https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/issue/feed
วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
2025-07-24T15:43:20+07:00
ผศ. ร.ต.ต.หญิง ดร.ปชาณัฏฐ์ นันไทยทวีกุล และ ผศ.ดร.สุวิมล โรจนาวี
JNRIH@chula.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ เป็น วารสารของคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และมีกองบรรณาธิการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสถาบัน ปัจจุบันวารสารฯได้รับการประกาศผลการประเมินคุณภาพวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI Tier 3 โดยเผยแพร่วารสารฯผ่าน Thai Journals Online (ThaiJO) และ Chulalongkorn Journal online (CUJO) ที่เข้าถึงผู้อ่านในวงกว้าง</strong></p> <p><strong>Focus and Scope</strong></p> <p>เสนอวิทยาการก้าวหน้าทางพยาบาลศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัยที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาล เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ข่าวสารทางพยาบาลศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานของคณะพยาบาลศาสตร์</p> <p>สาขาที่รับ พยาบาลศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ การจัดการภัยพิบัติทางสุขภาพ นวัตกรรมทางสุขภาพ การแพทย์แบบผสมผสานและการแพทย์ทางเลือก พฤติกรรมศาสตร์</p> <p>รับตีพิมพ์บทความในภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>Peer Review Process</strong></p> <p>บทความต้นฉบับจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน แบบ Double Blind หากผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นสอดคล้องกัน กองบรรณาธิการทำการสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะส่งให้ผู้แต่งปรับแก้ หากผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นสอดคล้องกัน จำนวน 2 ใน 3 เสียง บรรณาธิการวารสารจะทำการติดต่อผู้ทรงคุณวุฒิท่านที่มีความเห็นไม่สอดคล้อง และประสานงานให้ผู้แต่งแก้ไขบทความ</p> <p><strong>Publication Frequency</strong></p> <p>กำหนดออกทุก 6 เดือน รวมปีละ 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนกรกฏาคม-ธันวาคม </p> <p><strong>ค่าใช้การตีพิมพ์ วารสารไม่เก็บค่าใช้จ่ายการตีพิมพ์ ระหว่างปี 2568-2569</strong></p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/271408
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความร่วมมือในการรักษา ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมวัณโรค
2024-12-02T23:58:08+07:00
ปริญญดา เปการี
parinyada2010@hotmail.com
ศิรินภา จิตติมณี
Sirinapha.J@chula.ac.th
สุรีพร ธนศิลป์
Sureeporn.T@chula.ac.th
<p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>ศึกษาความร่วมมือในการรักษาของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมวัณโรค และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับความร่วมมือในการรักษาของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมวัณโรค</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การวิจัยเชิงบรรยายแบบหาความสัมพันธ์</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวีและเป็นวัณโรค มีอายุตั้งแต่ 20 -59 ปี จำนวน 84 ราย จากคลินิกยาต้านเอชไอวีและคลินิกโรคปอด ณ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ 3 แห่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความร่วมมือในการรักษา แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม แบบประเมินปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีและยารักษาวัณโรค และแบบประเมินการตีตราภายในตนเองในผู้ติดเชื้อเอชไอวี เก็บรวมรวมข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามขณะมารับการรักษา ณ คลินิกยาต้านเอชไอวี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติสหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>กลุ่มตัวอย่างจำนวน 84 ราย มีระดับความร่วมมือในการรักษาโดยรวมในระดับสูง ( = 56.23, SD = 6.81) การสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความร่วมมือในการรักษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r = .218) และ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความสัมพันธ์ทางลบกับความร่วมมือในการรักษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r<sub>s</sub> = -.311) แต่ความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยยา ต้านเอชไอวีและยารักษาวัณโรค (r = .189) และ การตีตราภายในตนเอง (r = -.119) ไม่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการรักษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป: </strong>ผลการศึกษานี้สามารถเป็นแนวทางในการพัฒนาโปรแกรมในการพยาบาล การส่งเสริมพฤติกรรมการให้ความร่วมมือในการรักษาของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมวัณโรค</p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/271681
ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุ โรคหลอดเลือดสมอง
2024-12-05T16:15:19+07:00
ณิรินทร์ญา ปิยะพีรกาญจน์
piyapeerakan.n@gmail.com
ศิริพันธุ์ สาสัตย์
Siriphun.S@chula.ac.th
<p><strong><em>วัตถุประสงค์: </em></strong><em>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคัดสรรกับความเข้มเข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง</em></p> <p><strong><em>แบบแผนงานวิจัย:</em></strong><em> การวิจัยเชิงบรรยาย</em></p> <p><strong><em>วิธีดำเนินการวิจัย:</em></strong><em> กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองครั้งแรก จำนวน</em><em> 93 คน ที่มาติดตามการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลระดับตติยภูมิของรัฐ ในเขตกรุงเทพมหานคร สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินกิจวัตรประจำวันดัชนีบาร์เธลเอดีแอล แบบประเมินความเศร้าในผู้สูงอายุไทย แบบสอบถามความรู้สึกไม่แน่นอนในความเจ็บป่วย แบบประเมินความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง และแบบสอบถามความเข้มแข็งทางใจสำหรับผู้สูงอายุไทย ค่าความเที่ยงสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .84, .85, .87, .80 และ .93 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์อีต้า สหสัมพันธ์สเปียร์แมนและสหสัมพันธ์เพียร์สัน </em></p> <p><strong><em>ผลการวิจัย:</em></strong><em> 1) ความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (</em> <em>=</em> <em>72.83, SD</em> <em>=</em> <em>0.64) 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ ระดับการศึกษา ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน (r</em> <em>=</em> <em>.</em><em>659, .620, .265 ตามลำดับ) ส่วนภาวะซึมเศร้า และความรู้สึกไม่แน่นอนในความเจ็บป่วยมีความสัมพันธ์ทางลบกับความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง (r</em> <em>=</em> <em>-.</em><em>310, -.603 ตามลำดับ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) เพศและสถานภาพสมรส ไม่มีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง</em></p> <p><strong><em>สรุป: </em></strong><em>การส่งเสริมความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง อาจพิจารณานำปัจจัยที่มีความสัมพันธ์จากการค้นพบในการศึกษานี้ เป็นแนวทางในการสร้างโปรแกรมส่งเสริมความเข้มแข็งทางใจของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองต่อไป</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/274864
การพัฒนาและทดลองใช้โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่าน แอปพลิเคชันไลน์ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและ ระดับไขมันความหนาแน่นต่ำของผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง
2025-01-24T23:11:44+07:00
ชัชพงศ์ สมุทรอาลัย
c.samutalai@gmail.com
รัตน์ศิริ ทาโต
Ratsiri.T@chula.ac.th
<p><strong><em>วัตถุประสงค์:</em></strong><em> เพื่อพัฒนาและทดลองโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันไลน์ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง</em></p> <p><strong><em>รูปแบบการวิจัย:</em></strong><em> การวิจัยและพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาผลของโปรแกรมที่มีต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับไขมัน</em><em> LDL-C ในกลุ่มผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง</em></p> <p><strong><em>วิธีการดำเนินการวิจัย:</em></strong><em> กระบวนการพัฒนาโปรแกรมแบ่งเป็น</em><em> 3 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาสภาพปัญหาของผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรังร่วมกับการทบทวนวรรณกรรม 2) การออกแบบและพัฒนาโปรแกรมส่งเสริม ความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันไลน์และ 3) การทดลองใช้โปรแกรมในกลุ่มผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง โปรแกรมถูกประเมิน ในด้านความเหมาะสม ความต่อเนื่องของเนื้อหา และความถูกต้องทางภาษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรังที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเลิดสิน จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</em></p> <p><strong><em>ผลการศึกษา: </em></strong><em>โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันไลน์มีคะแนนเฉลี่ยด้านความสะดวกในการใช้งาน 4.6 (±0.48) คะแนนเฉลี่ยด้านการใช้ประโยชน์ได้จริงของโปรแกรม 5 (±0.00) คะแนนเฉลี่ยด้านความปลอดภัยในการใช้งาน 4.53 (±0.51) และคะแนนเฉลี่ยด้านความพึงพอใจในการใช้โปรแกรม 4.8 (±0.35) ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมดังกล่าวมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในอนาคต</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/272255
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจำหน่ายออกจากระบบ
2025-01-24T22:16:54+07:00
จิรารัตน์ ขันติยะบุตร
kerojira@gmail.com
ปิ่นหทัย ศุภเมธาพร
Pinhatai.S@chula.ac.th
สุรีพร ธนศิลป์
Sureeporn.T@chula.ac.th
<p><strong><em>วัตถุประสงค์:</em></strong><em> เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและความสัมพันธ์ระหว่าง อายุ เพศ โรคร่วม ดัชนีมวลกาย </em><em>อาการ และสภาวะการทำหน้าที่ กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อโควิด-</em><em>19 </em><em>หลังจำหน่ายออกจากระบบ</em></p> <p><strong><em>รูปแบบการวิจัย: </em></strong><em>การวิจัยแบบพรรณนาเชิงความสัมพันธ์ </em></p> <p><strong><em>วิธีดำเนินการวิจัย:</em></strong><em> กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อโควิด-</em><em>19 </em><em>และได้รับการจำหน่ายจากโรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน</em><em> 113 </em><em>คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบประเมินอาการ แบบประเมินสภาวะการทำหน้าที่ และแบบประเมินคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ได้ .</em><em>80 1</em><em>.</em><em>0 </em><em>และ .</em><em>88 </em><em>และความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .</em><em>83 </em><em>.</em><em>83 </em><em>และ .</em><em>81 </em><em>วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์อีต้า และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน </em></p> <p><strong><em>ผลการศึกษา: </em></strong><em>พบว่า คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อโควิด-</em><em>19 </em><em>หลังจำหน่ายออกจากระบบโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (</em><em>M </em><em>= </em><em>23</em><em>.</em><em>38, SD </em><em>= </em><em>3</em><em>.</em><em>55</em><em>) โดยสภาวะการทำหน้าที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อโควิด-</em><em>19 </em><em>หลังจำหน่ายออกจากระบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</em><em>05 </em><em>(</em><em>r </em><em>= .</em><em>257</em><em>) และอาการมีความสัมพันธ์ทางลบกับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</em><em>05 </em><em>โดยอาการที่มีความสัมพันธ์ ได้แก่เจ็บหน้าอก/ใจสั่น อาการอ่อนเพลีย/เหนื่อยล้า </em><em><br /></em><em>อาการหายใจลำบาก/หอบเหนื่อย อาการปวดศีรษะ/เวียนศีรษะ อาการนอนไม่หลับ อาการมึนงง/คิดไม่ออก อาการปวดเจ็บในข้อ และปัญหาด้านอารมณ์ (</em><em>r </em><em>= -.</em><em>363, </em><em>-.</em><em>292, </em><em>-.</em><em>247, </em><em>-.</em><em>250, </em><em>-.</em><em>281, </em><em>-.</em><em>295, </em><em>-.</em><em>229 </em><em>และ -.</em><em>198 </em><em>ตามลำดับ) ส่วนอายุ เพศ โรคร่วม และดัชนีมวลกาย ไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อโควิด-</em><em>19 </em><em>หลังจำหน่ายออกจากระบบ</em></p> <p><strong><em>สรุป: </em></strong><em>ผลของการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจำหน่ายออกจากระบบจะเป็นข้อมูลในการเตรียมการดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ ต่อไป</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/271780
ผลของโปรแกรมการจัดการอาการร่วมกับการบริหารกาย-จิตแบบชี่กงต่ออาการเหนื่อยล้า อาการนอนไม่หลับและอาการ วิตกกังวล ในผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาเคมีบำบัดแบบเสริม
2025-01-20T23:52:07+07:00
อรุณศรี สารธิมา
nuchzy39@gmail.com
นพมาศ พัดทอง
Noppamat.P@chula.ac.th
<p><strong><em>วัตถุประสงค์:</em></strong> <em>เพื่อเปรียบศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการอาการร่วมกับการบริหารกาย-จิตแบบชี่กงต่ออาการเหนื่อยล้า นอนไม่หลับและอาการวิตกกังวล ในผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัดแบบเสริม</em></p> <p><strong><em>รูปแบบการวิจัย: </em></strong><em>การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง (</em><em>Quasi Experimental Research</em><em>) </em></p> <p><strong><em>วิธีดำเนินการวิจัย:</em></strong><em> กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมในระยะที่</em><em> 1</em><em>-</em><em>3 </em><em>อายุตั้งแต่</em><em> 20 </em><em>ปีขึ้นไป ได้รับยาเคมีบำบัดเสริม จำนวน</em><em> 42 </em><em>คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ</em><em> 21 </em><em>คน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมการจัดการอาการร่วมกับการบริหารกาย-จิตแบบชี่กง ตามแนวคิดการจัดการอาการของ</em><em> Dodd </em><em>และคณะ (</em><em>2001</em><em>) และแนวคิดการบริหารกาย-จิตแบบชี่กง ของ เทอดศักดิ์ เดชคง (</em><em>2545</em><em>) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ</em><em> 1</em><em>.แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล</em><em> 2</em><em>. แบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง</em><em> 3</em><em>. แบบประเมินอาการ ได้แก่ แบบประเมินอาการเหนื่อยล้า แบบประเมินอาการนอนไม่หลับ แบบประเมินอาการวิตกกังวล วิเคราะห์หาค่าความเที่ยงของเครื่องมือโดยหาค่าสัมประสิทธิ์</em><em>อัลฟา</em><em>ครอนบาค ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ .</em><em>96, </em><em>.</em><em>81, </em><em>และ .</em><em>80 </em><em>ตามลำดับ และ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที </em></p> <p><strong><em>ผลการศึกษา </em></strong></p> <ol> <li><em> 1. คะแนนเฉลี่ยอาการเหนื่อยล้า การนอนไม่หลับ และอาการวิตกกังวลภายหลังการร่วมโปรแกรมของกลุ่มทดลอง 2.16 (0.70), </em><em>6.67 (2.57) และ 34.85 (4.57) ตามลำดับ กลุ่มควบคุม 3.85 (0.76), 14.14 (1.27) และ 47.85 (4.07) ตามลำดับ </em></li> <li><em> 2. คะแนนเฉลี่ยอาการเหนื่อยล้า อาการนอนไม่หลับ และอาการวิตกกังวลของกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการจัดการกับอาการร่วมกับการบริหารกาย-จิตแบบชี่กงต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </em></li> </ol> <p><strong><em>สรุป: </em></strong><em>โปรแกรมการจัดการกับอาการร่วมกับการบริหารกาย-จิตแบบชี่กงสามารถบรรเทาอาการเหนื่อยล้า นอนไม่หลับและอาการวิตกกังวล ในผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัดแบบเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/276054
ผลของโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาครอบครัวโดยบูรณาการกับแอปพลิเคชันไลน์ต่อพฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษาของผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน
2025-01-31T11:21:09+07:00
ศิริพร พึ่งตน
6470051036@student.chula.ac.th
สุดาพร สถิตยุทธการ
Sudaporn.St@chula.ac.th
<p><strong><em>วัตถุประสงค์: </em></strong><em>เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษาของผู้ป่วยจิตเภทในชุมชนก่อนและหลังได้รับโปรแกรมฯ และเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษาของผู้ป่วยจิตเภทในชุมชนที่เข้าได้รับโปรแกรมฯกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ</em></p> <p><strong><em>รูปแบบการวิจัย: </em></strong><em>การวิจัยกึ่งทดลอง</em></p> <p><strong><em>วิธีดำเนินการวิจัย:</em></strong> <em>กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยจิตเภทและผู้ดูแลในชุมชนที่มารับบริการแผนกจิตเวชและยาเสพติดของโรงพยาบาลองครักษ์ จำนวน</em><em> 40 </em><em>คน จับคู่ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกันด้วยอายุและเพศ เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาครอบครัวโดยบูรณาการกับแอปพลิเคชันไลน์ 2) แบบวัดพฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษา 3) แบบวัดความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยจิตเภทและผู้ดูแล เครื่องมือทุกชุดผ่านการตรวจสอบความตรงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ</em><em> 5 </em><em>ท่าน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบบมาตรฐานและสถิติทดสอบที</em></p> <p><strong><em>ผลการศึกษา:</em></strong> <em>1</em><em>) พฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษาของผู้ป่วยจิตเภทในชุมชนที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาครอบครัวโดยบูรณาการกับแอปพลิเคชันไลน์สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .</em><em>05</em></p> <p><strong><em> </em></strong><em> 2) พฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษาของผู้ป่วยจิตเภทในชุมชนที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาครอบครัวโดยบูรณาการกับแอปพลิเคชันไลน์สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .</em><em>05</em></p> <p><strong><em>สรุป:</em></strong><em> โปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาครอบครัวโดยบูรณาการกับแอปพลิเคชันไลน์ช่วยให้ผู้ป่วยจิตเภทในชุมชนมีพฤติกรรมการใช้ยาตามเกณฑ์การรักษาสูงขึ้น</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/275100
ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาล
2025-01-24T23:17:35+07:00
นวภัทร คงดี
6570104836@student.chula.ac.th
ศิริพันธุ์ สาสัตย์
siriphun.s@chula.ac.th
<p><em>รูปแบบการวิจัยเชิงบรรยายวิเคราะห์ความสัมพันธ์ <strong>วัตถุประสงค์: </strong></em><em>1</em><em>) เพื่อศึกษาความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาล</em><em> 2</em><em>) </em><em>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง เพศ ภาวะเปราะบาง ภาวะโภชนาการ ภาวะซึมเศร้า และจำนวนชนิดของยาที่ใช้ประจำ กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีอายุเกิน</em><em> 60 </em><em>ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่พ้นระยะเฉียบพลัน มีสภาวะทางการแพทย์คงที่และมีสัญญาณชีพปกติ ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มารับบริการในแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ</em><em> 3 </em><em>แห่ง โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน</em><em> 93 </em><em>คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความสามารถในกิจวัตรขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุ แบบประเมินภาวะรู้คิด แบบประเมินภาวะเปราะบางอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์อีต้า และสถิติสหสัมพันธ์ของ สเปียร์แมน</em></p> <p><strong><em>ผลการศึกษา: </em></strong><em>พบว่า</em><em> 1) ผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาลมีความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพในระดับปานกลาง (mean</em><em> </em><em>=</em><em> </em><em>55.04, SD</em><em> </em><em>=</em><em> </em><em>10.55) 2) ภาวะเปราะบาง มีความสัมพันธ์กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</em><em>=</em><em>.</em><em>259, p< .05) 3) ภาวะโภชนาการ มีความสัมพันธ์กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub></em><em> </em><em>=</em><em> </em><em>313, p< .05) 4) ภาวะซึมเศร้า มีความสัมพันธ์กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub></em><em> </em><em>=</em><em> </em><em>-</em><em>247, p< .05) 5) จำนวนชนิดของยาที่ใช้ประจำ มีความสัมพันธ์กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub></em><em> </em><em>=</em><em> </em><em>-</em><em>264, p< .05) และ 6) เพศ ไม่มีความสัมพันธ์กับความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าสู่การดูแลระยะกลางในโรงพยาบาล</em></p> <p><strong><em>สรุป:</em> </strong><em>ควรจัดทำกิจกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นรายบุคคลตามความต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งด้านร่างกายด้านจิตใจ และจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการเพิ่มจากการบริการขั้นพื้นฐานการดูแลระยะกลาง เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยได้เข้าใจคุณค่าที่สำคัญของชีวิตและรับรู้ถึงประโยชน์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพ</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS/article/view/275888
ผลของโปรแกรมการใช้น้ำมันหอมระเหย ต่อภาวะซึมเศร้า ในผู้ป่วยภายหลังการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
2025-02-03T11:28:01+07:00
รดา วงษ์ศรี
6370019036@student.chula.ac.th
ระพิณ ผลสุข
Rapin.P@chula.ac.th
<p><strong><em>วัตถุประสงค์การวิจัย:</em></strong><em> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการใช้น้ำมันหอมระเหย ต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยภายหลังการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน</em></p> <p><strong><em>รูปแบบการวิจัย:</em></strong><em> วิจัยกึ่งทดลอง</em></p> <p><strong><em>วิธีดำเนินการวิจัย:</em></strong><em> กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันทั้งเพศชายและเพศหญิง อายุตั้งแต่</em><em> 20 ปีขึ้นไป ขณะเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำนวน 44 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่มีภาวะซึมเศร้าที่ได้รับการประเมินด้วยแบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 22 คนคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจับคู่ให้มีความใกล้เคียงกัน ในเรื่องเพศ และอายุ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลปกติ ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลปกติร่วมกับโปรแกรมการใช้น้ำมันหอมระเหย ระยะเวลา 4 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินแบบสอบถามภาวะซึมเศร้า และ เครื่องมือกำกับการทดลอง คือ แบบบันทึกการใช้น้ำมันหอมระเหย มีค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาค 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายและสถิติ t-test </em></p> <p><strong><em>ผลการวิจัย: </em></strong><em>1. คะแนนภาวะซึมเศร้าในกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการใช้น้ำมันหอมระเหยต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการใช้น้ำมันหอมระเหย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. คะแนนภาวะซึมเศร้าในกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</em></p> <p><strong><em>สรุปผลของ: </em></strong><em>ผลของโปรแกรมการใช้น้ำมันหอมระเหย สามารถลดภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยภายหลังการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ และดีกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ</em></p>
2025-07-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยทางการพยาบาล นวัตกรรม และสุขภาพ