ระบบและประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ : กรณีศึกษาหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ กรมควบคุมโรค

บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การจัดตั้งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจสำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 2) ระบบดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ 3) ประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงพรรณนา แบบสะท้อนความคิดจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Descriptive study with reflective practice) และการประชุมระดมสมอง (Brain Storming) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือบุคลากรทางการแพทย์ 20 คน เจ้าหน้าที่ของโรงแรม 15 คน และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ จำนวน 342 ราย ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบบันทึกรายการ แบบบันทึกเวชระเบียน และวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดตั้งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจสำหรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 กรมควบคุมโรค ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมการ การดำเนินการและการประเมินประสิทธิผล 2) ระบบการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ มีระบบการดูแลผู้ป่วยที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือระบบการรับตัวผู้ป่วย ระบบการดูแลรักษาและติดตามผู้ป่วย ระบบการส่งต่อผู้ป่วย 3) ประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ พบว่า กรณีการรับผู้ป่วย สามารถรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวได้สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 โดยรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวจากโรงพยาบาลหลักได้ร้อยละ 100 ส่วนระบบการดูแลสามารถควบคุมอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจหรืออัตราการตายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดที่ 0 ราย และในกรณีต้องส่งต่อ สามารถส่งต่อผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลักได้ทันทีร้อยละ 100 จากการศึกษานี้มีประโยชน์สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบเพื่อการจัดตั้งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ Hospitel ให้กับสถานพยาบาลหลักที่การต้องเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยภายใต้สถานการณ์ระบาดที่ส่งผลกระทบต่ออัตราครองเตียงและทรัพยากรบุคคลที่มีจำกัด ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาระบบควรมีการศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยผลในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ เพื่อเตรียมการและวางรูปแบบที่ได้มาตรฐานในการรองรับผู้ป่วยกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคต