน</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/264964 รูปแบบการบริโภคอาหารมื้อหลักของนักศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งหนึ่ง 2023-12-29T13:37:25+07:00 ศุภนิจ ทับชัย [email protected] เรวดี จงสุวัฒน์ [email protected] สุธรรม นันทมงคลชัย [email protected] จันทร์จิรา โพธิ์สัตย์ [email protected] <p>การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านโภชนาการกับรูปแบบการบริโภคอาหารมื้อหลักของนักศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 273 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ หาความสัมพันธ์ไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการบริโภคอาหารมื้อหลักของนักศึกษาส่วนใหญ่ (ร้อยละ 88.6) อยู่ในกลุ่มไม่เหมาะสม ความรอบรู้ทางโภชนาการของนักศึกษา อยู่ในระดับดี มากที่สุด (ร้อยละ 45.4) ผลการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรอบรู้ด้านโภชนาการกับรูปแบบการบริโภคอาหาร มื้อหลัก พบว่า ระดับความรอบรู้ด้านทักษะการสื่อสารด้านโภชนาการ ด้านทักษะการตัดสินใจการเลือกปฏิบัติด้านโภชนาการ และด้านทักษะการจัดการตนเองด้านโภชนาการ มีความสัมพันธ์กับรูปแบบการบริโภคอาหารมื้อหลัก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน และจัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพให้เหมาะสมกับนักศึกษาต่อไป</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/262880 การสำรวจปริมาณน้ำตาลจากเครื่องดื่มชาและกาแฟในห้างสรรพสินค้า จังหวัดสุพรรณบุรี 2023-12-29T13:46:45+07:00 มารุต ภู่พะเนียด [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณน้ำตาลที่ผสมในเครื่องดื่มประเภทชา และกาแฟที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า จังหวัดสุพรรณบุรี ตัวอย่างเครื่องดื่มทั้งหมดจำนวน 77 ชนิด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องตรวจค่าความหวาน(BRIX Refractometer) และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เครื่องดื่มชาและกาแฟที่ทำการสำรวจทั้งหมด 77 ชนิดมีค่าเฉลี่ยของปริมาณน้ำตาลเท่ากับ มีระดับน้ำตาลอยู่ในระดับสูง เมื่อจำแนกรายกลุ่มพบว่า กลุ่มเครื่องดื่มกาแฟมีค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำตาล ที่พบมากที่สุด คือ ลาเต้ (16.54 g/100ml) และมอคค่า (16.04 g/100ml) ซึ่งมีระดับน้ำตาลอยู่ในระดับสูง ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มชาค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำตาล ที่พบมากที่สุดคือ ชาไทย (20.28 g/100ml) และชาเขียว (19.68 g/100ml) มีระดับน้ำตาลอยู่ในระดับสูง ผู้บริโภคควรเลือกบริโภคหรือควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มให้เหมาะสมเพื่อลดการได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็น</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/264502 ผลของโปรแกรมสมาร์ทแพเร้นท์สต่อความรู้และทักษะการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 2023-12-29T13:36:24+07:00 ณปภา ประยูรวงษ์ [email protected] <p>เด็กปฐมวัยที่มีปัญหาพัฒนาการเกิดจากหลายปัจจัย การพัฒนาผู้ปกครองให้สามารถคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการให้กับบุตรตนเองได้ในเบื้องต้นจึงมีความสำคัญ การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสมาร์ทแพเร้นท์ (Smart Parents) ต่อความรู้และทักษะการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ศึกษาในผู้ปกครองเด็กที่มีอายุในช่วง 1-3 ปี จำนวน 60 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 30 คน กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมสมาร์ทแพเร้นท์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย จำนวน 4 ครั้ง โดยจัดกิจกรรมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ๆ ละ 2 ชั่วโมง เนื้อหาประกอบด้วย 1) ช่วงเวลาทองของหนู 2) เติบโตอย่างมั่นใจ สมองฉับไว ร่างกายแข็งแรง 3) สื่อใจถึงใจ เข้าใจภาษา และ 4) ฉลาด มั่นใจ ไหวพริบดี เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กปฐมวัย และแบบประเมินทักษะการส่งเสริมพัฒนาการเด็กของผู้ปกครองด้วยการใช้คู่มือเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) เก็บข้อมูล 2 ครั้ง คือ ก่อนทดลองและหลังทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน Pair Sample t-test และ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กปฐมวัยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของทักษะการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยของผู้ปกครองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จากงานวิจัยนี้จึงมีข้อเสนอแนะว่าควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้และทักษะเกี่ยวกับการประเมินและส่งเสริมพัฒนาการเด็กสำหรับผู้ปกครองเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพและแก้ปัญหาเด็กที่มีพัฒนาการที่ไม่ปกติได้อย่างทันท่วงที</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/267046 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จังหวัดปทุมธานี 2023-12-29T13:53:18+07:00 sirinat inchamchuen [email protected] <p>การศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยการรับรู้และปัจจัยชักนำให้เกิดการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคกับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 209 คน ใช้วิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเองผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Odds Ratio และสถิติ Multiple logistic regression ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 81.8 ผลการวิเคราะห์ Multiple logistic regression พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คือ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค อยู่ในระดับสูง (Adjusted Odd Ratio [Adjusted OR]=2.99, 95% Confidence Interval [CI]=1.16-7.71) และปัจจัยชักนำให้เกิดการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรค อยู่ในระดับสูง (Adjusted OR=3.07, 95% CI=1.36-6.92) จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ภาครัฐและภาคเอกชนควรมีการจัดกิจกรรม ประชาสัมพันธ์เพิ่มข้อมูลข่าวสารเน้นให้มีการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค การป้องกันโรคโดยให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือหน่วยงานท้องถิ่น เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล ผู้นำชุมชน สื่อสารข้อมูลผ่านทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความตระหนัก ในการดูแลสุขภาพและมีพฤติกรรมการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/264550 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน จังหวัดอุบลราชธานี 2023-12-29T12:27:04+07:00 Kanokporn Somporn [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน จังหวัดอุบลราชธานี โดยการวิจัยครั้งนี้ใช้การวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross - Sectional Study) พื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มการวิจัยระหว่างเดือนมกราคม 2566 – มีนาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านจังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) จำนวน 388 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปนำเสนอด้วย จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 63.30 อายุเฉลี่ย 67.95 ปี ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 88.70 (M=2.86, S.D.=0.43) ทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 73.40 (M =3.96 , S.D. =0.59) การรับรู้ภาวะสุขภาพและการดูแลสุขภาพตนเองในระดับสูง ร้อยละ 67.40 (M = 2.70 , S.D.= 0.50) ภาพรวมของปัจจัยเอื้ออยู่ในระดับสูง ร้อยละ 89.70 (M = 2.88 , S.D.= 0.36) ภาพรวมของปัจจัยเสริมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 85.50 (M = 2.84 , S.D.=0.39) พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพตนเองตามหลัก 5 อ. ด้านอาหารอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 64.30 อ. อนามัย อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 84.00 อ. ออกกำลังกาย อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 50.60 อ. อารมณ์ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 63.80 และ อ. อดิเรก อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 65.90 การวิเคราะห์ความเป็นเชิงเส้นใช้การวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยวิธี Enter พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วย ปัจจัยนำ (ปัจจัยด้านความรู้ ปัจจัยด้านการรับรู้) และปัจจัยเสริม ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน สามารถร่วมกันพยากรณ์พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ร้อยละ 21.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/266794 ผลของมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการแพร่กระจาย ของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย 2023-12-27T23:28:42+07:00 จันทภา จวนกระจ่าง [email protected] ภิรมย์ น้อยสำแดง [email protected] นนท์ธิยา หอมขำ [email protected] <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาด ของโควิด 19 การแพร่กระจายของสายพันธุ์ต่างๆ ของไวรัส Severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 (SARS-CoV-2) และปริมาณการได้รับวัคซีนโควิด 19 ต่อจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต จากโรคโควิด 19 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2564 จากฐานข้อมูล Covid-19 Dashboard ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและฐานข้อมูล Global initiative on sharing all influenza data (GISAID) ผลการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 พบว่า การได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มเพิ่มขึ้นจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง (adjusted incidence rate ratios [IRR<sub>adj</sub>] = 0.86; 95% confidence interval [95% CI] =0.75 – 0.99) การใช้มาตรการห้ามชุมนุม และมาตรการ lockdown มีผลทำให้จำนวน ผู้ติดเชื้อลดลง (IRR<sub>adj</sub> = 0.33; 95% CI = 0.11 - 0.95 และ IRR<sub>adj</sub> = 0.06; 95% CI = 0.04 - 0.32) ในขณะที่การแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์สายพันธุ์ Beta และสายพันธุ์ Delta เพิ่มขึ้นจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น (IRR<sub>adj</sub> = 1.24; 95% CI = 1.01 - 1.52 และ IRR<sub>adj</sub> = 1.02; 95% CI = 1.01 - 1.02) ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด 19 พบว่า การได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มเพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ลดลง (IRR<sub>adj</sub> = 0.84; 95% CI = 0.71 - 0.98) การใช้มาตรการห้ามชุมนุมมีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ลดลง (aIRR = 0.18; 95% CI = 0.05 - 0.64) ในขณะที่ผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ Beta และสายพันธุ์ Delta เพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เพิ่มขึ้น (IRR<sub>adj</sub> = 1.35; 95% CI = 1.03 - 1.76 และ IRR<sub>adj</sub> = 1.02; 95% CI =1.01 - 1.03)</p> <p>ดังนั้นการใช้มาตรการห้ามชุมนุม และมาตรการ lockdown รวมถึงการได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยและจำนวนผู้เสียชีวิต อันเป็นผลสำคัญต่อการวางแผนในเชิงนโยบาย ปรับปรุง และพัฒนามาตรการควบคุมและการเฝ้าระวังเชิงรุกต่อโรคอุบัติใหม่ได้ในอนาคต</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/J-PHIN/article/view/265768 ผลสะท้อนของนวัตกรรมการปรึกษาเชิงจิตวิทยา เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 2023-12-29T14:03:46+07:00 สินีนาฏ วิทยพิเชฐสกุล [email protected] <p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสะท้อนของนวัตกรรมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน 10 คน คือ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ และนักสาธารณสุข จำนวนวิชาชีพละ 2 คน ทำงานในภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย และอายุมากกว่า 30 ปี ที่เข้ารับนวัตกรรมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จำนวน 8 ครั้ง ครั้งละ 90 นาที จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันทางใจ และแนวทางในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ และผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ได้ค่าการวิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้องของแบบสัมภาษณ์กับวัตถุประสงค์ เท่ากับ 0.80 โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง ด้วยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการสะท้อนการวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้สะท้อนเกี่ยวกับนวัตกรรมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาว่า สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ดีขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้นในประเด็นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ที่สอดคล้องกับเทคนิคการตระหนักรู้และมีสติมากขึ้นต่อการดำรงอยู่ และสามารถมองมุมใหม่กับเรื่องราวที่กระทบเข้ามาได้ ทำให้เบาใจ โล่งใจและจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเพื่อก้าวเดินต่อไปได้ และที่สำคัญได้เทคนิคทางความคิดที่ทำให้ตัวเองได้ทบทวน และวิเคราะห์ความคิดของตัวเองผ่านกระบวนการโต้แย้งทางความคิด ทำให้ปรับความคิดได้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้น นวัตกรรมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจนี้</p> 2023-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดสุพรรณบุรี