พุทธชินราชเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ <p><strong>พุทธชินราชเวชสาร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแพทย์ แพทยศาสตรศึกษาและสาธารณสุข ได้แก่ รายงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความปริทัศน์ นวัตกรรมทางการแพทย์ ย่อวารสาร บทความจากการประชุมจดหมายถึงบรรณาธิการ ถามตอบปัญหาและบทความประเภทอื่นที่เหมาะสม</p> th-TH [email protected] (Nanthiya Tanthachun) [email protected] (Wirot Srisuk) Thu, 15 Feb 2024 18:01:23 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 เซอร์จิคัลดับเบิ้ล ไกด์ แบบพิมพ์สามมิติในงานผ่าตัดเพิ่มความยาวตัวฟันเพื่อความสวยงาม: รายงานผู้ป่วย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265448 <p>การผ่าตัดเพื่อเพิ่มความยาวตัวฟันบริเวณฟันหน้าของขากรรไกรบนเพื่อ แก้ไขปัญหาตัวฟันสั้น หรือการยิ้มเห็นเหงือกมากเกินไป เพื่อสร้างรอย ยิ้มที่สวยงามนั้น ต้องมีการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง รวม ทั้งสื่อสารกับผู้ป่วยถึงผลลัพธ์ของการรักษาให้ชัดเจน ซึ่งกระบวนการ ทำงานแบบดิจิทัลโดยเทคโนโลยีแคด/แคมนั้นช่วยแสดงให้เห็นภาพ ของผลการรักษา รวมทั้งสร้างเซอร์จิคัลดับเบิ้ลไกด์ที่ใช้กำหนดตำแหน่งในการผ่าตัดทั้งในส่วนของระดับขอบเหงือกและระดับกระดูก ตามที่ได้วางแผนการรักษาไว้ บทความนี้ได้รายงานผู้ป่วย 1 รายที่ได้ใช้ กระบวนการดิจิทัลวางแผนการรักษาและได้สร้างเซอร์จิคัลดับเบิ้ลไกด์ที่ กำหนดตำแหน่งในการผ่าตัดเพิ่มความยาวของตัวฟัน เพื่อความสวยงาม จากสาเหตุการเคลื่อนที่ของเหงือกไม่สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างการใช้กระบวนการทางทันตกรรมดิจิทัลสื่อสารกับผู้ป่วยในขั้นตอนการวางแผน การรักษา ลดระยะเวลา รวมทั้งเพิ่มความแม่นยำในขั้นตอนการผ่าตัดอย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงข้อจำกัดจากปัจจัยต่างๆ ในการใช้งานร่วม ด้วย</p> แพรวไพลิน สมพีร์วงศ์ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265448 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 บรรณาธิการแถลง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/269098 นันทิยา ตัณฑชุณห์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/269098 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของค่าโปรแคลซิโตนินกับ ภาวะการติดเชื้อในโรงพยาบาลของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/263872 <p>ปัจจุบันการติดเชื้อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นับเป็นโรคประจำท้องถิ่นของประเทศไทยและผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงเนื่องจากวัคซีนและสายพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามยังมีผู้ป่วยบางรายที่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากความรุนแรงของโรคโควิด-19 หรือจากสาเหตุอื่น การศึกษาย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการเกิดภาวะติดเชื้อในโรงพยาบาลระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 พบว่ามีผู้ป่วย 87 คน เสียชีวิต 42 คน (ร้อยละ 48.3) เป็นเพศชาย 49 คน (ร้อยละ 56.3) มีโรคประจำตัว 81 คน (ร้อยละ 93.1)ซึ่ง69 คน (ร้อยละ 79.3) พบการติดเชื้อปอดอักเสบจากโควิด-19 โดยใส่ท่อช่วยหายใจ 39 คน (ร้อยละ 44.8) อยู่ในกลุ่มรอดชีวิต 14 คน (ร้อยละ 31.1) และในกลุ่มเสียชีวิต 25 คน (ร้อยละ 59.5) (p =0.014) ค่า<em>โปรแค</em>ลซิโทนิน&gt; 0.1 μg/L72 คน (ร้อยละ 87.8)ค่าโปรแคลซิโทนิน&gt; 0.25 μg/L 60 คน (ร้อยละ 73.2)จำนวนวันนอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 11 วัน เชื้อก่อโรคที่ตรวจพบได้แก่ <em>Acinetobacter baumannii</em>, <em>Klebsiella pneumoniae</em>และ<em>Escherichia coli</em> ตามลำดับ ส่วนความสัมพันธ์ของค่าโปรแคลซิโทนินกับวันที่ตรวจค่าโปรแคลซิโทนินนับจากวันที่มีอาการโควิด-19พบว่ามีค่าสูงหรือต่ำได้ตั้งแต่วันแรก และยังมีค่าสูงได้หลังมีอาการเกิน 7 วัน สรุปได้ว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรได้รับการดูแลและควบคุมป้องกันการติดเชื้อหลังการนอนโรงพยาบาลที่เข้มงวดมากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลด้วยสาเหตุอื่น เพื่อให้ผลการรักษาที่ดีและระยะเวลานอนโรงพยาบาลลดลง</p> จารุวรรณ เดียวสุรินทร์, วัชราภรณ์ ไพโรจน์, มารศรี มีธูป Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/263872 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดปลายนิ้ว ณ จุดดูแลผู้ป่วย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265473 <p>การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด ณ จุดดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบางกระทุ่มได้เปิดให้บริการโดยใช้เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดพกพารุ่น Accu-CHEK<sup>® </sup>กลุ่มงานเทคนิคการแพทย์ได้ดำเนินการทดลองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดชนิดพกพาในทุกหน่วยบริการ โดยประเมินเครื่องตรวจวัดทุกเครื่องและสารควบคุมคุณภาพน้ำตาลกลูโคส (ระดับต่ำ/ระดับสูง) ซึ่งผู้วิจัยได้ส่งสารควบคุมคุณภาพทั้ง 2 ระดับให้ผู้รับการประเมินตรวจวัดครั้งเดียวทั้ง 2 ระดับทุกเดือนเป็นเวลา 1 ปีงบประมาณ (วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564) จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อประเมินประสิทธิผลของเครื่องตรวจวัดด้านความถูกต้อง (accuracy: %Bias &lt; 5%), ความแม่นยำ (precision: %CV &lt; 5%) และค่าดัชนีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation Index: SDI ≤ ±2) ผลการศึกษาพบว่าเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดพกพารุ่น Accu-CHEK<sup>® </sup>Performa ในหน่วยบริการ POC Glucose ผ่านการเกณฑ์การยอมรับด้านความถูกต้อง (%Bias &lt; 5%), ความแม่นยำ (%CV &lt; 5%) และค่าดัชนีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SDI ≤ ±2) ทุกเครื่อง สรุปได้ว่าเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดพกพารุ่น Accu-CHEK<sup>®</sup> Performa มีประสิทธิผล พร้อมใช้งานทุกเครื่องทุกหน่วยบริการ</p> ชัชวาลย์ เส็งทอง Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265473 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 ผลของการใช้ยา Norepinephrine และยา Ephedrine เพื่อป้องกันและรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำหลังจากฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง และผลข้างเคียงจากการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ที่ผ่าตัดคลอด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/264384 <p>ยา ephedrine เป็นยากระตุ้นความดันโลหิตชนิดหดหลอดเลือดดั้งเดิมที่ใช้ในการผ่าตัดคลอด โดยออกฤทธิ์กระตุ้นตัวรับแอลฟ่าและเบต้า ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงและเร็วขึ้น ส่วนยา norepinephrine ออกฤทธิ์กระตุ้นอย่างอ่อนต่อตัวรับเบต้าและออกฤทธิ์กระตุ้นอย่างแรงต่อตัวรับแอลฟ่า การศึกษาแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอุบัติการณ์ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังและผลข้างเคียงจากยา norepinephrine และ ephedrine ในหญิงตั้งครรภ์ที่ผ่าตัดคลอดภายใต้การฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังในโรงพยาบาลโพธาราม 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มโดยการจับฉลาก กลุ่ม N ได้รับยา norepinephrine 6 ไมโครกรัมและกลุ่ม E ได้รับยา ephedrine 12 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดำทันทีที่ฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังและเมื่อความดันซิสโตลิกลดลงมากกว่าร้อยละ 20 ของค่าพื้นฐานหรือน้อยกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท พบภาวะความดันโลหิตต่ำในกลุ่ม N ร้อยละ 73.3 และกลุ่ม E ร้อยละ 63.3 (p = 0.579) กลุ่ม N มีจำนวนครั้งที่เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำหลังคลอดมากกว่ากลุ่ม E อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) พบภาวะความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วในกลุ่ม E มากกว่ากลุ่ม N อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.026 และ p = 0.001 ตามลำดับ) ไม่พบความแตกต่างของผลข้างเคียงอื่น สรุปว่าการบริหารยา norepinephrine 6 ไมโครกรัมและยา ephedrine 12 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดำในหญิงตั้งครรภ์ที่ผ่าตัดคลอดไม่ลดอุบัติการณ์ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง แต่ยา ephedrine เพิ่มอุบัติการณ์ภาวะความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็ว</p> นภาพร สุขศีลล้ำเลิศ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/264384 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 การเปลี่ยนแปลงการวินิจฉัยหลังการใช้เทคนิค Cell Block และ Immunostains ใน Serous Fluid ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็น Atypia of Undetermined Significance (AUS) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265601 <p>การตรวจเซลล์วิทยาของ serous fluid ปัจจุบันใช้แนวทางที่เรียกว่า The International System for Serous Fluid Cytopathology ซึ่งแบ่งการวินิจฉัยเป็น 5 กลุ่ม โดยกลุ่ม III) Atypia of undetermined significance ยังคงมี risk of malignancy สูงถึงร้อยละ 66 ซึ่งในทางปฏิบัติแพทย์จะส่งตรวจเซลล์วิทยาซ้ำหรือตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจเพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่แน่ชัด แต่ในปัจจุบันมีเทคนิค cell block ร่วมกับ immunostains ที่ช่วยลดการทำหัตถการซ้ำในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ การศึกษาแบบย้อนหลัง ณ ช่วงเวลาหนึ่งนี้ศึกษาสิ่งส่งตรวจประเภท serous fluid จากช่องหัวใจ ช่องอก และช่องท้องที่ได้รับการวินิจฉัยว่า atypia of undetermined significance จาก conventional cytology ที่กลุ่มงานพยาธิวิทยากายวิภาค โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก จำนวน 128 สิ่งส่งตรวจเพื่อประเมินการเปลี่ยนการวินิจฉัยหลังทำ cell block ร่วมกับ immunostains โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วย binary logistic regression ผลการศึกษาพบว่าผลการวินิจฉัยสิ่งส่งตรวจหลังจากทำ cell block ร่วมกับ immunostains เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยเป็น suspicious for malignancy และ malignant เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.9 (p &lt; 0.001, 95%CI 33.5, 60.2) สรุปได้ว่า serous fluid ที่ได้รับการวินิจฉัยว่า Atypia of undetermined significance ควรทำ cell block ร่วมกับ immunostains ทุกรายเนื่องจากพบการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยอย่างมีนัยสำคัญทั้งทางคลินิกและทางสถิติ</p> ปฏิมา บุญโญ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265601 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดจากการประเมินด้วย Thai CV Risk ในกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและปัจจัยเสี่ยง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266373 <p>โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย โดยปัจจุบันกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีอายุขัยที่ใกล้เคียงคนปกติ ซึ่งการติดเชื้อเอชไอวีถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่ากลุ่มที่ไม่ติดเชื้อ การวิจัยแบบตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย Thai CV Risk Score ในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเก็บข้อมูลไปข้างหน้าระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ประเมินผู้ติดเชื้อเอชไอวี 202 คนด้วย Thai CV risk score พบว่ามีคะแนนต่ำ 171 คนและคะแนนปานกลาง-สูง 31 คน อายุเฉลี่ย 47 ปี เป็นเพศชาย 108 คน (ร้อยละ 53.5) มีโรคประจำตัว 116 คน (ร้อยละ 57.4) โดยรวมพบการสูบบุหรี่ 33 คน (ร้อยละ 16.3) และการดื่มสุรา 68 คน (ร้อยละ 33.7) พบการออกกำลังกายสม่ำเสมอ 68 คน (ร้อยละ 33.7) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคะแนนความเสี่ยงปานกลาง-สูง ได้แก่ อายุที่เพิ่มทุก 5 ปี, โรคเบาหวาน และโรคความด้นโลหิตสูง สรุปได้ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าประชาชนทั่วไป จึงควรเฝ้าระวังและแนะนำการปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงสูง</p> พจน์ เจียรณ์มงคล, จารุวรรณ เดียวสุรินทร์ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266373 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 ผลการจัดการรายกรณีร่วมกับการรักษาที่บ้านต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ค่าดัชนีมวลกาย และความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยวัณโรค ที่มีภาวะทุพโภชนาการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/263027 <p>วัณโรคเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลกก่อให้เกิดความสูญเสียทางสุขภาพ เจ็บป่วย และเสียชีวิต การศึกษากึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนและหลังทดลอง (one group pertest-posttest design) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการจัดการรายกรณีร่วมกับการรักษาที่บ้านของผู้ป่วยวัณโรคที่มีภาวะทุพโภชนาการต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ค่าดัชนีมวลกายและความร่วมมือในการรักษา ศึกษาผู้ป่วยวัณโรคในปอดและนอกปอดที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองพิษณุโลก ที่มีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า 19 กก./ตร.ม. ที่มารับการรักษาที่คลินิกวัณโรคปอดและหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 จำนวน 30 คน โดยได้รับโปรแกรมการจัดการรายกรณี 7 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) การคัดเลือกผู้ป่วย 2) การประเมินสภาพปัญหา 3) ประสานงานและพัฒนาแผนการรักษา 4) การดำเนินการตามแผน 5) การเฝ้ากำกับติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง 6) การประเมินผล และติดตาม 7) การปิดการให้บริการ ใช้เวลาทดลอง 24 สัปดาห์ เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุลคล แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบเก็บค่าน้ำหนักส่วนสูงและค่าดัชนีมวลกาย นำเสนอข้อมูลเป็นค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองด้วยสถิติ paired t-test และเปรียบเทียบค่าดัชนีมวลกายก่อนและหลังทดลองด้วยสถิติ repeated measures ANOVA พบว่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) และค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ยหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) สรุปได้ว่าการจัดการรายกรณีร่วมกับการรักษาที่บ้านช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการดูตนเอง เพิ่มค่าดัชนีมวลกาย และความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยวัณโรคที่มีภาวะทุพโภชนาการ</p> วาสนา เกตุมะ, วราภรณ์ ไชยโคตร, เชาวกิจ ศรีเมืองวงศ์ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/263027 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการพยาบาลช่องทางด่วน แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/264856 <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานการณ์ สภาพปัญหา พัฒนารูปแบบการพยาบาลช่องทางด่วนและประเมินผลลัพธ์การพัฒนารูปแบบการพยาบาลช่องทางด่วนแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ.2566 แบ่งเป็น4 ขั้นตอน ดังนี้<em>ขั้นตอนที่ 1</em> วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา<em>ขั้นตอนที่ 2</em> พัฒนารูปแบบการพยาบาลช่องทางด่วน<em>ขั้นตอนที่ 3</em> นำรูปแบบการพยาบาลช่องทางด่วนที่พัฒนาไปใช้ <em>ขั้นตอน </em><em>4</em> ประเมินผลลัพธ์การพยาบาลโดยศึกษาในพยาบาลวิชาชีพ32 คนและผู้ป่วยช่องทางด่วน120 รายนำเสนอข้อมูลเป็นค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบข้อมูลด้วยการทดสอบ chi-square, Fisher's exact, independent sample t,Mann-Whitney Uและpaired t testพบว่ารูปแบบการพยาบาลช่องทางด่วนที่พัฒนาขึ้นเรียกว่าCCRD modelประกอบด้วย4 องค์ประกอบ ได้แก่ C: Case management, C: Clinical nursing practice guideline of fast track, R: Record fast track nursing formและ D: Digital technologyผลลัพธ์ด้านผู้ป่วยพบว่ากลุ่มที่ได้การพยาบาลช่องทางด่วนที่พัฒนาขึ้นได้รับกิจกรรมการพยาบาลเร็วกว่ากับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลรูปแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติพยาบาลวิชาชีพมีคะแนนเฉลี่ยความรู้หลังพัฒนามากกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดยส่วนใหญ่พยาบาลปฏิบัติตามรูปแบบและพึงพอใจระดับมากที่สุดดังนั้นผู้บริหารการพยาบาลควรนำรูปแบบการพัฒนานี้ไปใช้เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการดูแลช่องทางด่วนอย่างปลอดภัยต่อไป</p> วีนัส กุลธำรง, มยุรี ลิ้มรุ่งยืนยง, นาตยา คำสว่าง Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/264856 Thu, 15 Feb 2024 00:00:00 +0700 สภาวะสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตด้านมิติสุขภาพช่องปาก ของผู้สูงอายุในคลินิกผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266448 <p>ทีมสหวิชาชีพโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลกให้บริการคลินิกผู้สูงอายุเพื่อตรวจรักษาผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง หรือเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่เป็นอยู่และได้รับยาร่วมกันหลายขนาน การศึกษาแบบพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสภาวะสุขภาพช่องปากและผลกระทบของสภาวะสุขภาพช่องปากต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มารับบริการคลินิกผู้สูงอายุระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 100 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล ประเมินคุณภาพชีวิตด้านมิติสุขภาพช่องปากด้วยแบบวัด Oral Impacts on Daily Performance Index (OIDP) และตรวจประเมินสภาวะสุขภาพช่องปาก วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะสุขภาพช่องปากกับผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตด้วยสถิติถดถอยพหุคูณลอจิสติก พบว่าผู้สูงอายุเป็นเพศหญิงร้อยละ 63 มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงร้อยละ 76 มีจำนวนฟันธรรมชาติเหลือน้อยกว่า 20 ซี่ร้อยละ 75 จำนวนคู่สบฟันหลังน้อยกว่า 4 คู่ร้อยละ 34 สูญเสียฟันทั้งปากร้อยละ 33 มีผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันและยังไม่ได้ใส่ฟันเทียมร้อยละ 15 มีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมจากการประเมินโดยทันตแพทย์ร้อยละ 59 และประเมินโดยผู้สูงอายุเองร้อยละ 31 ได้รับผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตด้านมิติสุขภาพช่องปากร้อยละ 63 ซึ่งเป็นด้านการกินอาหารร้อยละ 58 รองลงมาคือการทำความสะอาดช่องปากหรือฟันเทียม และสามารถยิ้ม หัวเราะอวดฟันได้ไม่อายใครร้อยละ 17 และ 11 ตามลำดับ สรุปได้ว่าผู้สูงอายุในคลินิกผู้สูงอายุมีสภาวะสุขภาพช่องปากที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะด้านการกินอาหารและจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป</p> อารีย์ ภูมิประเสริฐโชค Copyright (c) 2023 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266448 Tue, 19 Dec 2023 00:00:00 +0700