วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน รับพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย (Research Articles) และบทความวิชาการ (Academic Articles) ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์การอาหาร วิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งสหสาขาวิชา ด้านการบริหารจัดการ การบัญชี และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</p> มหาวิทยาลัยคริสเตียน th-TH วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน 1685-1412 ประสบการณ์ใช้เมทแอมเฟตามีนของหญิงตั้งครรภ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/266728 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสบการณ์ใช้เมทแอมเฟตามีนของหญิงตั้งครรภ์ระหว่างตั้งครรภ์ ที่มารับบริการในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 10 ราย อายุระหว่าง 15-38 ปี เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่าหญิงตั้งครรภ์ใช้เมทแอมเฟตามีนครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี และยังคงใช้ระหว่างตั้งครรภ์โดยวิธีสูบควัน ปริมาณ 3-5 เม็ดต่อครั้ง ความถี่ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ สถานที่ใช้ส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านตนเอง หญิงตั้งครรภ์รับรู้ว่าการใช้เมทแอมเฟตามีน ทำให้ทำงานได้ทนนาน และมีความสุข แต่ทำให้ร่างกายซูบผอม ผิวหนังหยาบแห้ง ฟันดำ ฟันผุ เสียภาพลักษณ์ อยู่ไม่เป็นสุข หงุดหงิด เครียด เหงา เศร้า เบื่อหน่าย หวาดระแวง และยอมรับว่า “ติดเมทแอมเฟตามีน” และรับรู้ว่าการใช้เมทแอมเฟตามีนส่งผลให้น้ำหนักตลอดการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นน้อยกว่าเกณฑ์ เจ็บครรภ์บ่อย ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง และแท้ง ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในการค้นหาคัดกรอง สารเสพติด ในหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพต่อไป</p> ช่อทิพย์ แตงพันธ์ ไพเราะ ครองนาวัง สุจิตตา ฤทธิ์มนตรี ณัฐิกา ราชบุตร Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 1 14 คุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของการใช้มันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ในผลิตภัณฑ์นักเก็ต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/266911 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของมันสำปะหลังโดยวิธีการทดแทนเนื้อไก่ในผลิตภัณฑ์นักเก็ต 2) เพื่อศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ และเคมีของผลิตภัณฑ์นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ 3) เพื่อศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ จากการทดลองพบว่า การศึกษาปริมาณมันสำปะหลังที่เหมาะสมในการเสริมในผลิตภัณฑ์นักเก็ต โดยทดสอบการยอมรับของผู้ทดสอบ 40 คน ด้วยวิธีให้คะแนนความชอบแบบ 9-point hedonic scale โดยใช้มันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ในผลิตภัณฑ์ พบว่า นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ ผู้ทดสอบให้การยอมรับที่ระดับร้อยละ 75 (p&lt;0.05) ด้านคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์นักเก็ต พบว่า นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ร้อยละ 75 มีค่าความชื้นร้อยละ 51.68 ค่าไขมันร้อยละ 6.47 ใยอาหารร้อยละ 1.63 เถ้าร้อยละ 2.10 และโปรตีนร้อยละ 17.98 อย่างไรก็ตาม การใช้มันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ในผลิตภัณฑ์นักเก็ต สามารถทดแทนได้แต่ควรคำนึงถึงปริมาณโปรตีนที่ลดลงแต่เพิ่มปริมาณใยอาหารให้มากขึ้น และมีผลกระทบต่อคุณลักษณะทางกายภาพ เช่น กลิ่นรสและลักษณะเนื้อสัมผัส สีของผลิตภัณฑ์นักเก็ต ปริมาณมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มให้ความสว่าง (L*) ค่าสีแดง (a*) และ ค่าสีเหลือง (b*) เพิ่มขึ้น ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้มีผลกระทบต่อการยอมรับผลิตภัณฑ์ ผลการศึกษาการยอมรับของผู้บริโภค ที่มีต่อผลิตภัณฑ์นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ จากผู้ตอบแบบประเมิน จำนวน 100 คน ทางด้านความรู้สึกที่มีต่อการยอมรับของผลิตภัณฑ์นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ พบว่า ผู้บริโภคให้ความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์นักเก็ตมันสำปะหลังทดแทนเนื้อไก่ในระดับความชอบปานกลาง โดยให้ความรู้สึกต่อลักษณะผลิตภัณฑ์ ด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่นและรสชาติ อยู่ในระดับความชอบปานกลาง</p> เชาวลิต อุปฐาก สุมภา เทิดขวัญชัย สิรดนัย กลิ่นมาลัย ปรัศนีย์ ทับใบแย้ม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 15 26 การพัฒนาระบบเปลวเทียนพลาสมาเพื่อทำลายเข็มฉีดยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/269066 <p>งานวิจัยนี้ทำการพัฒนาระบบเปลวเทียนพลาสมาเพื่อทำลายเข็มฉีดยาทางการแพทย์และศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการทำลายเข็มฉีดยาเบอร์ 18 G, 21 G, 24 G และ 27 G โดยระบบดังกล่าวใช้วงจรขดลวดเทสลาความถี่สูงต่อกับขั้วภายนอกเพื่อผลิตเปลวเทียนพลาสมา งานวิจัยนี้ใช้ศักย์ไฟฟ้าอินพุตที่ 24 V, 36 V และ 48 V เพื่อเผาทำลายเข็มฉีดยาครั้งละ 1 เล่ม และ 2 เล่ม โดยควบคุมเวลาเผาทำลายเข็มที่ 30 วินาที ผลการทดลองที่ได้ พบว่าสัญญาณของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าขั้วภายนอกเป็นสัญญาณคลื่นรูปซายน์มีความถี่ 16 MHz อุณหภูมิที่วัดได้จากการเผาทำลายเข็มเพิ่มขึ้นไปถึง 800 องศาเซลเซียส ในการเผาทำลายเข็มฉีดยาครั้งละ 1 เล่ม และ 2 เล่ม พบว่าศักย์ไฟฟ้าอินพุตที่เพิ่มขึ้นทำให้ความยาวเข็มฉีดยาที่เหลือลดลง โดยเข็มฉีดยาเบอร์ 27 G มีความยาวเฉลี่ยน้อยที่สุดและเข็มฉีดยาเบอร์ 18 G มีความยาวเฉลี่ยมากที่สุด และการเผาทำลายเข็มครั้งละ 2 เล่ม มีความยาวเฉลี่ยมากกว่าครั้งละ 1 เล่ม เนื่องจากเกิดการแบ่งความร้อน จากการวิจัยสรุปได้ว่าระบบเปลวเทียนพลาสมาที่พัฒนาขึ้น สามารถทำลายเข็มฉีดยาทางการแพทย์และนำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรมเครื่องเผาทำลายเข็มฉีดยาหรือขยะมูลฝอยติดเชื้อชนิดอื่น ๆ ได้</p> ชูพล พรหมสุทธิรักษ์ นิพิฐพนธ์ เชื้อโชติ ภัทราภรณ์ ศรีพรมมา ปรัชญา ตั้งจิตสมบูรณ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 27 41 การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยกระบวนการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วมในผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/270190 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ซึ่งระยะที่ 1 เป็นการศึกษาบริบทพื้นที่และสถานการณ์ ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนารูปแบบ และระยะที่ 3 ประเมินผลการพัฒนา กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน จำนวน 217 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้าศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ เครื่องมือเชิงปริมาณ 2 ชุด และเครื่องมือเชิงคุณภาพ 3 ชุด ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความตรงเชิงเนื้อหาและโครงสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน แบบสัมภาษณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพผ่านการทดสอบความเชื่อมั่นโดยกองสุขศึกษา ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา(Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.90 และ 0.62 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพก่อนและหลังดำเนินการใช้สถิติที (Paired t-test) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บริบทพื้นที่ตำบลสะอาดสมบูรณ์เป็นสังคมชนบทกึ่งเมือง ประชาชนส่วนใหญ่นิยมรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลักและใช้ปลาร้าเป็นส่วนประกอบในการประกอบอาหาร รูปแบบการดูแลผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในชุมชนดำเนินการโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แนะนำการให้ความรู้เป็นครั้งคราวโดยไม่มีระบบการกำกับติดตามและเฝ้าระวังที่ชัดเจน ทำให้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างพบว่า มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน ร้อยละ 61.29 ค่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงเบาหวานทุกคน มีความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 55.29 และร้อยละ 53.46 ตามลำดับ 2) รูปแบบโดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโดยสร้างแรงจูงใจในการตั้งเป้าหมายการลดระดับน้ำตาลในเลือดรายบุคคล 2) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามกลยุทธ์ของชุมชน 3) จัดระบบการกำกับติดตามโดยการเยี่ยมเสริมพลังแบบมีส่วนร่วม และ 4) การถอดบทเรียนโดยจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และคืนข้อมูล 3) ผลการพัฒนาพบว่าไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคเบาหวานรายใหม่จากผู้เข้าร่วมโครงการ โดยมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินลดลงเป็นร้อยละ 36.87 ค่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงเบาหวานลดลงเป็นร้อยละ 42.86 คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยครั้งนี้บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องสามารถนำรูปแบบการพัฒนาไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่โดยการสร้างและพัฒนาเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพสำหรับผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานรายใหม่ลดลง และเป็นรูปแบบที่เหมาะสมในการจัดการปัญหาโรคเบาหวานในชุมชน</p> จุลพันธ์ สุวรรณ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 42 61 การจัดการห่วงโซ่อุปทานสินค้าชุมชนสู่การยกระดับความได้เปรียบทางการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการขนมหวานเมืองเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/270750 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานสินค้าชุมชน ขนมหวานเมืองเพชรบุรี และ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยกระดับความได้เปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการขนมหวานเมืองเพชรบุรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ประกอบการขนมหวานเมืองเพชรบุรีจำนวน 12 ราย และกลุ่มผู้บริโภคจำนวน 219 ราย ด้วยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) การจัดการห่วงโซ่อุปทานสินค้าชุมชนขนมหวานเมืองเพชรบุรี ประกอบด้วย 6 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ขายวัตถุดิบ ผู้ประกอบการ/วิสาหกิจชุมชน ผู้แปรรูปหรือซื้อผลิตต่อ พ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค นำมาสู่แนวทางการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าใหม่ ประกอบด้วย 2 กิจกรรมคือ (1) กิจกรรมหลัก ได้แก่ การผลิต (ลดต้นทุน) และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และ (2) กิจกรรมสนับสนุน ได้แก่ การบริการหลังการขายกับการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค และ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยกระดับความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่ ความสัมพันธ์กับลูกค้า (<em>M</em>=4.29) ประสิทธิภาพการบริหารจัดการผลิต (<em>M</em>=4.29) และประสิทธิภาพการบริหารการเงินและบัญชี (<em>M</em>=4.20) มีความสำคัญอยู่ในระดับมากทุกด้าน และทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em>=4.50)</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ก่อให้เกิดรูปแบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานใหม่สำหรับสินค้าชุมชน กลุ่มผู้ประกอบการขนมหวานและวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลการวิจัยไปเป็นแนวทางพัฒนาห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่นได้</p> พิมพ์ปวีณ์ มะณีวงค์ สุภาวดี มะณีวงค์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 62 75 แนวทางการดำเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางจากผลกระทบสถานการณ์ ระบาดของโรคโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/270717 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหาแนวทางการดำเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางจากผลกระทบสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดธุรกิจบริการที่มีอิทธิพลกับการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารริมทางในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร และการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางจากผลกระทบสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า ปัจจัยทุกด้านในส่วนประสมทางการตลาดธุรกิจบริการ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารริมทางในสถานการณ์ระบาดของโรค โควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value &lt; 0.05) โดยมีลำดับอิทธิพลจากมากไปน้อยคือ ผลิตภัณฑ์ ราคา บุคคลหรือพนักงาน ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด การนำเสนอทางกายภาพ และกระบวนการ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ควรให้ความสำคัญในด้านการดูแลสุขภาพและสุขอนามัย สร้างเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่มีความแปลกใหม่ มีรสชาติอร่อย สะอาด ถูกสุขลักษณะและมีคุณค่าทางโภชนาการ มีบริการส่งอาหารแบบจัดส่งถึงที่ และนำเทคโนโลยี Mobile self order เข้ามาช่วยในการปฏิบัติการของร้านอาหาร ประชาสัมพันธ์ร้านผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และใช้การรีวิวจาก Blogger หรือ Influencer เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น</p> สุรศักดิ์ บุญประสิทธิ์ วทัญญู รัศมิทัต Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 76 88 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาสวายแผ่นกรอบรสต้มยำ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/270623 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาสวายแผ่นกรอบรสต้มยำ โดยศึกษาระยะเวลาการอบพองผลิตภัณฑ์ปลาสวายแผ่นกรอบด้วยเตาอบไมโครเวฟ (2,100 วัตต์) ที่ 11 13 และ 15 วินาที พบว่า ผลิตภัณฑ์ปลาสวายแผ่นกรอบที่มีระยะเวลาการอบพองที่ 11 13 และ 15 วินาที มีค่าความสว่าง (L*) ปริมาณความชื้น และค่าความแข็ง มีแนวโน้มที่ลดลงเมื่อระยะเวลาการอบพองเพิ่มขึ้น และเมื่อประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้วยวิธี 9-point hedonic scale ด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ ความแข็งและความชอบโดยรวม พบว่า ผลิตภัณฑ์ปลาสวายแผ่นกรอบที่มีระยะเวลาการอบพองด้วยเตาอบไมโครเวฟที่ 13 วินาที มีค่าคะแนนความชอบอยู่ในเกณฑ์ที่ชอบมาก (8.46) จากนั้นศึกษาปริมาณการเติมผงปรุงรสต้มยำที่ 3 ระดับ คือ ร้อยละ 2 4 และ 6 (ของน้ำหนักการอบพอง) พบว่า การเติมผงปรุงรสต้มยำในปริมาณที่ร้อยละ 2 ได้รับการยอมรับคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ซึ่งมีคะแนนความชอบอยู่ในเกณฑ์ความชอบมาก (8.14) และนำผลิตภัณฑ์ปลาสวายแผ่นกรอบรสต้มยำมาวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี พบว่า มีปริมาณความชื้น โปรตีน ไขมัน เส้นใย เถ้า และคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 3.07 41.38 2.33 0.47 5.96 และ 46.74 ตามลำดับ จากการศึกษาข้างต้นเพื่อเป็นการนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการและมีราคาที่ต่ำมาเพิ่มมูลค่าและเพิ่มคุณค่าทางด้านโภชนาการให้กับผลิตภัณฑ์</p> กฤษณธร สาเอี่ยม ปัทมา หิรัญโญภาส จิราพร วีณุตตรานนท์ ธิดารัตน์ แสนพรม นันท์ยง เฟื่องขจรฟุ้ง กัญญาพัชร เพชราภรณ์ นพมาศ พูนเจริญศิลป์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-13 2024-12-13 30 4 89 102 การเปรียบเทียบทักษะดิจิทัลของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/270983 <p>วัตถุประสงค์ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับทักษะดิจิทัลของนักศึกษาระดับปริญญาตรี และเพื่อเปรียบเทียบทักษะดิจิทัลของนักศึกษาระดับปริญญาตรีโดยรวมกับตัวแปรคุณลักษณะส่วนบุคคล (ตัวแปร เพศ กลุ่มสาขาวิชา ระดับชั้นปี ผลการเรียนเฉลี่ย และระยะเวลาที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่อวัน) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศไทย จำนวน 12 แห่ง จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา และเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระกัน ผลวิจัยพบว่าทักษะดิจิทัลโดยรวมของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทักษะการเข้าถึง อยู่ในระดับมาก (<em>M</em>=3.99) เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ ทักษะการเข้าใจ (<em>M</em>=3.89) ทักษะการวิเคราะห์ (<em>M</em>=3.84) ทักษะการใช้ (<em>M</em>=3.79) และทักษะการสร้างสรรค์ (<em>M</em>=3.54) ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบทักษะดิจิทัลกับตัวแปรคุณลักษณะส่วนบุคคล พบว่า นักศึกษาที่มีเพศ ชั้นปี และกลุ่มสาขาวิชาที่แตกต่างกัน มีทักษะดิจิทัลไม่แตกต่างกัน แต่นักศึกษาที่มีผลการเรียนเฉลี่ย และระยะเวลาที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่อวันแตกต่างกัน มีทักษะดิจิทัลที่แตกต่างกัน ผลการศึกษานี้สามารถนําไปใช้เป็นแนวทางพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีความรู้ความสามารถทางด้านทักษะดิจิทัลที่ใช้ในการเรียนและการทำงานได้</p> ณรงค์ฤทธิ์ สุคนธสิงห์ นลินภัสร์ บำเพ็ญเพียร Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 30 4 103 121 แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตาราม อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/271604 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตาราม 2) นำเสนอแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตาราม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามกับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยววัดโฆสิตาราม จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์และจัดเวทีสนทนากลุ่มกับผู้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตาราม จำนวน 13 คน โดยเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตารามอยู่ในระดับมาก 2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตารามอยู่ในระดับปานกลาง 3) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดโฆสิตาราม 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านสิ่งดึงดูดใจ ควรจัดสถานที่ให้ถ่ายรูป และปรับปรุงภูมิทัศน์ให้นักท่องเที่ยวมานั่งพักผ่อนได้ (2) ด้านการคมนาคมขนส่ง วัดควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำป้ายบอกทางและป้ายเตือนในจุดเสี่ยงตามเส้นทางที่เดินทางมายังวัด (3) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ควรปรับปรุงสถานที่ให้ปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ (4) ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ ควรจัดกิจกรรมในวัดทุกวันสำคัญทางพุทธศาสนา และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวรับทราบ ข้อเสนอแนะในการพัฒนา ได้แก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของวัดควรร่วมกันพัฒนาวัดให้มีสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น และหน่วยงานภาครัฐ เอกชนควรขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกันในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธให้มีประสิทธิภาพต่อไป</p> ภูสิทธิ์ อุดมอนุรักษ์กุล จุฑาทิพย์ ถาวรรัตน์ ระวี จูฑศฤงค์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 30 4 122 136 การพัฒนาทักษะภายในของผู้นำองค์กร: สู่ภาวะผู้นำที่สร้างผลกระทบให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกได้อย่างแท้จริง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/272654 <p>“การพัฒนาที่ยั่งยืน” ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนให้บรรลุตามแผนที่ตั้งไว้ แต่ผลการสำรวจยังพบว่าการดำเนินการยังไม่คืบหน้าตามแผน จนคาดการณ์ได้ว่าไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ทันในปี ค.ศ. 2030 หนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการผลักดันให้เกิดระบบกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน คือ“ผู้นำ” หรือผู้บริหารทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน บทความวิชาการนี้ จึงมีเป้าหมายในการนำเสนอแนวคิด “เป้าหมายการพัฒนาทักษะภายใน” หรือ IDGs ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาทักษะภายในของมนุษย์ใน 5 มิติ ได้แก่ “การตระหนักรู้และเชื่อมโยงกับตนเอง” “การพัฒนาศักยภาพของความคิด” “การเชื่อมโยงและใส่ใจต่อคุณค่าของผู้อื่นและสรรพสิ่ง” “ความสามารถในการอยู่ร่วมกัน” และ “การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง” นอกจากนั้น บทความนี้ยังได้วิเคราะห์ความสำคัญของ IDGs ต่อการเสริมสร้างภาวะผู้นำในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงนำเสนอโมเดลการนำ IDGs ไปใช้เพื่อพัฒนาผู้บริหารเพื่อสร้างผลกระทบให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กรและโลกอย่างแท้จริง</p> กีรติกาญจน์ เจตน์ธนานันท์ ธีรพงษ์ บุญรักษา รษิกา เอี่ยมเกิด Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 30 4 137 153 บทบาทของพยาบาลในการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลในการป้องกัน โรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็ก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/273633 <p>เด็กเป็นบุคคลที่สำคัญของครอบครัว และเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากในเด็กมีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันยังทำงานไม่สมบูรณ์ จึงมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจได้ง่าย หากเกิดการเจ็บป่วย อาจส่งผลกระทบต่อตัวเด็กทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และพัฒนาการ นอกจากนี้หากผู้ปกครองดูแลไม่เหมาะสมขณะเจ็บป่วย อาจส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรัง ความพิการ หรืออาจเสียชีวิตได้ ดังนั้น บทบาทของพยาบาลในการส่งเสริมให้ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลให้มีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน โดยการได้เรียนรู้จากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ การให้คำแนะนำและชักจูงด้วยคำพูด การสังเกตตัวแบบและประสบการณ์ของผู้อื่น การประเมินทางสภาพสรีรวิทยาและการกระตุ้นทางอารมณ์ รวมทั้งการประสบความสำเร็จด้วยตนเอง จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลบุตรเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจอย่างถูกวิธี อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี มีการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัย เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป</p> ปาล์มวีนัฐ กิ่งทอง อุดมญา พันธนิตย์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 30 4 154 168 ความชุกภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยของผู้สูงอายุไทย: การวิเคราะห์งานวิจัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/274293 <p>ภาวะการรู้คิดบกพร่องเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่นำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมอันมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อผู้สูงอายุ ญาติผู้ดูแลและระบบบริการสุขภาพ จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนสถานการณ์ในผู้สูงอายุไทยอย่างจริงจัง และเร่งค้นหาผู้สูงอายุในชุมชนที่มีภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย เพื่อเร่งใช้มาตรการการส่งเสริมสุขภาพสมองให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) อธิบายนิยามเกณฑ์การวินิจฉัย และเครื่องมือประเมิน 2) ทบทวนสถานการณ์เชิงระบาดวิทยาในประเทศไทยจากงานวิจัยที่เลือกสรร 12 ชื่อเรื่อง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และ 3) เสนอแนวทางการวิจัยต่อไป ผลการวิเคราะห์งานวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุช่วง 60-69 ปี เพศหญิง การศึกษาระดับประถมศึกษา ขนาดตัวอย่างอยู่ระหว่าง 40-1,375 คน นิยมใช้แบบประเมิน MoCA-Thai เป็นเครื่องมือการสำรวจ และพบอัตราความชุกอยู่ในช่วง 3.40-92.70%</p> <p>ผู้เขียนเสนอแนะให้มีการศึกษาแบบติดตามระยะยาวในตัวอย่างที่ขนาดใหญ่ขึ้น ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุป่วยโรคเรื้อรัง เพื่อยืนยันปัจจัยเสี่ยงของภาวะ MCI ที่มีนัยยะสำคัญ และนำไปสู่มาตรการการส่งเสริมสุขภาพสมองที่มีความสอดคล้องกับบริบทผู้สูงอายุในสังคมไทย</p> เอมวดี เกียรติศิริ นงพิมล นิมิตรอานันท์ ฐิติมา หมอทรัพย์ พิมพ์นิภา ศรีนพคุณ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 30 4 169 183 บทบาทพยาบาลผดุงครรภ์ต่อการจัดการความเครียดแบบบูรณาการในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/274601 <p>การตั้งครรภ์วัยรุ่นมักจะก่อให้เกิดภาวะความเครียดมากกว่าการตั้งครรภ์ปกติจากการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และ/หรืออันตรายที่สามารถพบได้ทั้งมารดาและทารกอาจพบความพิการทุพพลภาพและเสียชีวิตได้ การจัดการความเครียดจึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นสามารถปรับตัวได้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตินี้ไปได้ เทคนิคการจัดการความเครียดมีหลากหลายขึ้นกับหลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่พยาบาลผดุงครรภ์นำมาประยุกต์ใช้ทั้งทฤษฎีทางการพยาบาล ทฤษฎีทางจิตวิทยา และทฤษฎีทางสังคมซึ่งนำมาบูรณาการเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ได้แก่ ผลของโปรแกรมการคิดเชิงบวกและการผ่อนคลาย และโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองและพฤติกรรมความเครียด บทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นให้มีการจัดการความเครียดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมจึงต้องใช้กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือที่สำคัญ พยาบาลผดุงครรภ์ควรมีบทบาทของผู้ประเมิน บทบาทของผู้ปฏิบัติ และท้ายสุดพยาบาลผดุงครรภ์ต้องมีบทบาทของผู้ติดตามประเมินผลลัพธ์ ทั้งความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง/พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น ความเครียด และการจัดการความเครียด และผลของการปฏิบัติดังกล่าว ตลอดจนมีการทบทวนแผนการดูแล ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยการตั้งเป้าหมายร่วมกับสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นและครอบครัวเพื่อสุขภาวะที่ดีทั้งแม่และลูกคือเป้าหมาย ลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย</p> นงนภัส วงษ์จันทร พรทิพย์ กวินสุพร Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 30 4 184 201