https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/issue/feedJournal of Health Sciences and Wellness2025-06-26T00:00:00+07:00หทัยรัตน์ ทับทองhathairat.hcu@gmail.comOpen Journal Systems<p>วารสาร มฉก. วิชาการ จัดทำโดยมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย และบทความทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์สุขภาพทุกสาขาวิชา โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณากลั่นกรองบทความเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารฯ จำนวน 2 ท่านต่อบทความ โดยเป็นการประเมินแบบ Double-blinded</p>https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/272188Social Fitness Across Life Stages: A Key to Mental Health and Wellbeing2024-09-20T15:36:12+07:00Siraporn Silphipatsirapornryan@gmail.comOnouma Thummapolonoumathm@au.edu<p>Social fitness, the ability to cultivate and maintain meaningful social connections across various life stages, is pivotal in promoting mental health and overall well-being. This concept encompasses key components, including social connections and support networks, social skills and competence, social engagement and inclusion, and social resilience and satisfaction, which play integral roles in shaping individuals’ mental health trajectories across different life stages. This article aims to explore the profound impact of social fitness on mental health and well-being across various life stages. Moreover, it provides insights into understanding the role of social fitness in mental health through its multifaceted components. Social connections and support networks offer emotional support and a sense of belonging that are vital for coping with stress and adversity across all ages. Developing social skills and competence from childhood enables effective communication and relationship-building skills, contributing to better mental health outcomes in adolescence and adulthood. Social engagement and inclusion foster community integration and reduce feelings of isolation, enhancing psychological resilience and overall life satisfaction. Recognizing the diversity of populations and contextual variables is essential for understanding how social fitness influences mental well-being, guiding effective interventions and policies that enhance social connectivity and satisfaction, thereby contributing to healthier and more resilient societies.</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/272697อุบัติการณ์และการจำแนกอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในศูนย์การแพทย์บางรัก ด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์2025-01-03T13:05:26+07:00Thanunyakorn Marinnthanunyakorn@gmail.comChantana Chookiartsiririnnthanunyakorn@gmail.comEkkachai Daengsaardrinnthanunyakorn@gmail.comKarunrat Tewthanonrinnthanunyakorn@gmail.comRossaphorn Kittiyaowamarnrinnthanunyakorn@gmail.com<p>อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการใช้ยาเพื่อรักษา วินิจฉัย และป้องกันโรค โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อาการข้างเคียงจากการใช้ยา และอาการแพ้ยา การวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ความถี่และรายละเอียดของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 จากฐานข้อมูลบันทึกอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ศูนย์การแพทย์บางรักด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นคลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และผิวหนัง ที่เปิดให้บริการตรวจรักษาเฉพาะผู้ป่วยนอก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบบันทึกข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้มารับบริการทั้งหมดที่ได้รับยาจำนวน 21,794 ราย เป็นผู้มารับบริการรายใหม่<br />ที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา 46 ราย คิดเป็นอุบัติการณ์ของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ร้อยละ 0.21 ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 65.22 ประเภทของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาส่วนใหญ่เป็นอาการแพ้ยา ร้อยละ 70.83 กลุ่มยาที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์มากที่สุด คือ กลุ่มยารักษาการติดเชื้อ (Infections) ร้อยละ 65.31 โดยเป็นยา Doxycycline ร้อยละ 36.73 ลักษณะอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาส่วนใหญ่เป็นอาการต่อระบบผิวหนัง ร้อยละ 53.23 ผลการประเมินระดับความน่าจะเป็นจากแบบประเมินอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (Naranjo’s algorithm) พบระดับน่าจะใช่ ร้อยละ 62.50 ดังนั้น การวิจัยนี้ สามารถก่อให้เกิดองค์ความรู้นำไปใช้ในการประเมินระดับความน่าจะเป็นของยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และผิวหนังที่สงสัยว่าอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา รวมถึงการเฝ้าระวังและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในผู้มารับบริการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และผิวหนังได้ </p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/270829ผลของโปรแกรมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนต่อความรู้ ทัศนคติ และ ทักษะการดูแลของเด็กวัยเรียนที่ดูแลผู้สูงอายุ2024-09-30T15:36:07+07:00Parichat Rattanarajdarunee.j@ubru.ac.thDarunee Jaisawangdarunee.j@ubru.ac.th<p>การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวระหว่างผู้สูงอายุและเด็กวัยเรียนมีความจำเป็นต่อการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน การพัฒนาโปรแกรมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงมีความสำคัญเพื่อเสริมสร้างความรู้ ทัศนคติ และทักษะการดูแลของเด็กวัยเรียนสำหรับดูแลผู้สูงอายุ การวิจัยนี้เป็นแบบกึ่งทดลองเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนต่อความรู้ ทัศนคติ และ ทักษะการดูแลของเด็กวัยเรียนที่ดูแลผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนบ้านสร้างแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 60 คน ใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายและแบ่งเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามความรู้ ทัศนคติและทักษะการดูแลผู้สูงอายุ และ 2) โปรแกรมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน เครื่องมือตรวจสอบความตรงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ค่าความเชื่อมั่นแบบวัดความรู้ ทัศนคติ และทักษะการดูแลผู้สูงอายุ เท่ากับ 0.73, 0.71 และ 0.77 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา สถิติค่าทีคู่ และค่าทีอิสระ ผลการวิจัยพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ และทักษะการดูแลในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ในขณะเดียวกันค่าคะแนนเฉลี่ยทัศนคติในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนสำหรับเด็กวัยเรียนช่วยส่งเสริมความรู้ ทัศนคติและทักษะการดูแลผู้สูงอายุได้ ดังนั้นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้เพื่อพัฒนาเด็กวัยเรียนในพื้นที่ให้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถช่วยดูแลผู้สูงอายุที่บ้านต่อไป</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/273195ผลลัพธ์ของการพัฒนางานบริบาลเภสัชกรรมในคลินิกผู้ป่วยนอกโรควัณโรคในโรงพยาบาลวชิรพยาบาล2024-10-29T13:42:33+07:00Krittima Phochanasomboonkrittima@nmu.ac.th<p> การดูแลผู้ป่วยวัณโรคโดยใช้งานบริบาลเภสัชกรรมมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกเพื่อลดความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยาเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา และระยะเวลารอคอยรับยา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยวัณโรคที่มารับการตรวจรักษาระหว่างวันที่ 2 มกราคม – 27 กันยายน 2565 จัดเป็นระยะที่ 1 (บริบาลเภสัชกรรมแบบดั้งเดิม) และระหว่างวันที่ 2 มกราคม – 28 ธันวาคม 2566 จัดเป็นระยะที่ 2 (บริบาลเภสัชกรรมที่พัฒนาขึ้นใหม่) โดยใช้แบบบันทึกการให้บริบาลเภสัชกรรมสำหรับผู้ป่วยวัณโรคประยุกต์ตามแนวทางการควบคุมวัณโรคประเทศไทย เก็บรวมรวมข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย ข้อมูลทางคลินิก ข้อมูลการสั่งใช้ยา และระยะเวลาการรอคอยรับยา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาระยะที่ 1 มีผู้ป่วยวัณโรค 309 ราย พบความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยามากที่สุดสองอันดับแรก ได้แก่ สั่งจำนวนยาไม่ครบตามวันแพทย์นัด ร้อยละ 67.43 ปัญหาการสั่งใช้ยาขนาดไม่เหมาะสม ร้อยละ 18.81 อาการไม่พึงประสงค์จากยาระดับไม่รุนแรง ร้อยละ 12.94 ระดับรุนแรง ร้อยละ 14.89 ระยะที่ 2 มีผู้ป่วยวัณโรค 342 ราย พบปัญหาสั่งจำนวนยาไม่ครบตามวันแพทย์นัด ร้อยละ 50.55 ปัญหาการสั่งใช้ยาขนาดไม่เหมาะสม ร้อยละ 4.40 อาการไม่พึงประสงค์จากยาระดับไม่รุนแรงและระดับรุนแรง ร้อยละ 20.76 สรุปได้ว่า การพัฒนางานบริบาลเภสัชกรรมมีแนวโน้มลดความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา และเพิ่มโอกาสการค้นพบอาการไม่พึงประสงค์จากยา ระบบสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกสามารถที่จะนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาล แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนการคำนวณจำนวนเม็ดยา ชุดคำสั่งยากรณีมีภาวะแทรกซ้อน และใช้สถิติเชิงอนุมานในการศึกษาในอนาคต</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/268887เอบีโอแอนติบอดีไตเตอร์ในผู้ที่มีสุขภาพดีหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิค-19 เข็มที่ 22024-09-10T13:35:24+07:00Kanjana Siriratkanjana.sirir@gmail.comSarawut Suttirattansno@hotmail.comWachiraya Athimangtansno@hotmail.comWeerawan Charnsilpatansno@hotmail.comTanasan Sirirattansno@hotmail.com<p><strong> </strong>แอนติบอดีของหมู่เลือดเอบีโอ (ABO antibodies) มีความสำคัญทางคลินิกเนื่องจากสามารถทำให้เกิดการแตกของเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดได้ โดยปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้มีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปและการได้รับวัคซีนอาจส่งผลให้มีการสร้าง ABO antibodies ที่เพิ่มขึ้น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหา Anti-A และ Anti-B titers ด้วยวิธี Saline agglutination และ Indirect antiglobulin ในผู้ที่มีสุขภาพดี 110 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค โควิค-19 (Coronavirus disease 2019, COVID-19) เข็มที่ 2 การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการตรวจพบว่าหมู่เลือด O มีความแรงของ anti-A และ Anti-B ทั้งชนิด IgM และ IgG มากกว่าหมู่เลือดชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งความชุกของ High titers พบระดับ high IgM anti-A ในหมู่เลือด O และ B ร้อยละ 30 และ 8.6 ตามลำดับ พบระดับ High IgM anti-B ในหมู่เลือด O และ A ร้อยละ 30 และ 8 ตามลำดับ และไม่พบระดับ High IgG titers ในหมู่เลือด B และ A แต่พบระดับ High IgG anti-A และ Anti-B titers ในหมู่เลือด O ร้อยละ 16 และ 18 ตามลำดับ จากผลการศึกษา ABO Ab titers ในผู้ที่มีสุขภาพดีภายหลังจากการได้รับวัคซีน COVID-19 เข็มที่ 2 ส่วนใหญ่เป็น low titers แต่อย่างไรก็ตามหมู่เลือด O มีโอกาสที่จะมีระดับ high ABO Ab titers มากกว่าหมู่เลือดชนิดอื่น ดังนั้นจึงควรมีการตรวจ ABO Ab titers ในหมู่เลือด O โดยเฉพาะผู้บริจาคโลหิตเฉพาะส่วนเกล็ดเลือดและมารดาที่ตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดงที่จะเกิดขึ้นได้</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/270272Adapting Existing Cooling Containers to Meet Cold Chain Requirements: Insights from Huachiew Chalermprakiet University COVID-19 Vaccination Center2025-04-11T08:58:59+07:00Hansa Mahamongkolchawalinee.a@gmail.comChirattikan Maicheenchawalinee.a@gmail.com<p>Subsequently, the global pandemic of COVID-19 broke out in 2019, and the COVID-19 vaccine had to be distributed urgently with slightly limited stability data and storage conditions. The cold chains for daily use of inactivated and non-replicating viral COVID-19 vaccines at the Huachiew Chalermprakiet University (HCU) Vaccination Center were developed and validated. The vaccine storage container was studied and validated using adapting existing cooling containers. Storage cold boxes made from plastic/foam with different dimensions for use with ice/ gel packs for the storage of COVID-19 vaccines were optimized for suitable conditions. For the results, it was found that plastic boxes for daily storage vaccine No. 1 (4,209 in3) and No. 2 (2,035 in3) with ice packs 5-6 kg and 2.5-3 kg, respectively, could maintain temperature between 2-8 °C for 8 hours. The prepared vaccine in pre-drawn syringes was stored in a foam box as in a temperature-controlled container No.3 (3,520 in3) with 4 kg of ice pack, which could maintain temperature at 4-6 °C for 7 hours. When using the foam boxes for transferring the pre-drawn vaccines to the vaccination station, it was found that temperature-controlled containers No. 4 (541 in3) and No. 5 (877 in3) with three different conditions of using cooling materials were able to store the pre-drawn vaccines with a temperature between 7-13 °C for 7 hours. All of the results in this study showed the appropriate temperature in vaccine storage containers that meet the cold chain requirement for storage of COVID-19 vaccines.</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/269296ผลของการเก็บเม็ดเลือดแดงต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรด-ด่าง การแตกของเม็ดเลือดแดง ระดับของเมทฮีโมโกลบิน และความเปราะของเม็ดเลือดแดง2025-01-13T10:56:17+07:00Tanasan Sirirattansno@hotmail.comSucha Chulsomleestaveesit@gmail.comDuangmanee Sanmunkanjana.sirir@gmail.comNonthaya Tangruakanjana.sirir@gmail.comKanjana Siriratkanjana.sirir@gmail.com<p> เซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งในระหว่างการเก็บรักษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เม็ดเลือดแดง การวิจัยครั้งนี้การวิจัยเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกรด-ด่างด้วยเครื่องวัดค่ากรด-ด่างแบบดิจิทัล การแตกของเซลล์เม็ดเลือดแดงด้วยวิธีด้วยการวัดการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 540 นาโนเมตร ระดับเมทฮีโมโกลบินด้วยการวัดการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 500 และ 630 นาโนเมตร และความเปราะของเซลล์เม็ดเลือดแดงด้วยวิธีการทดสอบความเปราะของเซลล์เม็ดเลือดแดงต่อแรงดันออสโมติก ในตัวอย่างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่เก็บด้วยสารกันเลือดแข็งชนิด CPDA-1 จากกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว มีอายุระหว่าง 20 ถึง 45 ปี จำนวน 30 ราย โดยเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 7, 14 และ 21 วัน และทำการวิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงวิเคราะห์ One-way ANOVA ผลการศึกษาพบว่าในวันที่ 7 มีค่าความเป็นกรด-ด่างลดลง และมีค่าความเปราะของเซลล์เม็ดเลือดแดงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value < 0.01) นอกจากนี้พบว่าระดับฮีโมโกลบินอิสระ และระดับเมทฮีโมโกลบิน มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในวันที่ 14 ที่ค่า <em>p</em>-value เท่ากับ 0.02 และ 0.00 ตามลำดับ ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าเม็ดเลือดแดงที่ถูกเก็บในสารกันเลือดแข็งชนิด CPDA-1 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งความเป็นกรด-ด่าง การแตกของเม็ดเลือดแดง ระดับเมทฮีโมโกลบิน และความเปราะของเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลศึกษาเพิ่มเติม และประกอบการพิจารณาเลือกใช้ส่วนประกอบโลหิตชนิดเม็ดเลือดแดงอัดแน่นที่มีเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการได้รับ นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยด้านความคงตัวของเยื่อหุ้มเซลล์และภาวะความเสียหายจากออกซิเดชันในกระบวนการเก็บเลือด เพื่อการพัฒนาวิธีการเก็บรักษาเลือดในห้องปฏิบัติการต่อไป</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/268885ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ของพนักงานจัดเก็บและกระจายสินค้าของศูนย์กระจายสินค้าแห่งหนึ่ง2024-09-11T16:55:58+07:00Wasana Silangamwasana.hcu@gmail.comUmarat Sirijaroongwongwasana.hcu@gmail.comWanna Kongkarakwasana.hcu@gmail.comNapat Wangsriwasana.hcu@gmail.com<p>กลุ่มพนักงานศูนย์กระจายสินค้าเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะพนักงานจัดเก็บและกระจายสินค้า เนื่องมาจากผู้บริโภคมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ทำให้พนักงานมีการสัมผัสกับสินค้าจำนวนมากจากหลายที่มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ของพนักงานจัดเก็บและกระจายสินค้าของศูนย์กระจายสินค้าแห่งหนึ่ง จำนวน 130 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้การป้องกันการติดเชื้อโควิด แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับโรคโควิด-19 แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของโรคโควิด-19 แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 0.92, 0.68, 0.75 และ 0.91 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติการทดสอบไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ 76.92 เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 25.63±3.64 ปี ร้อยละ 86.15 มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 88.46 มีทัศนคติเกี่ยวกับโรคโควิด-19 อยู่ในระดับดี ร้อยละ 97.69 มีการรับรู้ความรุนแรงของโรคโควิด-19 อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 98.46 มีพฤติกรรมการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 อยู่ในระดับดี พบอายุการทำงาน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และการรับรู้ความรุนแรงของโรคโควิด-19 มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 (r=0.39, p-value<0.01; r=0.55, p-value<0.01 และ r=0.29, p-value<0.01 ตามลำดับ) เพื่อให้พนักงานมี</p> <p>พฤติกรรมการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานจึงควรเฝ้าระวัง ตระหนัก และให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 แก่พนักงานต่อไป</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/276758ผลของการจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางการพยาบาลและทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยประคับประคองของนักศึกษาพยาบาล2025-02-03T11:42:47+07:00Rachun Kesdakimhun28@gmail.comPhavida PhoomilunPhavida.ph@northbkk.ac.th<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางการพยาบาล และทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยประคับประคองก่อนและหลังการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาทางการพยาบาล และแบบสอบถามทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยประคับประคอง ค่าความเชื่อมั่นระหว่างผู้ประเมิน (Interrater reliability) โดยมีค่า Cohen's Kappa เท่ากับ .81 ,.86 และ .95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง นักศึกษามีคะแนน เฉลี่ยความสามารถในการแก้ปัญหาทางการพยาบาล และคะแนนเฉลี่ยทัศนคติ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -17.59, -12.10, p < 0.01) ผลการวิจัยนี้สนับสนุนให้นำสถานการณ์จำลองเสมือนจริงมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาในด้านการตัดสินใจและการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาให้ดีขึ้น การใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการเรียนการสอนจึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะทางคลินิกของนักศึกษาในด้านการตัดสินใจและการแก้ปัญหาทางการพยาบาล อีกทั้งยังช่วยให้นักศึกษามีทัศนคติเชิงบวกและความเชื่อมั่นในการสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการให้การดูแลที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการทางจิตใจของผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตได้อย่างเหมาะสม</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/270475ผลวิเคราะห์สารประกอบฟีนอลิกรวมและสารประกอบฟลาโวนอยด์ของสมุนไพรจีน: ชังจู๋ ไป๋จู๋ และ หวงเหลียน2025-04-03T09:41:57+07:00Sucha Chulsomleestaveesit@gmail.comChompunoot Sinthupibulyakitnonthaya.tha@gmail.comPenpak Moolthiyanonthaya.tha@gmail.comNontawit Piratnonthaya.tha@gmail.comKanjana Vichittumarosnonthaya.tha@gmail.comNapassanun Narasinviwatnonthaya.tha@gmail.comJirawat Pratoomwunnonthaya.tha@gmail.comNonthaya Thangruanonthaya.tha@gmail.com<p><strong> </strong>ภาวะที่มีความเสื่อมของร่างกายหรือการเป็นโรคเรื้อรังนาน ๆ อาจทำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative stress) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณสารประกอบฟินอลิกรวมและสารประกอบฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระโดยวิเคราะห์การดูดกลืนแสงตามวิธี Folin-Ciocalteu method และวิธี Aluminium nitrate colorimetric method ตามลำดับ ในสารสกัดสมุนไพรจีน 3 ชนิด ได้แก่ ชังจู๋ ไป๋จู๋ และหวงเหลียน สกัดหยาบในตัวทำละลาย 95% Ethanol โดยชังจู๋ ไป๋จู๋ และหวงเหลียน ใช้เป็นส่วนประกอบของตำรับยาต้ม เพื่อปรับสมดุลการทำงานของกระเพาะอาหารและม้ามในการรักษาแบบแพทย์แผนจีน การศึกษาพบว่าปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวม ในสารสกัด ชังจู๋ ไป๋จู๋ หวงเหลียน เท่ากับ 1.95±0.48, 3.40±0.74 และ 12.18±2.15 mgGAE/g ตามลำดับ เมื่อนำสารสกัดชังจู๋ ไป๋จู๋ และหวงเหลียน มาหาปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ใน พบว่ามีปริมาณ เท่ากับ 8.45 ± 1.25, 9.05 ± 0.56 และ 15.24 ± 1.77 mg QE/g ตามลำดับ งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดสมุนไพรหวงเหลียนมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมและปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์สูงที่สุด ในขณะที่ชังจู๋มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมและปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ต่ำที่สุด โดยหวงเหลียนมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมและปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์สูงกว่าชังจู๋และไปจู๋อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยนี้สามารถไปใช้พัฒนาสารสกัดสมุนไพรเป็นยาต่อไป ควรมีการศึกษาต่อยอดถึงกลไกการออกฤทธิ์ ความปลอดภัยในการใช้ยาสมุนไพร ทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองต่อไป</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/273836ผลทันทีของการยืดกล้ามเนื้อ 3 เทคนิค ต่อสมรรถภาพการกระโดดและองศาการกระดก ข้อเท้าในอาสาสมัครที่มีกล้ามเนื้อน่องตึง2025-03-11T09:25:17+07:00Areeyaporn Chongsatientamareeyaporn.cho@live.hcu.ac.thDuangporn Benjanarasutduangporn.ben@hcu.ac.thบุญรัตน์ โง้วตระกูลboonrat.ngo@hcu.ac.th<p>การวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์ เพื่อศึกษาผลทันทีของการยืดกล้ามเนื้อประเภทต่าง ๆ ต่อสมรรถภาพการกระโดดในผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อน่องตึง โดยศึกษาในนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติที่มีองศาการกระดกข้อเท้าน้อยกว่า 12 องศา จำนวน 30 คน อาสาสมัครได้รับการยืดกล้ามเนื้อแบบคงค้าง แบบพลวัตร และเทคนิคออกแรงต้านและคลายตัว (hold-relax) โดยใช้การสุ่มลำดับอย่างง่ายและมีระยะพักระหว่างเทคนิค 24 ชั่วโมงและไม่เกิน 48 ชั่วโมง ก่อนและหลังการยืดกล้ามเนื้ออาสาสมัครถูกประเมินระยะการกระโดดสูง องศาการกระดกข้อเท้าขึ้น และองศาการเคลื่อนไหวของข้อเท้าขณะลงน้ำหนัก โดยมีค่าความน่าเชื่อถือของการวัดซ้ำโดยผู้ประเมินคนเดียว (ICC) เท่ากับ 0.88, 0.90 และ 0.96 ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า การยืดกล้ามเนื้อทั้งสามเทคนิคช่วยเพิ่มองศาการกระดกข้อเท้าขึ้น องศาการเคลื่อนไหวของข้อเท้าขณะลงน้ำหนักและระยะการกระโดดสูงทันทีหลังการยืดกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) การยืดกล้ามเนื้อแบบพลวัตรและเทคนิค hold-relax เพิ่มองศาการกระดกข้อเท้าขึ้นได้ดีกว่าการยืดกล้ามเนื้อแบบคงค้าง (p < .05) การยืดกล้ามเนื้อทั้งสามเทคนิคมีประสิทธิภาพในการเพิ่มสมรรถภาพการกระโดดได้ไม่แตกต่างกัน สรุปผลการวิจัย เมื่อต้องการเพิ่มกำลังการกระโดดในผู้ที่มีภาวะน่องตึงสามารถใช้การยืดกล้ามเนื้อแบบคงค้าง หรือแบบพลวัตร หรือเทคนิค hold-relax</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##https://he01.tci-thaijo.org/index.php/HCUJOURNAL/article/view/272434Effect of Online and Offline Self-Management Programs on Blood Pressure Control Among Ordinary Parliamentary Officials of the Secretariat of the House of Representatives with Uncontrolled Hypertension2025-02-26T10:56:02+07:00Itsaya Chaiphattharatadasoraya.emss@gmail.comKamontip Khungtumneamsorayaemss@gmail.comJariyawat Kompayaksorayaemss@gmail.com<p>Uncontrolled hypertension increases the risk of coronary heart disease, stroke, chronic kidney disease, and premature death. A large number of Thai ordinary parliamentary officials suffer from uncontrolled hypertension, often due to a lack of self-awareness and inconsistent health behaviors for hypertension control. Therefore, self-management is needed to help control hypertension. This quasi-experimental study aimed to compare blood pressure levels between civil servants who received online and offline self-management programs. The sample consisted of 50 Thai ordinary parliamentary officials, divided into two groups: 25 who received the online program and 25 who received the offline program. The sample was selected based on inclusion criteria and random assignment to the groups. The research instruments included online and offline self-management programs and a blood pressure monitor. Data analysis was conducted using descriptive statistics and t-tests.</p> <p>The results of the study indicated that, after completing the 12-week trial, the group receiving the online program showed a statistically significant difference in the mean systolic and diastolic blood pressure levels compared to the group receiving the offline program, at the 0.05 significance level. Based on the results of this study, nurses can use the online program to promote healthy behaviors that help control hypertension and prevent complications.</p>2025-06-26T00:00:00+07:00##submission.copyrightStatement##