https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/issue/feed วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน 2025-09-15T13:48:19+07:00 Assist.Prof.Dr.Denpong Patanasethanont ijps.thailand@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วัตถุประสงค์ และขอบเขต: </strong><strong>IJPS (Isan J Pharm Sci)</strong></p> <p>วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน (Isan Journal of Pharmaceutical Sciences) กำหนดตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน, พฤษภาคม-สิงหาคม, และกันยายน-ธันวาคม) เป็นวารสารวิชาการที่ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ทางสาขาเภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารข้อมูลและข้อคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย จากทุกสถาบัน โดยมีขอบเขตเนื้อหาครอบคลุมศาสตร์สาขา ดังต่อไปนี้ เภสัชกรรมปฏิบัติ (pharmacy practice), การบริบาลทางเภสัชกรรม (pharmaceutical care), เทคโนโลยีเภสัชกรรม (pharmaceutical technology) และเภสัชอุตสาหกรรม (Industrial pharmacy), เภสัชเคมี (pharmaceutical/medicinal chemistry), เภสัชวิทยา (pharmacology), เภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetics), เภสัชพฤกษศาสตร์ (pharmaceutical botany), เภสัชเวทและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (pharmacognosy and natural products), เภสัชกรรมสังคมและบริหาร (social and administrative pharmacy), เภสัชเศรษฐศาสตร์ (pharmacoeconomics), โภชนเภสัชภัณฑ์ (Nutraceutical), วิทยาการเครื่องสำอางและความงาม (Cosmetic sciences and beauty), เทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชศาสตร์ (biotechnology), เภสัชพันธุศาสตร์ (pharmacogenomics), พิษวิทยา (Toxicology) และเภสัชเคมีวิเคราะห์ (analytical pharmaceutical chemistry)</p> <p>การรับผลงาน: รับผลงานผ่านระบบออนไลน์ (E-Journal) เว็บไซต์: https://tci-thaijo.org/index.php/IJPS</p> <p>การประเมินบทความ: บทความจะถูกส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขา (Referee) จำนวน 4 ท่าน พิจารณาประเมินบทความแบบ Double-blind คือ ผู้แต่งบทความ (Author) ไม่ทราบชื่อ หน่วยงาน ของผู้ประเมิน และผู้ประเมินหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) ก็ไม่ทราบชื่อ หน่วยงาน ของผู้แต่งบทความเช่นกัน โดยใช้ระยะเวลาในการพิจารณาการตีพิมพ์รวมประมาณ 3 เดือน</p> <p>รูปแบบการตีพิมพ์: นิพนธ์ต้นฉบับ นิพนธ์ปริทัศน์</p> <p>กำหนดออก: ปีละ 3 ฉบับ (เมษายน, สิงหาคม, และธันวาคม ของทุกปี)</p> <h4>สำนักงานกองบรรณาธิการ: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 123 ถ.มิตรภาพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40002</h4> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/272888 ผลการให้ความรู้เรื่องการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมโดยเภสัชกร 2024-08-05T14:05:52+07:00 กนกกช บุศย์น้ำเพชร nprpharmchemo@gmail.com ชญานิน กำลัง Chaya_k@hotmail.com ปัญญาภรณ์ ทรงสุนทรวงศ์ nprpharmchemo@gmail.com อัชฎา เหมะจันทร nprpharmchemo@gmail.com เทพนรินทร์ ช่างประเสริฐ nprpharmchemo@gmail.com <p>มะเร็งเต้านมจัดเป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศหญิง การรักษามะเร็งเต้านมโดยทั่วไปผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัด และในผู้ป่วยบางรายอาจต้องได้รับยาเคมีบำบัด รังสีรักษาหรือยาต้านฮอร์โมนร่วมด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรค อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยขาดความรู้ความเข้าใจและกลัว รวมถึงปฏิเสธการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด อาจส่งผลให้โรคลุกลามและกลับเป็นซ้ำได้ การจัดตั้งทีมสหสาขาวิชาชีพและมีเภสัชกรเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการให้ข้อมูล คำปรึกษา จะสามารถทำให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือกับแผนการรักษาได้ดียิ่งขึ้น <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อประเมินความรู้ของผู้ป่วยโดยเปรียบเทียบคะแนนความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมก่อนและหลังได้รับความรู้จากเภสัชกร ศึกษาการกลับมารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์จากยาเคมีบำบัด และการจัดการอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น <strong>วิธีการศึกษา :</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาชนิดศึกษาไปข้างหน้า ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มาผ่าตัดที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2561 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2562 และได้รับความรู้เรื่องการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดโดยเภสัชกร 2 ครั้ง คือ หลังผ่าตัด (ภายใน 1 สัปดาห์) และวันที่นัดมาพบแพทย์ เพื่อฟังแผนการรักษา เภสัชกรประเมินคะแนนความรู้ผู้ป่วยก่อนและหลังให้ความรู้เรื่องการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด โดยใช้แบบประเมินความรู้ และติดตามการกลับมารักษาต่อ การเกิดอาการไม่พึงประสงค์และการจัดการโดยการสัมภาษณ์ <strong>ผลการศึกษา :</strong> ผลการประเมินความรู้ของผู้ป่วย 41 ราย พบค่ามัธยฐานคะแนนความรู้หลังได้รับความรู้จากเภสัชกร (9 คะแนน) สูงกว่าค่ามัธยฐานคะแนนความรู้ก่อนได้รับความรู้จากเภสัชกร (7 คะแนน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) โดยข้อคำถามที่ผู้ป่วยตอบถูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.001) คือ “ผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกรายจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด” และพบผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 95.1) กลับมารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหรือยาต้านฮอร์โมนตามกำหนดเวลาภายใน 6 สัปดาห์หลังผ่าตัด สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยกลับมารับการรักษาไม่ทันตามกำหนด คือ ผู้ป่วยต้องทำหัตถการอื่น (ร้อยละ 4.9) อาการไม่พึงประสงค์ที่พบส่วนใหญ่เกิดในระบบทางเดินอาหารและมีความรุนแรงระดับ 1 คือ คลื่นไส้ร้อยละ 36.6 อาเจียนร้อยละ 22 ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ที่มีความรุนแรงระดับ 3 คือ อาการอาเจียน (ร้อยละ 2.4) ทำให้ผู้ป่วยต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล <strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การให้คำปรึกษาโดยเภสัชกรช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และส่งเสริมการกลับมารับการรักษาตามแผนอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/273002 ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ด้วยเกณฑ์วันนอน มูลค่าการเรียกเก็บ มูลค่าการชดเชยและผลลัพธ์ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ส่งต่อจากโรงพยาบาลศูนย์ไปรักษาต่อในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดศรีสะเกษ 2024-08-14T10:19:56+07:00 วชิรา สุเมธิวิทย์ w.sumethiwit@gmail.com อนัญญา สร้อยคำ ananya.soikum@gmail.com <p>การส่งต่อผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลศูนย์ไปรักษาต่อในโรงพยาบาลชุมชน เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรในระบบสุขภาพ <strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อวิเคราะห์ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ด้วยเกณฑ์วันนอน มูลค่าการเรียกเก็บ มูลค่าการชดเชย และผลลัพธ์ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ส่งต่อจากโรงพยาบาลศูนย์ไปรักษาต่อในโรงพยาบาลชุมชนได้รับหรือไม่ได้รับยาต้านแบคทีเรียชนิดฉีด <strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยเชิงวิเคราะห์ ประชากร 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง ได้รับยาจากโรงพยาบาลศูนย์ และกลุ่มสองได้รับยาจากโรงพยาบาลชุมชน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566 วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติ Mann-Whitney U-test <strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยได้รับยาต้านแบคทีเรียชนิดฉีดจากโรงพยาบาลศูนย์ จำนวน 522 ราย (ร้อยละ 23.97) ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย 1,385 (ร้อยละ 63.59) พบการส่งต่อไปรักษาในรพ.ขุนหาญ รพ.ขุขันธ์ และรพ.กันทรารมย์ สูงสุดสามอันดับแรก ภาพรวมต่อครั้งการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วย พบว่า ค่าเฉลี่ยค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ด้วยเกณฑ์วันนอน คือ 3.21 ค่าเฉลี่ยมูลค่าการเรียกเก็บ คือ 41,334.75 บาท ค่าเฉลี่ยมูลค่าการชดเชย คือ 27,867.63 บาท และค่าเฉลี่ยผลลัพธ์ค่ารักษาพยาบาล คือ -13,467.13 บาท ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ด้วยเกณฑ์วันนอน มูลค่าการเรียกเก็บ มูลค่าการชดเชย ของผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านแบคทีเรียชนิดฉีดจากโรงพยาบาลศูนย์มีค่าสูงกว่าแต่ผลลัพธ์ค่ารักษาพยาบาล มีค่าต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt; 0.01 ผู้ป่วยส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลชุมชนมีมูลค่าการเรียกเก็บ จำนวน 90,027,098.20 บาท ได้รับการชดเชย จำนวน 60,695,692.22 บาท ทำให้โรงพยาบาลขาดทุน 29,331,405.98 บาท กลุ่มโรคที่ขาดทุน 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มโรคของระบบย่อยอาหาร กลุ่มโรคติดเชื้อและโรคปรสิตบางโรคและกลุ่มโรคการบาดเจ็บ การเป็นพิษและผลสืบเนื่องบางอย่างของสาเหตุภายนอกตามลำดับ <strong>สรุปผล:</strong> ผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลศูนย์ไปรักษาต่อในโรงพยาบาลชุมชน พบว่า การได้รับยาจากโรงพยาบาลศูนย์ ส่งผลให้ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ด้วยเกณฑ์วันนอน มูลค่าการเรียกเก็บและมูลค่าการชดเชย มีมูลค่าสูง และเมื่อคำนวณผลลัพธ์ค่ารักษาพยาบาลพบว่ามีการขาดทุนมากกว่าการไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาลศูนย์</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/276938 รูปแบบและผลลัพธ์ของการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดสองชนิดร่วมกันในผู้สูงอายุที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 2025-03-19T11:04:20+07:00 ณัฎฐณิชา เป็งตาวงค์ voratima.silavanich@gmail.com นิศาชล วังแวว voratima.silavanich@gmail.com อรินทยา พรหมินธิกุล voratima.silavanich@gmail.com วรธิมา อยู่ดี voratima.silavanich@gmail.com <p>เนื่องจากยังไม่ทราบผลที่แน่ชัดของการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในผู้สูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ด้านหัวใจ และการเกิดเลือดออกสูง ผู้วิจัยจึงศึกษารูปแบบและผลลัพธ์ของการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในผู้สูงอายุที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ <strong>วิธีการวิจัย:</strong> การศึกษาจากเหตุไปผลแบบย้อนหลัง โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ผลลัพธ์หลัก คือ รูปแบบการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด ในขณะที่ผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพ (การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง) และผลลัพธ์ด้านความปลอดภัย (ใช้เกณฑ์ Bleeding Academic Research Consortium (BARC)) คือผลลัพธ์รอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิตเชิงพรรรณา(การแจกแจงความถี่, ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ Fisher’s exact test และ independent t-test <strong>ผลการวิจัย:</strong> มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การศึกษา 72 ราย โดยส่วนใหญ่ได้รับ aspirin ร่วมกับ ticagrelor คิดเป็นร้อยละ 66.7 สำหรับผลลัพธ์รวมด้านประสิทธิภาพพบอุบัติการณ์ร้อยละ 2.78 ในกลุ่มที่ได้รับ aspirin ร่วมกับ clopidogrel พบอุบัติการณ์ร้อยละ 4.17 และกลุ่มที่ได้รับ aspirin ร่วมกับ ticagrelor ร้อยละ 2.08 โดยไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 1.000) สำหรับผลลัพธ์รวมด้านความปลอดภัย พบอุบัติการณ์รวม ร้อยละ 11.11 โดยไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มที่ได้รับ clopidogrel (ร้อยละ 4.17) และกลุ่มที่ได้รับ ticagrelor (ร้อยละ 14.58) (p-value = 0.255) <strong>สรุปผลการวิจัย:</strong> รูปแบบของการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในผู้สูงอายุที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน พบว่า aspirin ร่วมกับ ticagrelor ถูกสั่งใช้มากกว่าร่วมกับ clopidogrel โดยทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/279236 การทบทวนการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ต้านวิตามินเค ณ โรงพยาบาลค่ายสรรพประสิทธิประสงค์ 2025-05-27T15:15:42+07:00 กาญจนรักษ์ อึ้งเจริญวัฒนา annrx19@yahoo.com วริศรา ผุดผ่อง waritsara.pu.61@ubu.ac.th วิมลลักษ์ ยอดสิงห์ wimonlak.yo.61@ubu.ac.th พีรวัฒน์ จินาทองไทย peerawat.j@ubu.ac.th รชตะ มังกรแก้ว rachata.m@ubu.ac.th <p>อัตราการสั่งใช้ยา NOACs เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ยาแต่ละตัวมีรายละเอียดในการสั่งใช้ที่แตกต่างกัน ทำให้มีความเสี่ยงในการใช้ยาไม่เหมาะสม จึงควรมีการกำกับติดตามการใช้ยา <strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อทบทวนการสั่งใช้ยา NOACs ณ โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ <strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวางย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลโรงพยาบาลระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยทบทวนความสอดคล้องของการสั่งใช้ยากับเกณฑ์การสั่งใช้ในประเด็นข้อบ่งใช้ ขนาดยา วิธีการบริหารยา และการได้ร่วมกับยาที่ทำให้เกิดอันตรกิริยาระหว่างยารุนแรง <strong>ผลการวิจัย:</strong> พบใบสั่งยา 764 ใบที่มีการสั่งใช้ยา NOACs ในผู้ป่วย 127 ราย ร้อยละ 66.93 เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 75.55 ± 10.08 ปี มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง คิดเป็นร้อยละ 74.02 ส่วนใหญ่เป็นการใช้ยา NOACs ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว โดยร้อยละ 60.86 และ 39.14 ของใบสั่งยาเป็นการสั่งใช้ยา dabigatran และ rivaroxaban ตามลำดับ สำหรับผลการทบทวนการสั่งใช้ยาพบว่า มีเพียงร้อยละ 43.98 ของใบสั่งยาที่สอดคล้องตามเกณฑ์การสั่งใช้ในทุกประเด็น เมื่อพิจารณาความสอดคล้องแยกตามประเด็น พบว่ามีความสอดคล้องในประเด็นของข้อบ่งใช้ ขนาดยา และวิธีการบริหารยา คิดเป็นร้อยละ 98.28, 77.62 และ 53.53 ตามลำดับ และไม่พบการสั่งใช้ร่วมกับยาที่ทำให้เกิดอันตรกิริยาระหว่างยารุนแรง <strong>สรุปผลการวิจัย:</strong> การสั่งใช้ยา NOACs มีความสอดคล้องตามเกณฑ์ในประเด็นข้อบ่งใช้เป็นหลัก โดยยังต้องมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มความสอดคล้องในประเด็นเรื่อง วิธีการบริหารยา และขนาดยา เพื่อให้เกิดการสั่งใช้ยาในโรงพยาบาลอย่างเหมาะสมต่อไป</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/280479 การข้ามพรมแดนและสถานการณ์ปัญหายาผลิตภัณฑ์สุขภาพชายแดนประเทศไทย กรณียาสเตียรอยด์ 2025-06-24T15:44:11+07:00 สุภนัย ประเสริฐสุข spras77@hotmail.com อินแก้ว สิงห์แก้ว spras77@hotmail.com ไพลิน สาระมนต์ spras77@hotmail.com พงศักดิ์ นาต๊ะ spras77@hotmail.com โศภิต สิทธิพันธ์ spras77@hotmail.com นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี spras77@hotmail.com <p>การกระจายและการใช้ยากลุ่มเสี่ยงสเตียรอยด์โดยเฉพาะการนำสเตียรอยด์ไปปลอมปนในผลิตภัณฑ์สุขภาพจากพื้นที่ชายแดนไทยเป็นปัญหาสะท้อนความเปราะบางของระบบการกำกับดูแลภายใต้บริบทที่ซับซ้อนของความเป็นชายแดน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพคนในประเทศ การศึกษานี้มุ่งทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวเพื่อสะท้อนความเป็นจริงเชิงโครงสร้างและเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมในระดับชุมชนและนโยบาย <strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลแบบหลายวิธี (multi-method qualitative approach)จากการทบทวนเอกสาร บันทึกภาคสนาม สัมภาษณ์เชิงลึก ใช้ตัวแทนเข้าไปทำบทบาทสมมติ ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนในจังหวัดไทย – ลาว – กัมพูชา – เมียนมาร์ และมาเลเซีย ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข แรงงานข้ามชาติ พ่อค้าแม่ค้า ผู้ป่วยในพื้นที่ชายแดน ข้อมูลที่ได้ผ่านการตรวจสอบสามเส้าและนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและเชิงประเด็น แลกเปลี่ยนกับผู้เชี่ยวชาญเป็นระยะในระหว่างตุลาคม 2567 – เมษายน 2568 <strong>ผลการศึกษา:</strong> ชายแดนประเทศไทยพบปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้ายาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ การตรวจพบสารต้องห้ามโดยเฉพาะ Dexamethasone ในผลิตภัณฑ์สุขภาพ สะท้อนถึงการควบคุมที่ยังไม่เพียงพอโดยพบทุกพื้นที่ชายแดนประเทศไทย แม้ว่าจะมีกลไกควบคุมผ่านด่านอาหารและยาก็ตาม ยังพบว่าเป็นแหล่งกระจายยาสำหรับคนในพื้นที่และแรงงานข้ามชาติที่ขาดสิทธิเข้าถึงบริการสุขภาพเนื่องจากความเหลื่อมล้ำของระบบสุขภาพในประเทศข้างเคียง จนต้องพึ่งพาการซื้อยาผ่านร้านค้าและตลาดนัดชายแดน แรงงานเหล่านี้มักใช้ “ยาชุด”และยาปลอมปนที่มีประสิทธิภาพชั่วคราว และปัญหาการใช้ยาเกินจำเป็นจากสถานพยาบาล เช่น การฉีด Lincomycin ในคลินิกบางประเภท <strong>สรุปผลการศึกษา:</strong> ภูมิทัศน์ยาชายแดนไทย เผยให้เห็นช่องโหว่ของระบบควบคุมโดยเฉพาะยากลุ่มเสี่ยง การแก้ไขปัญหายาชายแดนต้องเข้าใจสถานะการประนีประนอมที่ปรากฏชัดตราบเท่าที่ไม่กระทบความมั่นคง ภาวะผิดกฏหมายแต่ชอบธรรมของยาที่ซ้อนทับไปกับการเลื่อนไหลของผู้คน สินค้า วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเด็นที่เสนอจากข้อค้นพบได้แก่พัฒนากระบวนการกำกับและใช้เทคโนโลยีเฝ้าระวัง เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบและการใช้ยาโดยไม่มีมาตรฐาน สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพิ่มกลไกอาสาสมัครชายแดนระดับพื้นที่จะช่วยยกระดับสุขภาวะและความมั่นคงของรัฐในระยะยาว</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/280528 การทบทวนการใช้ยา ceftazidime/avibactam ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ 2025-06-30T09:15:16+07:00 ชุลีพร พิทยกิตติวงศ์ chulpi@kku.ac.th เจตปรียา รุ่งสุขใส chulpi@kku.ac.th พิมพ์ธิดา อุปโคตร chulpi@kku.ac.th อธิบดี มีสิงห์ chulpi@kku.ac.th ศิริลักษณ์ ใจซื่อ chulpi@kku.ac.th <p>ปัญหาเชื้อดื้อยา โดยเฉพาะเชื้อ Carbapenem-Resistant Enterobacterales (CRE) ยังคงเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุข และการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลเป็นหนึ่งในมาตรการที่อาจช่วยชะลอการดื้อยา ซึ่งรวมถึง ceftazidime/avibactam ที่เป็นหนึ่งในยาที่สามารถครอบคลุมเชื้อ CRE <strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษารูปแบบการสั่งใช้ยา ceftazidime/avibactam ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ และผลการรักษาด้วยยาดังกล่าว <strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงสังเกตแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับยา ceftazidime/avibactam โดยประเมินความสอดคล้องของรูปแบบการสั่งใช้ยาตามเกณฑ์แนวทางการกำกับการใช้ยาฉบับรับรองโดยอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2565 ในด้านข้อบ่งใช้ ขนาดและวิธีการบริหารยา ระยะเวลาในการรักษา การติดตามประสิทธิภาพและความปลอดภัยระหว่างการใช้ตามแนวทางที่พัฒนาขึ้นมาในการศึกษานี้ และศึกษาผลลัพธ์ในการรักษา <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>จากข้อมูลการสั่งใช้ยา 148 ครั้ง (n) ในผู้ป่วย 134 ราย (N) พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยวิกฤต 99 ราย (n, 66.9%) และเข้ารับการรักษาในแผนกอายุรกรรม 100 ราย (n, 67.6%) ข้อบ่งใช้ที่พบบ่อยที่สุด คือ ติดเชื้อในกระแสเลือด 58 ครั้ง (33.5%) เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ คือ <em>Klebsiella pneumoniae</em> และ <em>Escherichia coli</em> ซึ่งดื้อต่อยากลุ่ม Carbapenem ในส่วนรูปแบบการสั่งใช้ยา พบว่าข้อบ่งใช้สอดคล้องตามเกณฑ์ 68 ครั้ง (46%) ได้รับยาในขนาดและความถี่ตามเกณฑ์ 84 ครั้ง (56.8%) วิธีการบริหารยาตรงตามเกณฑ์ 75 ครั้ง (50.7%) และมีระยะเวลาในการรักษาตรงตามเกณฑ์ 94 ครั้ง (63.5%) ผู้ป่วยได้รับการติดตามประสิทธิภาพระหว่างใช้ยา 138 ครั้ง (93.2%) และติดตามความปลอดภัยระหว่างใช้ยา 141 ครั้ง (95.3%) สำหรับผลลัพธ์ในการรักษา พบว่าผู้ป่วย 77 ราย (n, 52%) หายจากโรค <strong>สรุปผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> รูปแบบการใช้ยา ceftazidime/avibactam ในโรงพยาบาลแห่งนี้มีความสอดคล้องกับเกณฑ์แนวทางการกำกับการใช้ยาฉบับรับรองโดยอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติในระดับปานกลาง ทั้งในด้านข้อบ่งใช้ ขนาดและวิธีการบริหารยา แต่มีการติดตามการรักษาในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยระหว่างใช้ยาในระดับสูง ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายจากการรักษาด้วยยา ceftazidime/avibactam ควรสนับสนุนให้มีการใช้ยาให้สอดคล้องตามเกณฑ์แนวทางกำกับ เพื่อควบคุมการดื้อยาระดับประเทศ</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน