พุทธชินราชเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ <p><strong>พุทธชินราชเวชสาร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแพทย์ แพทยศาสตรศึกษาและสาธารณสุข ได้แก่ รายงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความปริทัศน์ นวัตกรรมทางการแพทย์ ย่อวารสาร บทความจากการประชุมจดหมายถึงบรรณาธิการ ถามตอบปัญหาและบทความประเภทอื่นที่เหมาะสม</p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8074 (Print)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8953 (Online)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>#การส่งบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ลงพุทธชินราขเวชสาร จะต้องส่งผ่านระบบ ThaiJO เท่านั้น#</strong></em></p> th-TH tnanthiya@gmail.com (Nanthiya Tanthachun) wirotss@gmail.com (Wirot Srisuk) Tue, 28 May 2024 11:03:04 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บรรณาธิการแถลง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/271378 <p>no abstract</p> นันทิยา ตัณฑชุณห์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/271378 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายไม่สำ􀃎 เร็จในประชากรที่พยายามฆ่าตัวตาย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268167 <p>การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุข ทำให้เกิดการสูญเสียมากมาย ข้อมูลในแต่ละพื้นที่อาจเหมือนหรือแตกต่างกัน การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังครั้งนี้ศึกษาในประชากรที่อาศัยในอำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บข้อมูลจากแบบเฝ้าระวังการพยายามทำร้ายตนเอง รง 506.S กับเวชระเบียนของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ระหว่างปี พ.ศ. 2561-2565 เพื่อประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย พบจำนวนผู้ทำร้ายตนเองไม่สำเร็จกว่า 2 ใน 3 เป็นเพศหญิง สถานภาพสมรสคู่ อายุเฉลี่ย 34.7 ± 15.1 ปี อาชีพรับจ้าง วิธีการที่ใช้มากที่สุด คือ กินยาเกินขนาด สาเหตุที่พบมากที่สุด คือ ปัญหาความสัมพันธ์ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ได้แก่ เพศ วิธีการทำร้ายตนเอง ความตั้งใจทำจนเสียชีวิต การส่งสัญญาณบ่งบอกว่าจะทำร้ายตนเอง ปัญหาความสัมพันธ์ และปัญหาความเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยกว่าครึ่งได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า สรุปได้ว่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ จึงควรนำปัจจัยเหล่านี้ไปใช้ประกอบในการวางแผนมาตรการดูแลติดตามและจัดทำแนวทางป้องกันการฆ่าตัวตายซ้ำของประชากร </p> Kanokwan Limsricharoen Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268167 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ปริมาณการให้เม็ดเลือดแดงระหว่างผ่าตัดหัวใจผู้ใหญ่โดยใช้ระบบไหลเวียนโลหิต ภายนอกร่างกายอย่างเดียวเปรียบเทียบกับการกรองเลือดแบบมาตรฐานร่วมด้วย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/264300 <p>การกรองเลือดแบบมาตรฐาน (conventional ultrafiltration: CUF) ระหว่างการใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกาย (cardiopulmonary bypass: CPB) มีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงน้ำส่วนเกินและเพิ่มฮีมาโตคริต การให้เม็ดเลือดแดงนั้นเกี่ยวข้องกับอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายหลังผ่าตัดหัวใจ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบปริมาณการให้เม็ดเลือดแดงระหว่างผ่าตัดหัวใจผู้ใหญ่โดยใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายร่วมกับการกรองเลือดแบบมาตรฐานกับการใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายอย่างเดียว โดยศึกษาในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการผ่าตัดหัวใจ 280 ราย แบ่งเป็นกลุ่มใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายร่วมกับการกรองเลือดแบบมาตรฐาน 140 รายและกลุ่มใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายอย่างเดียว 140 ราย พบว่ากลุ่มใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายร่วมกับการกรองเลือดแบบมาตรฐานกรองได้รับปริมาณเม็ดเลือดแดงเฉลี่ย 1,574.46 มล. กลุ่มใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายร่วมกับการกรองเลือดแบบมาตรฐานได้รับเม็ดเลือดแดงมากกว่ากลุ่มใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายอย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3.31 ± 0.15 ยูนิตและ 2.60 ± 0.14 ยูนิตตามลำดับ, p &lt; 0.001) สรุปได้ว่าการกรองเลือดแบบมาตรฐานระหว่างใช้ระบบไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกายไม่ได้ลดการให้เม็ดเลือดแดง อย่างไรก็ตามสามารถใช้การกรองเลือดแบบมาตรฐานได้อย่างปลอดภัยเพื่อลดการสะสมของของเหลวและเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน</p> Kreangkrai Bunkhampha Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/264300 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 อัตราการติดเชื้อและปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงที่ปากมดลูก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268478 <p>การติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงแบบไม่หายขาดเป็นสาเหตุหลักของรอยโรคที่ปากมดลูกในระยะก่อนเป็นมะเร็งและมะเร็งปากมดลูก โดยเชื้อที่พบมากที่สุดคือสายพันธุ์ 16 และ 18 ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงฯ นั้นแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคเนื่องจากความรู้ความเข้าใจต่อโรคและอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี การศึกษาแบบย้อนหลังชนิดมีกลุ่มควบคุมครั้งนี้มีวัตถุุประสงค์์เพื่อประเมินอัตราการตรวจพบเชื้อและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงฯ โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของสตรีที่ติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ส่วนกลุ่มควบคุมคือสตรีที่อายุใกล้เคียงกันและไม่มีภาวะการติดเชื้อเอชพีวี พบอัตราการตรวจพบเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงฯ ร้อยละ 4.4 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงฯ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ได้แก่ ประวัติเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อายุที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกน้อยกว่า 20 ปี การคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย และจำนวนคู่นอนของฝ่ายชายมากกว่าหนึ่งคน สำหรับปัจจัยการมีคู่นอนหลายคน อายุของการตั้งครรภ์และคลอดบุตรครั้งแรกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 ปีไม่เกี่ยวข้องกับติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูงฯ สรุปคือสตรีที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรได้รับความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีและได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ</p> เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ, ธนนิตย์ สังคมกำแหง, จินดามณี แสนบุญศิริ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268478 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ลักษณะทางคลินิกที่สำคัญในการทำนายภาวะต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติในเด็ก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268657 <p>ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตในเด็กพบได้บ่อย ส่วนใหญ่เป็นต่อมน้ำเหลืองโตที่คลำได้ปกติ ขณะที่ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติพบได้น้อยกว่าและมักมีลักษณะทางคลินิกที่ต่างออกไป ดังนั้นการวิจัยแบบทำนายการวินิจฉัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินลักษณะทางคลินิกที่ใช้ทำนายภาวะต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีที่ได้รับการตัดต่อมน้ำเหลืองเพื่อวินิจฉัยภาวะต่อมน้ำเหลืองโตที่โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลกระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ลักษณะที่ทำนายรายตัวด้วย univariable risk ratio regression และลักษณะที่ทำนายหลายตัวด้วย multinomial logistic regression ผลการศึกษาพบว่าเด็กที่ได้รับการตรวจชิ้นเนื้อ 188 ราย เป็นกลุ่มต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็ง 70 ราย (ร้อยละ 37.2) และมะเร็ง 27 ราย (ร้อยละ 14.4) ปัจจัยที่ใช้ทำนายภาวะต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็ง คือ ต่อมน้ำเหลืองโตที่เดียว, คลำต่อมน้ำเหลืองพบลักษณะ rubbery และ fixed ส่วนลักษณะที่บ่งบอกถึงภาวะมะเร็ง คือ ขนาดของต่อมน้ำเหลืองโตกว่า 1.5 เซนติเมตร, ต่อมน้ำเหลืองโตหลายที่, ภาวะซีด อ่อนเพลีย และคลำต่อมน้ำเหลืองพบลักษณะ fixed สรุปได้ว่าเมื่อนำลักษณะทางคลินิกเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้จัดทำแนวทางในการรักษาและตรวจชิ้นเนื้อได้อย่างเหมาะสม</p> Tipsuda Tangsriwong, ทิพย์สุมล ตั้งศรีวงศ์ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268657 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ลักษณะภาพวินิจฉัยทวารหนักพิการแต่กำเนิดที่ไม่ปรากฏรูเปิด บริเวณฝีเย็บจากการตรวจสวนสารทึบรังสีผ่านทวารเทียมก่อนผ่าตัด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268764 <p>ความถูกต้องของการวินิจฉัยรูเชื่อมทะลุภายในระหว่างลำไส้ตรงตันกับอวัยวะข้างเคียงด้วยการตรวจสวนสารทึบรังสีผ่านทวารเทียมในผู้ป่วยที่ทวารหนักพิการแต่กำเนิดนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนผ่าตัดแก้ไข การวิจัยเชิงวินิจฉัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินลักษณะเฉพาะของภาพวินิจฉัยรูเชื่อมทะลุระหว่างลำไส้ตรงตันกับอวัยวะข้างเคียง โดยทบทวนภาพวินิจฉัยย้อนหลังของผู้ป่วยที่ทวารหนักพิการแต่กำเนิดแบบไม่ปรากฏรูเปิดที่ผิวหนังบริเวณฝีเย็บด้วยการตรวจสวนสารทึบรังสีผ่านทางทวารเทียมระหว่างปี พ.ศ. 2552 ถึง 2565 วินิจฉัยจำแนกชนิดความพิการของทวารหนักตาม Krickenbeck classification วิเคราะห์ความแตกต่างของภาพรังสีระหว่างกลุ่มผ่าตัดพบและไม่พบรูเชื่อมทะลุภายใน สร้างแบบจำลองทำนายวินิจฉัยพบรูเชื่อมทะลุด้วย multivariable logistic regression ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วย 29 คนจากทั้งหมด 45 คนที่พบรูเชื่อมทะลุภายใน ลักษณะภาพวินิจฉัยเฉพาะของกลุ่มที่พบรูเชื่อมทะลุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ รูปร่าง beak ของลำไส้ตรงตัน, ความพิการของลำไส้ตรงตันระดับสูง และปรากฏสารทึบรังสีผ่านรูเชื่อมทะลุ เมื่อสร้างแบบจำลองทำนายที่ใช้เพียงสองลักษณะแรกพบว่ามีความแม่นยำในการวินิจฉัยรูเชื่อมทะลุภายในสูง (AUC = 0.95, 95%CI 0.89-1.00) และเมื่อเทียบการทำนายวินิจฉัยกับแบบจำลองที่ใช้ทุกลักษณะเฉพาะพบว่าความแม่นยำลดลงเล็กน้อย (AUC = 0.97, 95%CI:0.93-1.00) สรุปได้ว่าลักษณะภาพวินิจฉัยเฉพาะ ได้แก่ รูปร่าง beak และความพิการระดับสูงของลำไส้ตรงตันช่วยทำนายวินิจฉัยรูเชื่อมทะลุภายในระหว่างลำไส้ตรงตันกับอวัยวะข้างเคียงได้ถูกต้องแม่นยำสูง แม้ตรวจไม่พบสารทึบรังสีผ่านรูเชื่อมทะลุ</p> ทิพย์สุมล ตั้งศรีวงศ์, ทิพย์สุดา ตั้งศรีวงศ์ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268764 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ผลการรักษาผู้ป่วยโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบด้วย Triamcinolone Acetonide ระหว่างขนาดยา 5 และ 10 มิลลิกรัม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268155 <p>โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเป็นภาวะที่พบบ่อย เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็น extensor pollicis brevis (EPB) และ abductor pollicis longus (APL) การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการฉีดยา triamcinolone acetonide 5 มิลลิกรัม และ 10 มิลลิกรัมในการรักษาผู้ป่วยโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนและโทรศัพท์ติดตามอาการของผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลธัญบุรีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 135 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยา triamcinolone acetonide 5 มิลลิกรัม 65 คน และ 10 มิลลิกรัม 70 คนตามลำดับ หลังได้รับการรักษาสองสัปดาห์กลุ่ม 10 มิลลิกรัมและ 5 มิลลิกรัมมีอัตราการหายจากอาการปวดร้อยละ 90 และร้อยละ 69.2 ตามลำดับ ที่สี่สัปดาห์ทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน และที่หกสัปดาห์อัตราการหายจากอาการปวดเท่ากัน โดยที่ผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยา triamcinolone acetonide 10 มิลลิกรัมมีอัตราความสำเร็จมากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยา triamcinolone acetonide 5 มิลลิกรัมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งหลังการรักษาที่สอง สี่ และหกเดือน เกิดภาวะด่างขาวในกลุ่ม 10 มิลลิกรัมร้อยละ 1.4 สรุปได้ว่าผู้ป่วยได้รับการฉีดยา triamcinolone acetonide 10 มิลลิกรัมมีประสิทธิผลในการรักษาจากอาการปวดและอัตราความสำเร็จมากกว่าผู้ป่วยกลุ่ม 5 มิลลิกรัม อย่างไรก็ตามควรคำนึงถึงภาวะด่างขาวด้วย</p> Piyawat Chungsamanukool Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268155 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ผลการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มในผู้ป่วยที่ตรวจพบก้อนเต้านม ระหว่างการใช้อัลตราซาวน์กับการคลำด้วยมือ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266859 <p>มะเร็งเต้านมในผู้หญิงมีอัตราการเกิดรายใหม่มากกว่ามะเร็งปอดซึ่งถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งทั้งโลกทั้งแยกตามเพศและอายุ โดยยังเป็นมะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยมากที่สุด เช่นเดียวกับในประเทศไทย การศึกษานี้เปรียบเทียบผลการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจด้วยการใช้อัลตราซาวน์กับการคลำก้อนที่เต้านมในผู้ป่วยที่คลำพบก้อนที่เต้านมจริงซึ่งยืนยันผลจากทำอัลตราซาวน์และหรือแมมโมแกรมเป็น BIRADS* 3-5 ศึกษาในผู้ป่วยหญิงซึ่งคัดเลือกโดยการสุ่มจำนวน 40 คน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2565 ถึง 1 เมษายน พ.ศ. 2566 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มโดยการคลำก้อนที่เต้านมและผู้ป่วยที่ได้รับการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มโดยการใช้อัลตราซาวน์ ผลการศึกษาโดยยึดผลจากการตัดชิ้นเนื้อตรงกันพบว่าความแม่นยำในกลุ่มที่ได้รับการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มโดยการใช้อัลตราซาวน์และโดยการคลำก้อนที่เต้านมเท่ากับร้อยละ 95 และร้อยละ 85 ตามลำดับ ผลค่าทำนายผลบวก (PPV) เป็น 100%, 100% และค่าทำนายผลลบ (NPV) เป็น 85.7%, 100%, ส่วนผลลบลวง (FN) เป็น 7.1% และ 0% ตามลำดับ ซึ่งการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มที่เต้านมไม่มีภาวะแทรกซ้อนในทั้งสองกลุ่ม โดยสรุปทั้งสองวิธีสามารถทำได้โดยศัลยแพทย์และแพทย์ประจำบ้านสาขาศัลยศาสตร์ทั่วไปได้ผลที่ตรง ปลอดภัย รวดเร็ว ง่าย มีประสิทธิภาพ สามารถทำได้ข้างเตียง ค่าใช้จ่ายน้อย โดยในกลุ่มที่ได้รับการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มโดยการใช้อัลตราซาวน์มีความแม่นยำมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการตัดชิ้นเนื้อด้วยเข็มโดยการคลำก้อนที่เต้านมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> พัชราวรรณ ประสิทธิ์วิเศษ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266859 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 การเกิดภาวะไข้ร่วมกับเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กินชนิดบีเซลล์ที่ได้รับเคมีบำบัดครั้งแรก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268435 <p>ภาวะไข้ร่วมกับเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำเป็นภาวะแทรกซ้อนสำคัญของการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยเคมีบำบัด งานวิจัยนี้ประเมินอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าว รวมถึงเชื้อก่อโรคที่พบ อัตราการนอนโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิต โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กินชนิดบีเซลล์ที่ได้รับเคมีบำบัดครั้งแรกเป็นสูตรที่ประกอบด้วย CHOP ในโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 มีผู้ป่วยเข้าร่วม 300 คน พบภาวะไข้ร่วมกับเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำ 114 คน (ร้อยละ 38) โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะไข้ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากการศึกษาแบบพหุตัวแปร ได้แก่ อายุที่มากขึ้น (adj OR 1.03, 95%CI 1.01-1.05, p = 0.005), โรคร่วมเป็นโรคเบาหวาน (adj OR 2.48, 95%CI 1.06-5.79, p = 0.035), โรคไตวายเรื้อรัง (adj OR 25.52, 95%CI 2.26-288.48, p = 0.009), ค่า ANC เริ่มต้นที่ต่ำกว่า (adj OR 1.02, 95%CI 1.01-1.02, p = 0.002), ค่า LDH ที่สูงกว่า (adj OR 1.02, 95%CI 1.01-1.02, p &lt; 0.001), การได้รับ CNS prophylaxis (adj OR 3.93, 95%CI 1.58-9.75, p = 0.003) พบอัตราการนอนโรงพยาบาลร้อยละ 98.2 อัตราการเสียชีวิตใน 30 วันร้อยละ 12.3 และเชื้อก่อโรคที่พบบ่อย ได้แก่ แบคทีเรียชนิดแกรมลบ สรุปว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไข้ฯ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น มีโรคร่วมเป็นโรคเบาหวานและโรคไตวายเรื้อรัง</p> รัชนี เสนาน้อย Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268435 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลในการเพิ่มพูนความรู้และระดับความพึงพอใจในการสอนทันตสุขศึกษาด้วยบัญชีทางการของไลน์ของกลุ่มผู้ปกครองในการเรียนรู้การดูแล ทำความสะอาดช่องปากของเด็กก่อนวัยเรียน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265767 <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเพิ่มพูนความรู้ทางด้านทันตสุขศึกษาผ่านบัญชีทางการของไลน์ฟันดี (LINE Official Account : FUN DEE)&nbsp; ในกลุ่มผู้ปกครองของเด็กก่อนวัยเรียนช่วงอายุ 2-4 ปี จำนวน 41 ราย โดยกลุ่มตัวอย่างได้ทำการทดสอบด้วยแบบสอบถามความรู้ทางด้านทันตสุขศึกษาจำนวน 10 ข้อ จากนั้นรับการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผ่านการแจ้งเตือนการแปรงฟันในช่วงเวลา 19 นาฬิกาด้วยบัญชีทางการของไลน์ฟันดีเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดกิจกรรมกลุ่มผู้ปกครองรับการทดสอบด้วยแบบสอบถามความรู้ชุดเดิมจำนวน 10 ข้อและแบบสอบถามความพึงพอใจ รวบรวมข้อมูลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลความแตกต่างของคะแนนความรู้โดยสถิติวิเคราะห์การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (paired t-test) ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรู้ทางด้านทันตสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในหัวข้อฟันผุ และการดูแลสุขภาพช่องปาก ในแง่ของความพึงพอใจพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่มีระดับความพึงพอใจในระดับพึงพอใจมากที่สุดอยู่ในระดับ 80.4% การสรุปผลพบว่าการใช้บัญชีทางการของไลน์ฟันดี สามารถเพิ่มพูนความรู้ทางด้านทันตสุขศึกษาของผู้ปกครองได้อย่างมีนัยสำคัญ และมีระดับความพึงพอใจของผู้ปกครองส่วนใหญ่อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> สิทธิเดช สุขแสง, อารยา เชียงของ, สิทธิกร ธีระวงศ์วิวัฒน์ Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265767 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ประสบการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีในเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/267894 <p>ปัจจุบันทั่วโลกเข้าสู่สังคมสูงอายุรวมถึงประเทศไทย งานวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสบการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีในเขตเมือง จังหวัดพิษณุโลก ระหว่างเดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว 14 คน ผลการวิจัยแบ่งเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) <strong>ด้านการดูแลสุขภาพตนเองตามหลัก </strong><strong>3อ.2ส. </strong><em>อาหาร </em>: เลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์จากแหล่งธรรมชาติ กินอาหารวันละ 2 มื้อ ปรุงอาหารเองโดยการต้ม นึ่ง หลีกเลี่ยงรสจัดและอาหารเสริม <em>อารมณ์ </em>: จัดการอารมณ์ด้วยการคิดบวก ปล่อยวางและทำสมาธิ โดยปฏิบัติจนเป็นนิสัย <em>ออกกำลังกาย </em>: เดิน 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ นาน 30 นาที <em>ไม่ดื่มสุรา</em> <em>ไม่สูบบุหรี่</em> 2) <strong>ด้านการใช้สื่อ</strong> เลือกรับข่าวสารจากสื่อที่น่าเชื่อถือ สร้างความเข้าใจด้วยตนเองโดยตรวจสอบข้อมูล เปรียบเทียบข้อมูล คิดวิเคราะห์ จดบันทึก นำไปปฏิบัติหากเกิดผลดีจึงบอกต่อ 3)<strong> ด้านบริการสุขภาพ</strong> รับความรู้ทางการแพทย์จากบุคลากรสาธารณสุขใกล้บ้านที่เข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว เตือนตนเองโดยเขียนวันนัดในปฏิทิน รวมถึงครอบครัวที่สนับสนุนโดยกระตุ้นเตือนการไปตามนัด สรุปได้ว่าผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีเน้นการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุเพื่อให้มีสุขภาพดี</p> สุวรรณรัตน์ สิงหะบุระอุดม Copyright (c) 2024 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/267894 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700