วารสารควบคุมโรค https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ <p><strong>วารสารควบคุมโรค </strong>เป็นวารสารทางวิชาการ จัดเผยแพร่โดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข</p> <p>โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วิทยาการเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ขอบเขตรวมโรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ รายงานผลการปฏิบัติงาน บทความฟื้นวิชา รายงานผู้ป่วย และการสอบสวนโรค</p> <p><strong>กำหนดออก</strong> ฉบับละ 15-20 บทความ ปีละ 4 ฉบับ หรือราย 3 เดือน <br />ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม<br />ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน<br />ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน<br />ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>Online ISSN:</strong> 2651-1649 <strong>Print ISSN:</strong> 1685-6481</p> en-US <p>บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน</p> ddc.journal@ddc.mail.go.th (Yosita Thitiwatthana) ddc.journal@ddc.mail.go.th (Yosita Thitiwatthana) Fri, 26 Sep 2025 09:22:09 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การสอบสวนผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสสารเบนซิลคลอไรด์ในอากาศ กรณีแบตเตอรี่เครื่องสำรองไฟฟ้าระเบิดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/279220 <p>สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี (สคร.4) ได้รับการประสานงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี (สสจ.ลพบุรี) กรณีเหตุระเบิดของแบตเตอรี่เครื่องสำรองไฟฟ้า วันที่ 28 ธันวาคม 2567 ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังเหตุการณ์สงบ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่มีความกังวลผลกระทบทางสุขภาพเนื่องจากมีกลิ่นสารเคมีในพื้นที่ สคร.4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมดำเนินการสอบสวนในพื้นที่ วันที่ 6, 13, 15, 16 มกราคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการวินิจฉัย อธิบายลักษณะเหตุการณ์ สำรวจสภาพแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดอันตราย และเสนอมาตรการป้องกันสุขภาพจากสารเคมี โดยทำการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง และตรวจวัดไอระเหยสารเคมี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา จากการสอบสวน พบผู้สัมผัสสารเคมีทั้งหมด 129 ราย ส่วนใหญ่มีอาการระคายเคืองทางเดินหายใจ 79 ราย รองลงมาคือ ไม่มีอาการ และแสบตา น้ำตาไหล จำนวน 48 ราย และ 36 ราย ตามลำดับ ผลการเฝ้าระวังสุขภาพกลุ่มเสี่ยงสูง 55 ราย ได้แก่ ตรวจระดับตะกั่วในเลือด ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ปริมาณไนโตรเจนในเลือด ค่าเลือดที่บ่งบอกการทำงานของไต และประเมินความเครียด พบว่า กลุ่มเสี่ยงสูงมีผลตรวจปกติทุกราย ผลตรวจวัดไอระเหยสารเคมี พบค่าเฉลี่ยสารเบนซิลคลอไรด์ตรวจวัด 4 ครั้ง ดังนี้ 3.61 ส่วนในล้านส่วน (ppm) 2.70 ppm 3.22 ppm และ 1.21 ppm (ค่ามาตรฐานเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงานไม่เกิน 1 ppm) สันนิษฐานแหล่งกำเนิดของเบนซิลคลอไรด์มาจากไอระเหยของการเผาไหม้ฉนวนสายไฟจำนวนมากในจุดเกิดเหตุ ซึ่งมีส่วนประกอบของโพลีไวนิลคลอไรด์ จากนั้นเกิดการฟุ้งกระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ ประกอบกับมวลโมเลกุลของเบนซิลคลอไรด์ซึ่งหนักกว่าอากาศ เมื่อดำเนินการดูดอากาศออกนอกห้อง ห้องดังกล่าวจะมีสภาพเป็นลบ หากไม่ได้เติมอากาศสะอาดเข้าไปแทนที่ จะทำให้สารดังกล่าววนกลับเข้ามาที่เดิม จึงทำให้หลังการดูดอากาศออกจากบางห้องแล้ว เมื่อกลับมาตรวจวัดสารดังกล่าว จึงยังพบการตกค้างในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าครึ่งชีวิตของเบนซิลคลอไรด์ในอากาศมีค่าเท่ากับ 4 วัน แต่ในการตรวจวัดครั้งที่ 4 ไอระเหยของสารเบนซิลคลอไรด์มีค่าลดลงจากเดิมในทุกพื้นที่คาดว่ามาจากการดำเนินการปรับปรุงข้างต้น ดังนั้นมาตรการป้องกันควรเน้นย้ำเรื่องการศึกษาข้อมูลของสารเคมีก่อนทำการจัดการระบายอากาศ การให้ความรู้ และการเตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันตนเองแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่</p> กมลวรรณ สมณะ, อาพัฒศิริ ธรรมรังกา, ณรงค์เดช พิมพรรณ, ภูริดา อินทะสร้อย, วิชุดา ลือจันทร์, สุเทพ พลอยพลายแก้ว, พีรวัฒน์ ตระกูลทวีสุข, นรีรัตน์ ศรีเลนวัติ, ธีระวัฒน์ ญาณศิริ, อริสรา โง่นสูงเนิน, อารุญ เกตุสาคร (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/279220 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ด้วยการใช้ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278658 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเองของโรงพยาบาลเลิดสิน ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2567 เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนการให้บริการและวางแผนกลยุทธ์จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ต้องการมารับบริการตรวจที่โรงพยาบาลและไม่เปิดเผยสถานะของตนเองให้ได้รับบริการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อทราบสถานะเพิ่มมากขึ้น เก็บข้อมูลโดยสร้างตารางบันทึกข้อมูลของผู้ที่สนใจขอรับชุดตรวจเอชไอวี ผ่านกิจกรรมรณรงค์ และผู้ตั้งต้นชวนตรวจ โดยศึกษาข้อมูลจากรายงานข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่ www.prepthai.net/sns/home วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาโดยวิธีการแจกแจงความถี่ จำนวนนับ การหาค่าร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ขอรับชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเองทั้งสิ้น จำนวน 116 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 73.25 และเป็นกลุ่มประชากรทั่วไป ร้อยละ 59.90 เข้าสู่การลงทะเบียนผ่านกิจกรรมรณรงค์ ร้อยละ 70.69 และผ่านผู้ตั้งต้นชวนตรวจ ร้อยละ 29.31 ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้จักกันกับผู้ตั้งต้นชวนตรวจ ร้อยละ 39.53 เป็นการแจกชุดตรวจผ่านช่องทางการจัดส่งให้ที่บ้าน ร้อยละ 55.17 และเป็นผู้ที่ไม่เคยตรวจเอชไอวีมาก่อน ร้อยละ 56.90 ข้อเสนอแนะในการดำเนินงาน ควรพัฒนาระบบการส่งต่อเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยยืนยันผล และติดตามผลการส่งต่อ ตลอดจนนำรูปแบบการศึกษาไปปรับใช้ในการทำงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยากต่อการเข้าถึงและไม่เปิดเผยสถานะต่อไป</p> ยุทธภูมิ ศรีคำจีน, พิพัฒนานนท์ ทารี, ปานหทัย สุทราวิรัตน์, เพลินพิศ พรหมมะลิ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278658 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ลักษณะทางระบาดวิทยาโรคอาหารเป็นพิษจากเห็ดในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2556-2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/276874 <p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง (cross-sectional study) รวบรวมข้อมูลทุติยภูมิย้อนหลังจากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด กรมควบคุมโรค มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ขนาดของปัญหา การกระจายทางระบาดวิทยา และเพื่อศึกษาชนิดเห็ดที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของการเสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษ ประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2556-2566 โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่ามัธยฐาน ค่าสูงสุดและต่ำสุด และสถิติอนุมานใช้การวิเคราะห์ univariate logistic regression นำเสนอค่า Odds ratio ผลการศึกษา พบการระบาด 214 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย 931 ราย ผู้เสียชีวิต 81 ราย (อัตราป่วยตาย ร้อยละ 8.73) มัธยฐานจำนวนผู้ป่วยของเหตุการณ์ เท่ากับ 3 ราย (ค่าสูงสุด 30 ราย ค่าต่ำสุด 1 ราย) พบสัดส่วนผู้ป่วยเพศชายและเพศหญิงใกล้เคียงกัน อาการที่พบเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารสูงสุด ร้อยละ 66.10 พบเหตุการณ์สูงสุดช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ค่ามัธยฐาน 2 เหตุการณ์ (พิสัย 0-14) และต่ำสุดช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ค่ามัธยฐาน 0 เหตุการณ์ (พิสัย 0-1 เหตุการณ์) เขตที่พบการระบาดสูงสุด คือ เขตสุขภาพที่ 1 (57 เหตุการณ์) เขตสุขภาพที่ 10 (51 เหตุการณ์) และเขตสุขภาพที่ 12 (20 เหตุการณ์) การระบุสาเหตุของการระบาดพบการระบุชนิดเห็ดที่ทราบชื่อแน่ชัดว่าเป็นเห็ดพิษ 159 เหตุการณ์ (ร้อยละ 74.30) เหตุการณ์ที่ไม่มีการระบุหรือระบุว่าไม่ทราบชนิด 89 เหตุการณ์ (ร้อยละ 41.59) และมีการระบุชื่อเห็ดเป็นชนิดที่ทราบชัดเจนว่าไม่ใช่เห็ดพิษหรือที่ยังไม่มีความชัดเจนในการจำแนก 21 เหตุการณ์ (ร้อยละ 9.81) หากพิจารณากลุ่มอาการร่วมกับประเภทของเห็ด พบอาการเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารพบสูงสุดในทุกประเภทของเห็ด กลุ่มอาการที่พบรองลงมาเป็นกลุ่มเห็ดที่ยังไม่มีความชัดเจนหรือมีความคลาดเคลื่อนในการจำแนก ได้แก่ อาการทางระบบประสาท ร้อยละ 13.33 ทั้งนี้ ชนิดของเห็ดที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เห็ดระโงก (OR=9.00, 95% CI=1.38-58.44) เห็ดถ่าน (OR=10.00, 95% Cl=1.44-69.26) เห็ดระโงกหิน (OR=17.50, 95% Cl=1.96-155.59) และเห็ดไค (OR=10.00, 95% Cl=1.02-97.50) อย่างไรก็ตาม คุณภาพข้อมูลจากรายงานการสอบสวนโรคเป็นสิ่งสำคัญต่อการวิเคราะห์ข้อมูลในภาพรวม ดังนั้น การจัดการข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคที่เกิดจากการรับประทานเห็ดพิษ จึงเป็นสิ่งที่ควรพัฒนาให้มีติดตามข้อมูลเห็ดพิษให้สมบูรณ์มากที่สุด เพื่อใช้ประกอบในการวางแผนและกำหนดมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคที่เกิดจาการรับประทานเห็ดพิษในระดับพื้นที่ต่อไป</p> ยุวดี แก้วประดับ, ภาวินี ด้วงเงิน, ไพศิลป์ เล็กเจริญ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/276874 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ที่อาศัยในพื้นที่ภัยพิบัติ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278692 <p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการดูแลตนเอง และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุอาศัยในพื้นที่ภัยพิบัติในภาคเหนือตอนบน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 600 คน ที่อาศัยในพื้นที่ที่มีประวัติการเกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขด้านโรคและภัยสุขภาพ ได้แก่ อุทกภัย แผ่นดินไหว หมอกควัน และโรคติดต่อทางเดินหายใจเฉียบพลัน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโดยมีความตรงเชิงเนื้อหามีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (reliability) ในภาพรวมเท่ากับ 0.68 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์โดยการทดสอบไคสแควร์ และสถิติถดถอยลอจิสติกเชิงพหุ ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับดี ร้อยละ 91.33 (95% CI=88.70-93.50) โดยพบว่า ปัจจัยด้านเพศ การได้รับการสนับสนุนดูแลจากครอบครัว การสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ และการได้รับข้อมูลจากสื่อ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) เมื่อควบคุมทั้ง 4 ปัจจัยนี้ พบว่า เพศหญิง (AOR=2.47, 95% CI=1.35-4.51) การได้รับการสนับสนุนดูแลจากครอบครัว (AOR=2.63, 95% CI=1.17-5.90) และการได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ (AOR=5.30, 95% CI=2.48-11.33) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นหากผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับดี จะทำให้มีความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติได้อย่างเต็มศักยภาพ อย่างไรก็ตามควรส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้สูงอายุเพศชาย ส่งเสริมการได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและ จากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้มีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ดีจะนำไปสู่การป้องกันการเกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และกลับฟื้นคืนสู่ภาวะการใช้ชีวิตที่ปกติได้เร็ววัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพต่อไป</p> กุลวดี จันทรศร, นารถลดา ขันธิกุล, อังคณา แซ่เจ็ง, ธัญญาพรรณ เรือนทิพย์, เรณุกา เขียวงาม, อรวรรณ นามวงศ์, จักรกฤษณ์ วังราษฎร์, เสาวนีย์ วิบุลสันติ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278692 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ และปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรม การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จังหวัดนนทบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278876 <p>ความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมดูแลตนเองที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา จากการไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ และปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 267 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเชิงอนุมาน ได้แก่ Point-biserial correlation coefficient (rpb) และ Eta coefficient ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 41.05 (95% CI=35.2-46.9) มีความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ อาชีพ ระดับการศึกษา โรคประจำตัวอื่นร่วม และความรอบรู้สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ ดังนั้น หน่วยงานสาธารณสุขหรือที่เกี่ยวข้อง ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมความรอบรู้สารสนเทศเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ ความเข้าใจต่อการค้นหาข้อมูลสุขภาพในอินเทอร์เน็ต รวมถึงสามารถตัดสินใจนำข้อมูลสุขภาพจากอินเทอร์เน็ตมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง</p> นริศรา อรรถพรพิทักษ์, อลงกรณ์ เปกาลี, มณีรัตน์ ธีระวิวัฒน์, ชวภณ สารข้าวคำ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278876 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 งานวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมฝาปิดใต้น้ำกำจัดตัวโม่ง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/276955 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการตายของตัวโม่ง สร้างนวัตกรรมกำจัดตัวโม่ง และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยจำนวนการตายของตัวโม่ง กลุ่มตัวอย่างคือตัวโม่งยุงลาย และตัวโม่งยุงรำคาญ จากพื้นที่หมู่ 8 โคกชุมพร ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ดำเนินการวิจัยเชิงทดลองระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง มกราคม 2568 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 25 ตัว ทดสอบ 10 หน่วย แยกหน่วยทดลองตัวโม่งยุงลาย และตัวโม่งยุงรำคาญ ใช้แผ่นทดลอง แผ่นอะคริลิค และแผ่นผลิตภัณฑ์ เป็นฝาปิดใต้น้ำภายในภาชนะ บันทึกผลการตายทุก 6 ชั่วโมง ผลวิจัยพบอัตราการตายของตัวโม่งยุงลาย และตัวโม่งยุงรำคาญ ในขวดแก้วมีฝาปิดของกลุ่มทดลองร้อยละ 92.00 และ 93.20 ผลการพัฒนานวัตกรรมพบว่าอัตราการตายของตัวโม่งยุงลาย และตัวโม่งยุงรำคาญในแผ่นทดลองกับแก้ว ร้อยละ 98.00 และ 95.20 แผ่นอะคริลิค ร้อยละ 85.60 และ 90.80 และแผ่นผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 85.60 และ 90.80 ทุกหน่วยทดลองอัตราการตายมากที่สุดใน 6 ชั่วโมงแรก ผล Independent sample t Test พบว่า ค่าเฉลี่ยจำนวนการตายตัวโม่งยุงลาย ตัวโม่งยุงรำคาญในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมทั้ง 4 คู่เปรียบเทียบแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ดังนี้ ตัวโม่งยุงลาย: ขวดมี/ไม่มีฝาปิด (ผลต่าง 22.90 ตัว; 95%CI=22.52-23.28) แก้วที่มี/ไม่มีแผ่นทดลองปิดใต้น้ำ (ผลต่าง 24.40 ตัว; 95%CI=23.98-24.81) ภาชนะถังน้ำที่มี/ไม่มีแผ่นอะคริลิคปิดใต้น้ำ (ผลต่าง 21.30 ตัว; 95%CI=20.68-21.92) ภาชนะถังน้ำมี/ไม่มีแผ่นผลิตภัณฑ์ปิดใต้น้ำ (ผลต่าง 21.30 ตัว; 95%CI=20.68-21.92) ตัวโม่งยุงรำคาญ: ขวดมี/ไม่มีฝาปิด (ผลต่าง 23.20 ตัว; 95%CI=22.69-23.71) แก้วที่มี/ไม่มีแผ่นทดลองปิดใต้น้ำ (ผลต่าง 23.70 ตัว; 95%CI=22.95-24.46) ภาชนะถังน้ำที่มี/ไม่มีแผ่นอะคริลิคปิดใต้น้ำ (ผลต่าง 22.60 ตัว; 95%CI=21.90-23.30) ภาชนะถังน้ำมี/ไม่มีแผ่นผลิตภัณฑ์ปิดใต้น้ำ (ผลต่าง 22.60 ตัว; 95%CI=21.90-23.30) นวัตกรรมคือแผ่นอะคริลิคและแผ่นผลิตภัณฑ์ ข้อค้นพบคือการไม่ให้ตัวโม่งหายใจที่ผิวน้ำคือสาเหตุการตาย สรุปฝาปิดใต้น้ำในแบบแผ่นทดลอง แผ่นอะคริลิค แผ่นผลิตภัณฑ์สามารถกำจัดตัวโม่งได้ มีประสิทธิภาพอัตราการตายมากกว่าร้อยละ 85.60 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในภาคประชาชนงานป้องกันควบคุมโรคที่เกิดจากยุง</p> สุริยา สาขาสุวรรณ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/276955 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 การประเมินระบบเฝ้าระวังโรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลัน ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 8 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278941 <p>การประเมินครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการดำเนินงานเฝ้าระวัง Acute flaccid paralysis (AFP) ประเมินระบบเฝ้าระวังทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พร้อมข้อเสนอแนะการดำเนินงาน AFP เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลของโรงพยาบาล 8 แห่ง ใน 4 จังหวัด ภายในเขตสุขภาพที่ 8 ใช้แบบทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 15 ปี ในกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้อง (37 โรค) ย้อนหลัง 2 ปี (ปี 2566-2567) และกลุ่มโรคทั่วไป ย้อนหลัง 1 ปี (ปี 2567) และใช้แบบสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องระดับโรงพยาบาล จังหวัด และระดับเขต ผลการศึกษา พบว่าโรงพยาบาลมีแนวทางเฝ้าระวัง AFP และดำเนินงานร่วมกันหลายฝ่าย มีแพทย์ พยาบาลคัดกรอง ผู้ป่วยและรายงานไปยังเจ้าหน้าที่ระบาดวิทยา ผลทบทวนเวชระเบียน 2,605 ราย อัตราส่วนเพศชายต่อหญิง 1.21 : 1 ค่ามัธยฐานอายุ 7 ปี (ต่ำสุด 1 เดือน, สูงสุด 14 ปี) เป็นกลุ่มอายุ 10-14 ปี มากที่สุด ร้อยละ 31.74 พบผู้ป่วยที่เข้าได้ตามนิยาม 11 ราย มีรายงาน 1 ราย ค่าความไวของการรายงานอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 9.09) โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความครบถ้วนของการรายงานน้อย ส่วนความแม่นยำ ความเป็นตัวแทน ความทันเวลา และคุณภาพข้อมูล อยู่ในระดับดี เก็บอุจจาระผู้ป่วยครบ 2 ครั้ง มีการสอบสวนโรคและรายงานทันเวลา แต่ยังขาดการติดตามอาการผู้ป่วยและการค้นหาเชิงรุก ผลสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญและประโยชน์ของระบบเฝ้าระวัง แต่ยังขาดการทบทวนความเข้าใจในนิยามแนวทางเฝ้าระวังร่วมกันภายใน<br />หน่วยงาน แพทย์ พยาบาลไม่สงสัย AFP จึงไม่ได้รายงาน ทำให้การเฝ้าระวัง AFP ไม่สอดคล้องตามเกณฑ์ ข้อเสนอแนะ โรงพยาบาลควรทบทวนความรู้ความเข้าใจในนิยามและแนวทางเฝ้าระวังแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องและค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกเพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจพบผู้ป่วยมากขึ้น ภายใต้การกำกับติดตามและสนับสนุนของระดับจังหวัด ระดับเขตเร่งรัด ติดตาม พร้อมหามาตรการกระตุ้นระบบเฝ้าระวัง AFP ให้สอดคล้องตามเกณฑ์</p> พูลทรัพย์ โพนสิงห์, กฤษณะ สุกาวงค์, ฐิตินันท์ กล่ำศิริ, นฤปวรรต์ พรหมมาวัย (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278941 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรักษาผู้ป่วยเอชไอวีที่รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสูตรที่สอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/279240 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินร้อยละของความสำเร็จในการกดปริมาณไวรัสในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้ต่ำกว่า 50 ก๊อบปี้ต่อมิลลิลิตร ที่ 1 ปี และศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการกดปริมาณไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือด หลังได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสูตรที่สอง โดยเป็นการศึกษาย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสสูตรที่สอง และตรวจพบปริมาณไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดมากกว่า 1,000 ก๊อบปี้ต่อมิลลิลิตร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกพหุคูณผลการศึกษาพบว่าร้อยละของความสำเร็จในการกดปริมาณไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดที่ 1 ปี เท่ากับ 35.9 (95% CI=28.0-43.8) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการกดปริมาณไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดให้ต่ำกว่า 50 ก๊อบปี้ต่อมิลลิลิตร ได้แก่ ผู้ติดเชื้อที่อายุระหว่าง 25-34 ปี (ORadj=12.1, 95%CI=1.4-103.4) อายุระหว่าง 35-49 ปี (ORadj=9.0, 95%CI= 1.2-66.5) การเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสภายในระยะเวลาน้อยกว่า 30 วัน (ORadj= 4.5, 95%CI=1.1-18.0) และความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอหลังเกิดภาวะการรักษาล้มเหลว (ORadj=11.0, 95% CI=3.4-35.5) จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับการพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเน้นการเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสโดยเร็วหลังพบภาวะล้มเหลวในการรักษาด้านเชื้อไวรัส และการส่งเสริมความร่วมมือในการกินยาต้านไวรัสสูตรที่สองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง</p> หัสญา ตันติพงศ์​, วิมล จังสมบัติศิริ, ยุพเรศ พญาพรหม (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/279240 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 โครงการนำร่องการเพิ่มการเข้าถึงยาต้านไวรัส เพื่อรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง ปี 2565-2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278524 <p>โรคไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง เป็นสาเหตุโรคตับแข็งและมะเร็งตับ จากการดำเนินงานที่ผ่านมาการตรวจคัดกรองยังเข้าถึงได้น้อยเนื่องจากการคัดกรองยังไม่อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ และพบข้อจำกัดผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษา กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กอพ.) ได้จัดทำโครงการนำร่องการเพิ่มการเข้าถึงยาต้านไวรัสเพื่อรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง ปี 2565 ขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการเข้าถึงการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ ซี โดยใช้รูปแบบการจัดบริการวินิจฉัยและให้การรักษาทันที โดยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่ผ่านการอบรม (test and treat) ในพื้นที่ 3 จังหวัดนำร่อง โดย กอพ. สนับสนุนน้ำยาตรวจหาปริมาณไวรัสตับอักเสบ ซี ในเลือด (HCV viral load) และยาต้านไวรัสตับอักเสบ ซี ให้กับประชาชนที่มีผลการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี (anti-HCV) เป็นบวก ให้ได้รับการตรวจ HCV viral load และในผู้ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะได้รับการรักษาด้วยยา 12 สัปดาห์ ในโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โดยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่ผ่านการอบรม และติดตามผลการรักษา เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เป็นผู้จัดเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบรายงานผลและบันทึกข้อมูลการรักษาลงในโปรแกรมรายงานผลวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา พบว่า ประชากรกลุ่มเป้าหมายได้รับการตรวจคัดกรอง anti-HCV จำนวน 19,708 ราย มีผลตรวจ anti-HCV เป็นบวก ร้อยละ 2.2 (425 ราย) ในจำนวนนี้ได้ตรวจ HCV viral load ร้อยละ 96.2 มีผลบวก ร้อยละ 87.5 (358 ราย) ได้ส่งต่อเข้าสู่ระบบการรักษาทันที ที่ รพช. ร้อยละ 98.6 (353 ราย) และไม่ได้รักษาด้วยยา 5 ราย เนื่องจาก 2 ราย