พุทธชินราชเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ <p><strong>พุทธชินราชเวชสาร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแพทย์ แพทยศาสตรศึกษาและสาธารณสุข ได้แก่ รายงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความปริทัศน์ นวัตกรรมทางการแพทย์ ย่อวารสาร บทความจากการประชุมจดหมายถึงบรรณาธิการ ถามตอบปัญหาและบทความประเภทอื่นที่เหมาะสม</p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8074 (Print)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8953 (Online)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>#การส่งบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ลงพุทธชินราขเวชสาร จะต้องส่งผ่านระบบ ThaiJO เท่านั้น#</strong></em></p> th-TH tnanthiya@gmail.com (Nanthiya Tanthachun) wirotss@gmail.com (Wirot Srisuk) Fri, 23 May 2025 15:36:29 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บรรณาธิการแถลง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/279780 นันทิยา ตัณฑชุณห์ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/279780 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัวในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276034 <p><span class="fontstyle0">คลินิกหมอครอบครัวเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพ ปฐมภูมิ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานการณ์ และพัฒนาแนวทางการจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัวในเครือข่ายหน่วย บริการปฐมภูมิ จังหวัดเลยโดยผู้ร่วมวิจัย 79 คนซึ่งเป็นคณะกรรมการ และอนุกรรมการตรวจประเมินคุณภาพและมาตรฐานในการบริการ สุขภาพปฐมภูมิ 73 คนและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 6 คน ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566-เดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ผลการ ศึกษาพบว่าหน่วยบริการไม่ผ่านเกณฑ์ 7 ด้าน ได้แก่ การจัดสรรบุคลากรและศักยภาพการบริการ สถานที่ตั้งหน่วยบริการ ระบบสารสนเทศ ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ระบบห้องปฏิบัติการ การบริการเภสัชกรรม และงานคุ้มครองผู้บริโภค การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ แนวทางการจัด ตั้งคลินิกหมอครอบครัวระดับจังหวัด ควรมี 6 ด้าน "IMPACC" ได้แก่ การบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้อง การกำหนดโครงสร้างและผู้รับผิดชอบ งานที่ชัดเจน การจัดสรรและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร การสนับสนุนด้านวิชาการ การปรับปรุงสถานที่และโครงสร้างอาคาร และ การนิเทศติดตามให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง ผลการพัฒนาพบว่าคลินิกหมอ ครอบครัวผ่านเกณฑ์ประเมินเพิ่มขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติจากร้อย ละ 6.25 เป็นร้อยละ 100 (p &lt; 0.001) ค่ามัธยฐานของคะแนนการ ประเมินเพิ่มขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติจาก 235.5 คะแนนเป็น 272.0 คะแนน (p &lt; 0.001) ดังนั้นควรนำแนวทางดังกล่าวไปปรับใช้ในการ จัด ตั้งคลินิกหมอครอบครัวในระดับจังหวัดต่อไป </span></p> กฤษณี วงศ์เจริญวนกิจ, สุณิสา คำประสิทธิ์, พิชัย บุญมาศรี, ระพีพรรณ นันทะนา, กรณิการ์ หิริศักดิ์สกุล Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276034 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 ระบาดวิทยาและลักษณะทางพยาธิวิทยาคลินิก ในผู้ป่วยเด็กโรคโกลเมอรูลัสที่ได้รับการตรวจชิ้นเนื้อไต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276687 <p><span class="fontstyle0">การตรวจชิ้นเนื้อไตช่วยให้ได้ทราบการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน บอก แนวทางในการรักษา การดำเนินโรค และ การพยากรณ์โรค การศึกษา แบบพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบาดวิทยาในผู้ป่วยเด็ก โรคโกลเมอรูลัสที่ ได้รับการตรวจชิ้นเนื้อไต รวมถึงข้อบ่งชี้ในการตรวจ ชิ้นเนื้อ ผลการตรวจทางพยาธิวิทยา และภาวะแทรกซ้อนที่มีข้อมูล ใน เวชระเบียนครบถ้วน โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนระหว่าง เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2553 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2567 พบว่ามีผู้ป่วย เด็ก 165 คน ได้รับการตรวจชิ้นเนื้อไต 169 ครั้ง ค่ามัธยฐานของอายุ 11 ปี 7 เดือน (อายุ 6 เดือนถึง 17 ปี) เป็นเพศหญิงร้อยละ 53.3 ข้อบ่งชี้ใน การตรวจชิ้นเนื้อไตที่พบมากที่สุดคือ rapid progressive glomerulonephritis (ร้อยละ 33.7) การวินิจฉัยโรคทางพยาธิวิทยาที่ พบมากที่สุดคือไตอักเสบจากการติดเชื้อและ ไตอักเสบลูปัส (ร้อยละ 29.6) ไม่พบภาวะแทรกซ้อนร้อยละ 83.4 ภาวะแทรกซ้อนที่พบมากที่สุด คือปัสสาวะเป็นเลือดสด (ร้อยละ 13) การศึกษานี้สรุปว่า rapid progressive glomerulonephritis คือข้อบ่งชี้ในการตรวจชิ้นเนื้อไต ที่พบ มากที่สุดและไตอักเสบจากการติดเชื้อเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมี ความสำคัญในประเทศไทย</span> </p> ณัฐิดา พงศ์วิไลรัตน์ Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276687 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคต้อหินรายใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/275646 <p>โรคต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยรายใหม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลตามมาตรฐานตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อลดความรุนแรงของโรค การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยต้อหินรายใหม่และประเมินผลการนำไปใช้ระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 ระยะ ได้แก่ (1) การวิเคราะห์ปัญหา (2) การพัฒนาแนวปฏิบัติฯ (3) การนำแนวปฏิบัติฯ ไปใช้ และ (4) การประเมินผล ศึกษาในพยาบาลวิชาชีพ 4 คนและผู้ป่วยต้อหินรายใหม่ 30 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่ามัธยฐาน (Q1, Q3) เปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ paired t-test และสถิติ Wilcoxon signed-rank test แนวปฏิบัติฯ ที่พัฒนาขึ้นครอบคลุม 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนตรวจ ขณะตรวจ และหลังตรวจ โดยนำกระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอนมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ ผลการวิจัยพบว่าหลังการใช้แนวปฏิบัติฯ ผู้ป่วยมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรค การหยอดตา และการมาตรวจตามนัดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่พยาบาลวิชาชีพมีคะแนนความรู้ก่อนและหลังใช้แนวปฏิบัติฯ ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งพยาบาลและผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อแนวปฏิบัติฯ ในระดับมากที่สุด จึงควรนำแนวปฏิบัติฯ นี้ไปใช้ต่อเนื่องและขยายผลสู่ทีมสหวิชาชีพเพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุมในระยะยาว</p> นพวรรณ เงินแย้ม, นิภัสสรณ์ บุญญาสันติ Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/275646 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 สถานการณ์การดื้อยาต้านจุลชีพในโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ปี 2564-2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/275690 <p>การดื้อยาต้านจุลชีพจัดเป็น 1 ใน 10 ภัยคุกคามต่อสุขภาพโลก การศึกษาแบบพรรณนาครั้งนี้ศึกษาข้อมูลย้อนหลังเพื่อประเมินสถานการณ์การดื้อยาต้านจุลชีพของเชื้อกลุ่มเฝ้าระวัง 9 ชนิดในผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลกระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 ซึ่งพบเชื้อ<em> E. coli </em>มากที่สุด (ร้อยละ 32) รองลงมา ได้แก่ <em>K. pneumoniae,</em> <em>Ac. baumannii</em> และ<em> S. aureus</em> โดยการติดเชื้อเกิดจากชุมชน (ร้อยละ 51.1) มากกว่าจากโรงพยาบาล (ร้อยละ 41.7) เชื้อที่พบมากที่สุดในชุมชน คือ <em>E. coli</em> (ร้อยละ 47.1) และในโรงพยาบาลคือ <em>A. baumannii</em> (ร้อยละ 35.3) เชื้อที่มีอัตราการตายสูงสุดคือ <em>Ac. baumannii</em> เชื้อที่มีแนวโน้มดื้อยาลดลง ได้แก่ <em>CRAB</em> (ลดลงจากร้อยละ 88 เป็นร้อยละ 83), <em>3GC-KP</em> (ลดลงจากร้อยละ 53 เป็นร้อยละ 51), <em>VRE</em> (ลดลงจากร้อยละ 34 เป็นร้อยละ 12) และ <em>MRSA</em> (ลดลงจากร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 20); เชื้อที่มีแนวโน้มดื้อยาเพิ่มขึ้น ได้แก่ CRKP (เพิ่มจากร้อยละ 38 เป็นร้อยละ 39), <em>3GC-EC</em> (เพิ่มจากร้อยละ 33 เป็นร้อยละ 38) และ <em> </em>CRPA (เพิ่มจากร้อยละ 22 เป็นร้อยละ 34); อุบัติการณ์การติดเชื้อดื้อยาต่อแสนรายที่เพาะเชื้อจากเลือดในโรงพยาบาลลดลงในเชื้อ CRAB, CRKP, VRE แต่เพิ่มขึ้นในเชื้อ CREC, CRPA และ MRSA อัตราการตายในโรงพยาบาลสูงขึ้นในเชื้อ <em>CRKP</em>, <em>CRPA</em> และ <em>VRE</em> โดยเชื้อ <em>VRE</em> มีอัตราตายสูงสุด ซึ่งสะท้อนปัญหาการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลและชุมชนที่เพิ่มขึ้น การควบคุมการติดเชื้อที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญในการลดการเสียชีวิตและการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา</p> ปาริชาติ ธัญญธาดา Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/275690 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยต่อพฤติกรรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย สมรรถภาพร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมวลกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/274390 <p>ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะเปราะบางและการหกล้มในผู้สูงอายุ การศึกษาแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของการใช้โปรแกรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยต่อพฤติกรรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย สมรรถภาพทางกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมวลกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุ คือ ผู้อายุ 60 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองพิษณุโลกและมีความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับการให้สุขศึกษาปกติ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย แบบประเมินสมรรถภาพทางร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมวลกล้ามเนื้อ เปรียบเทียบความแตกต่างด้วย paired sample t-test และ independent sample t-test ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤติกรรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย สมรรถภาพร่างกาย ค่าเฉลี่ยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และค่าเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อภายหลังได้รับโปรแกรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) หลังการทดลองค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย สมรรถภาพร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมวลกล้ามเนื้อของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001)</p> ยุคลธร หวังเรืองสถิตย์, รุ่งทิวา หวังเรืองสถิตย์, บุญญรัตน์ มณี Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/274390 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดครั้งแรกในผู้ป่วย ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติที่รักษาด้วย Simvastatin ที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277057 <p>ยากลุ่ม statin ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดในผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ แต่ยังมีผู้ป่วยที่เกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดแม้ได้รับยา การศึกษาย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดครั้งแรกในผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติที่ได้รับยา simvastatin ที่ศูนย์สุขภาพเมืองพิษณุโลกและเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดครั้งแรกระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562–วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 67 รายและกลุ่มที่ไม่เกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด 134 ราย เลือกกลุ่มควบคุมที่มาตรวจรับยา simvastatin ในวันเดียวกันกับที่กลุ่มศึกษารับยาครั้งสุดท้ายก่อนเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด สัดส่วนกลุ่มศึกษาต่อกลุ่มควบคุมเท่ากับ 1: 2 วิเคราะห์ปัจจัยด้วย multivariable logistic regression พบว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดครั้งแรกของผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติที่รักษาด้วยยา simvastatin ได้แก่ มีโรคร่วมเป็นความดันโลหิตสูง (aOR 4.97; 95% CI: 1.44-17.15), สูบบุหรี่ (aOR 3.60; 95% CI: 1.08-11.93), ติดตามนัดไม่ต่อเนื่อง (aOR 2.13; 95% CI: 0.90-5.04), ระดับคอเลสเตอรอล 200 มก./ดล. ขึ้นไป (aOR 2.31; 95% CI: 1.03-5.18), ค่าอัตรากรองไต 15-29 มล./นาที/17.3 ตร.ม. (aOR 24.67; 95% CI: 2.28-267.08) ดังนั้นควรพัฒนาแนวทางเฝ้าระวังและป้องกันโรคในผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้ครอบคลุมมากขึ้น</p> พุวัสสา พงษ์พานิช Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277057 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพของปัญญาประดิษฐ์ในการทำนายโอกาสนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยอุบัติเหตุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268106 <p>ปัญหาความแออัดในแผนกฉุกเฉินเป็นความท้าทายสำคัญที่โรงพยาบาลน่าน การศึกษาเชิงสังเกตย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของปัญญาประดิษฐ์ในการทำนายโอกาสการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยอุบัติเหตุ โดยใช้ข้อมูลผู้ป่วยอุบัติเหตุที่บันทึกในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลในปี พ.ศ. 2565 ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ด้วยการเรียนรู้ของเครื่องประเภทต้นไม้ตัดสินใจและนำข้อมูลผู้ป่วยอุบัติเหตุระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566 มาทดสอบประสิทธิภาพของโมเดลที่พัฒนา ประเมินผลการทำนายด้วยวิธีวิเคราะห์ความสับสน โมเดลสามารถทำนายผลได้ในผู้ป่วยอุบัติเหตุ 3,185 ราย โดยมีความถูกต้องโดยรวมร้อยละ 92.3 ความไวร้อยละ 89.8 และความจำเพาะร้อยละ 93.4 สำหรับผู้ป่วยบาดเจ็บวิกฤติ ผู้ป่วยบาดเจ็บรุนแรง ผู้ป่วยบาดเจ็บเล็กน้อยโมเดลสามารถทำนายได้ถูกต้องร้อยละ 100 ขณะที่ผู้ป่วยบาดเจ็บปานกลางมีความถูกต้องร้อยละ 91 สรุปได้ว่าปัญญาประดิษฐ์มีศักยภาพในการทำนายโอกาสการนอนโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยเพื่อลดปัญหาความแออัดในแผนกฉุกเฉินได้</p> รณชัย แก้วผดุง Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/268106 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 การทดสอบความคืบหน้าเพื่อการประเมินผลความก้าวหน้าเพื่อเสริมสร้าง กระบวนการเรียนรู้และผลลัพธ์การเรียนรู้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/274439 <p>ตามเกณฑ์มาตรฐานสากลด้านแพทยศาสตรศึกษา ข้อ ม 3.2.4 แนะนำให้จัดการประเมินผลให้สมดุลระหว่างการประเมินความก้าวหน้าและการ ประเมินรวม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการใช้การ ทดสอบความคืบหน้าแทนการประเมินความก้าวหน้าในนักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิสัญญีวิทยาศูนย์แพทยศาสตร์ชั้นคลินิกโรงพยาบาล พระนั่งเกล้า จำนวน 22 คนจาก 49 คน ดำเนินการทดสอบ 3 ครั้ง ในวัน ที่ 1, 5 และ 9 ของการเรียน แบบทดสอบเป็นคำถามแบบถูก-ผิด วัดความจำ ความเข้าใจ และการแก้ปัญหา ผลการวิจัยพบว่าคะแนนด้าน การแก้ปัญหาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างการทดสอบครั้งที่ 1 และ 2 (-3.73 ± 2.98, p &lt; 0.001), ครั้งที่ 2 และ 3 (-2.82 ± 3.11, p &lt; 0.001) และครั้งที่ 1 และ 3(-6.55 ± 2.62, p &lt; 0.001) ด้านความ เข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างครั้งที่ 1 และ 2 (-2.27 ± 2.33, p &lt; 0.001) และครั้งที่ 1 และ 3 (-2.23 ± 3.19, p &lt; 0.004) ส่วน ด้านความจำเพิ่มขึ้นอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างครั้งที่ 1 และ 2 (-1.05 ± 0.95, p &lt; 0.001) และครั้งที่ 1 และ 3 (-0.73 ± 1.24, p &lt; 0.012) ความพึงพอใจต่อการทดสอบความคืบหน้าและการนำทักษะที่ ได้จากการสอบความคืบหน้าไปประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาอื่นมากกว่า 4 จาก 5 คะแนน สรุปว่าการทดสอบความคืบหน้าสามารถส่งเสริม กระบวนการและผลลัพธ์การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> สิริรัตน์ ลิมกุล, อุบลวรรณ เธียรโพธิ์ภิรักษ์, นิภาพร ตีระมาตย์, เฉลิม วราวิทย์ Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/274439 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของ Modified Coronary Risk Chart (mCRC) และ Thai CV Risk Score ในการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276352 <p><span class="fontstyle0">ประเทศไทยได้พัฒนาเครื่องมือประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสองชนิด คือ Modified Coronary Risk Chart (mCRC) และ Thai CV Risk Score แม้ทั้งสองเครื่องมือนั้นพัฒนามาจากกลุ่มประชากรไทยโดยเฉพาะ แต่การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลยังมีข้อมูลขัดแย้ง การศึกษาภาคตัดขวางย้อนหลังครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของทั้งสองเครื่องมือ โดยศึกษาในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลันระหว่างปี พ.ศ. 2563-2567 อายุระหว่าง 35-65 ปี จำนวน 240 คนเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม 240 คนที่ โรงพยาบาลพิจิตร ผลการศึกษาพบว่า mCRC มีความไวร้อยละ 95.8 ความจำเพาะร้อยละ 12.9 โดยมีค่าทำนาย ผลบวกร้อยละ 52.4 ค่าทำนายผลลบร้อยละ 75.6 และความแม่นยำโดยรวมร้อยละ 54.4 ขณะที่ Thai CV Risk Score มีความไวร้อยละ 54.2 ความจำเพาะร้อยละ 64.2 โดยมีค่าทำนายผลบวกร้อยละ 60.2 ค่าทำนายผลลบ ร้อยละ 58.3 และความแม่นยำโดยรวมร้อยละ 59.2 ทั้งสองเครื่องมือมีความสอดคล้องกันต่ำ (Kappa = 0.088, 95% CI: 0.044-0.132) โดย mCRC มีแนวโน้มประเมินความเสี่ยงสูงกว่า Thai CV risk score สรุปได้ว่า mCRC เหมาะสำหรับ การคัดกรองเบื้องต้น ส่วน Thai CVRisk Score เหมาะสำหรับยืนยันความเสี่ยง การใช้ทั้งสองเครื่องมือร่วมกัน อาจเพิ่มประสิทธิผลในการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรไทย</span> </p> อาภา ศรีนุติโสภาคย์ Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276352 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 หนังตาตก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276136 <p>หนังตาตกสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง มีสาเหตุได้ตั้งแต่ปัญหาของหนังตาเองจนถึงเส้นประสาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง บางครั้งอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ซึ่งถูกค้นพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ภาวะหนังตาตกสามารถจำแนกตามสาเหตุได้เป็นหนังตาตกจากสาเหตุทาง mechanical, หนังตาตกจากพังผืดกล้ามเนื้อหนังตาเลื่อน, หนังตาตกจากโรคของกล้ามเนื้อ, หนังตาตกจากโรคกลุ่ม neuromuscular junction disorders และหนังตาตกจากโรคของเส้นประสาท นอกจากนี้อาจจำแนกได้เป็น หนังตาตกข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจำแนกตามอายุที่เป็นโรค ได้แก่ เป็นแต่กำเนิดหรือเป็นภายหลัง การรักษาหนังตาตกขึ้นกับสาเหตุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการการรักษาเฉพาะที่บริเวณหนังตา ซึ่งมีทั้งวิธีรักษาโดยการผ่าตัดและการรักษาโดยไม่ผ่าตัด หนังตาตกอาจทำให้เกิดปัญหาเฉพาะเรื่องความสวยงาม มีปัญหาต่อการมองเห็น หรือบางครั้งอาจเป็นอาการหนึ่งของโรคร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นการมีความรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่เป็นไปได้ทั้งหมดของอาการนี้จึงจำเป็นเมื่อดูแลผู้ป่วยหนังตาตก รวมถึงการส่งต่ออย่างถูกต้องเหมาะสม</p> ณัฐพงศ์ เมฆาสิงหรักษ์ Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276136 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700