มีภาวะตับแข็งถูกส่งต่อไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ 3 ราย ปฏิเสธการรักษา มีผู้ป่วยได้รับประทานยาครบและติดตามผลการรักษา 292 ราย (ร้อยละ 82.7) รักษาหาย 278 ราย (ร้อยละ 95.2) จากการดำเนินงาน พบว่าประชากรเป้าหมายเข้าถึงการตรวจคัดกรองและได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันทีจากแพทย์ทั่วไปที่ผ่านการอบรม ใน รพช. ที่สามารถรักษาและจ่ายยาได้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีโรคแทรกซ้อน ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายเร็วและง่ายขึ้น ดังนั้นควรขยายรูปแบบการดำเนินการให้ครอบคลุมทุกจังหวัดขยายการอบรมให้กับแพทย์ รพช. สร้างระบบให้คำปรึกษา นอกจากนี้ควรพัฒนาระบบบันทึกข้อมูลการคัดกรองและรักษาให้เชื่อมโยงระหว่างหน่วยบริการบูรณาการการตรวจทางห้องปฏิบัติการกับระบบการส่งตรวจปกติเพื่อลดค่าใช้จ่าย ในการส่งต่อควรพัฒนาแนวทางการดำเนินงาน ให้กับเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัดเพื่อสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> รวิสรา วรรณทอง, ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์, สุชาดา เจียมศิริ, กาญจนา ศรีสวัสดิ์ , เตือนใจ นุชเทียน, ฉัตรสุมน บุญมา, ณัฐณิชา วณวนานนท์ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278524 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพกับโรคอ้วนในบุคลากรโรงพยาบาลชลบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/280146 <p>งานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพกับโรคอ้วนของบุคลากรในโรงพยาบาลรวมถึงระดับของปัจจัยดังกล่าวและความชุกของโรคอ้วน โดยศึกษาในบุคลากรโรงพยาบาลชลบุรี จำนวน 815 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การประมาณค่าพารามิเตอร์ (ค่าเฉลี่ยหรือร้อยละ) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และสถิติการทดสอบ Chi-squared ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ ทักษะด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับไม่ดี ความชุกของโรคอ้วนในบุคลากรโรงพยาบาลคิดเป็นร้อยละ 38.4 (95% CI=35.1-41.8) โดยความตระหนักด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และทักษะด้านการบริโภคอาหารมีความสัมพันธ์กับโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI OR=1.22-2.52, 1.16-3.01 และ 1.29-3.75 ตามลำดับ) ดังนั้นควรจัดให้มีการสร้างความตระหนักด้านสุขภาพ และปรับพฤติกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเพื่อป้องกันและลดการเป็นโรคอ้วน รวมทั้งส่งเสริมการออกกำลังกาย การจัดกิจกรรมหรือโครงการเพื่อเพิ่มความรอบรู้สุขภาพ ความตระหนักสุขภาพ และพฤติกรรมกรรมสุขภาพให้มีระดับที่ดีขึ้น</p> จารินี ไมตรี (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/280146 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขไทย ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278410 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขไทย ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่รับผิดชอบภารกิจจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 22 ราย จากกองโรคติดต่อทั่วไป สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง สำนักงานป้องกันควบคุมโรค 12 แห่ง เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล คือ การวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผลการศึกษาพบว่าความชัดเจนของนโยบายสนับสนุนการดำเนินการจัดซื้อวัคซีนในกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญ การออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการเร่งรัดขึ้นทะเบียนยาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้วัคซีนสามารถเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงได้ทันเหตุการณ์ กระบวนการจัดซื้อวัคซีนมีความซับซ้อนแตกต่างกันในแต่ละชนิด โดยพบข้อจำกัดทางกฎหมาย การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฯ ไม่ครอบคลุมและเพียงพอต่อการปฏิบัติงานโดยเฉพาะกรณีพัสดุที่ยังไม่ได้ตรวจรับแต่มีความจำเป็นต้องใช้ ทำให้ภาครัฐต้องอาศัยอำนาจพิเศษหลายกรณี ได้แก่ การออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข การใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควรเสริมสร้างอำนาจเจรจาต่อรองเพื่อไม่ให้ต้องยอมรับข้อกำหนดจากผู้ขายเพียงฝ่ายเดียว ควรผลักดันนโยบายความมั่นคงด้านวัคซีนเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนได้ตั้งแต่ต้นน้ำเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและลดภาระงบประมาณ ผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดที่เปลี่ยนแปลงและการกลายพันธุ์ส่งผลต่อการตัดสินใจในการจัดหา ควรพัฒนากลยุทธ์การจัดหาวัคซีนที่มีความยืดหยุ่นสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อปรับรูปแบบวิธีจัดซื้อเป็นแบบรวมศูนย์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงวัคซีน ราคาสมเหตุผล สรุปได้ว่านโยบายสนับสนุนการดำเนินงาน กระบวนการจัดซื้อวัคซีน ข้อระเบียบกฎหมาย งบประมาณ และการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย</p> อภิชัย พจน์เลิศอรุณ (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/278410 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ของผู้ปฏิบัติงานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/277815 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เก็บข้อมูลระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงสิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มอย่างง่าย จำนวน 198 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลพัฒนามาจากแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. สำหรับประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งผู้วิจัยได้ปรับปรุงข้อคำถามให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างโดยไม่กระทบต่อคะแนนการประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ multiple logistic regression ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปฏิบัติงานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดี ขณะที่พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการจัดการตนเองและด้านการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้ที่มีความรอบรู้ด้านการจัดการตนเองในระดับเพียงพอ มีโอกาสมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมกว่าผู้ที่อยู่ในระดับไม่เพียงพอ 2.71 เท่า (95% CI=1.25-5.85) และผู้ที่มีความรอบรู้ด้านการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศในระดับเพียงพอ มีโอกาสมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมกว่าผู้ที่มีระดับไม่เพียงพอ 2.58 เท่า (95% CI=1.36-4.91) หลังควบคุมปัจจัยร่วม ความรอบรู้ด้านการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศยังคงมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (adjusted odds ratio=2.58; 95% CI=1.36-4.91) ซึ่งผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาแนวทางส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับผู้ปฏิบัติงานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ต่อไป</p> วาสนา รอดรัตน์, ศิวรักษ์ กิจชนะไพบูลย์, พิษณุรักษ์ กันทวี (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/277815 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจากรถจักรยานยนต์ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดตรัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/279559 <p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ในกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีในสังกัดของสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดตรัง จำนวน 299 คน เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนมกราคม 2568 โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน Google Forms ประกอบด้วย ปัจจัยส่วนบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ สิ่งแวดล้อมในการขับขี่รถจักรยานยนต์ ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการป้องกันอุบัติเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ และข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่จักรยานยนต์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกทวิภาค ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ความชุกการประสบอุบัติเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ร้อยละ 22.41 (95% CI=17.70-27.10) โดยช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ช่วงเวลาเย็น (เวลา 16.00-18.00 น.) นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ฝนตก และสภาพถนนลื่น มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่จักรยานยนต์ ได้แก่ เพศ (COR=2.50, 95% CI=1.23-5.10) อายุ (COR=1.96, 95% CI=1.13-3.40) และประสบการณ์ของสมาชิกในครอบครัวที่เคยประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ (COR=3.15, 95% CI=1.72-5.79) โดยพบว่า เพศชาย ผู้มีอายุมากกว่า 20 ปี และผู้ที่มีประวัติครอบครัวประสบอุบัติเหตุ มีแนวโน้มประสบอุบัติเหตุมากกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้น ควรจัดทำโครงการส่งเสริมการขับขี่อย่างปลอดภัยสำหรับเยาวชน การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการสวมหมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อค และการจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ในสภาพอากาศเลวร้าย ทั้งนี้ เพื่อยกระดับความปลอดภัย และลดอุบัติเหตุในกลุ่มนักศึกษาอย่างยั่งยืน</p> พรกนกวรรณ สังข์ศิริ, ธนารัตน์ หมัดเชี่ยว, มายมุนนี บากา, ชมพูนุช นาครอด, วิไลวรรณ กำลังเกื้อ, สุภาวดี ผาสุข (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/279559 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทการควบคุมวัณโรค ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/280173 <p>การศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทการควบคุมวัณโรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในกลุ่ม อสม. ที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยวัณโรค ในพื้นที่อำเภอตาคลี จำนวน 193 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ ด้วยวิธี Enter Method ผลการศึกษา พบว่า อสม. ส่วนใหญ่มีการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทการควบคุมวัณโรคอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 48.7 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทการควบคุมวัณโรค ได้แก่ ระดับการศึกษาประถมศึกษา (Beta=0.334) ระดับการศึกษามัธยมตอนต้น (Beta=0.308) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านปัจจัยจูงใจ (Beta=0.280) และแรงสนับสนุนทางสังคม (Beta=0.678) โดยปัจจัยทั้งหมดมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ อสม. ในทิศทางบวกและสามารถร่วมทำนายการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทการควบคุมวัณโรคของ อสม. ได้ร้อยละ 56.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น หน่วยงานด้านสาธารณสุขควรส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพิ่มพูนแรงจูงใจและแรงสนับสนุนทางสังคมสำหรับอสม.อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะผ่านการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับระดับการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานควบคุมวัณโรคให้ครอบคลุมและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น</p> ชญาณี แสงดิษฐ์, พีรญา อึ้งอุดรภักดี (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/280173 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการนับคาร์บต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่ระยะสงบ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/280791 <p>การวิจัยกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลองเพื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และการควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยที่สามารถเข้าสู่ระยะสงบในกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการนับคาร์บเป็นระยะเวลา 14 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด 6.5-10.0% ของโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 88 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 44 คน และกลุ่มควบคุม 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองได้แก่ โปรแกรมการนับคาร์บ คำนวณค่าความตรงของเนื้อหาเท่ากับ 1.00 และแบบวัดพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด คำนวณค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.89 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired sample t-test, independent t-test, Wilcoxon signed ranks test, Mann-Whitney U test, and McNemar test ผลการวิจัยพบว่า (1) กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร์บมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร์บอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05, 95% CI=-19.01-16.85) และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05, 95% CI=9.13-11.65) (2) กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร์บมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร์บอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และ (3) กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร์บมีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดที่สามารถเข้าสู่ระยะสงบสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการนับคาร์บอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยมีสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 72.73 จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการนับคาร์บสามารถนำมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้สามารถเข้าสู่ระยะสงบโดยไม่ต้องใช้ยาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธนัทภัทร ศรีอุดร, จารุพร พรมศิริเดช , ปิยนุช ชนะพันธ์ , รัชนีกร เพ็ญศิริเจริญสกุล (ผู้แต่ง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารควบคุมโรค https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/DCJ/article/view/280791 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700