พุทธชินราชเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ
<p><strong>พุทธชินราชเวชสาร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแพทย์ แพทยศาสตรศึกษาและสาธารณสุข ได้แก่ รายงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความปริทัศน์ นวัตกรรมทางการแพทย์ ย่อวารสาร บทความจากการประชุมจดหมายถึงบรรณาธิการ ถามตอบปัญหาและบทความประเภทอื่นที่เหมาะสม</p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8074 (Print)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8953 (Online)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>#การส่งบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ลงพุทธชินราขเวชสาร จะต้องส่งผ่านระบบ ThaiJO เท่านั้น#</strong></em></p>
Buddhachinaraj Medical Journal
th-TH
พุทธชินราชเวชสาร
3027-8074
-
การทำรีเจเนอเรทีฟ เอ็นโดดอนติกส์ในฟันที่ไม่มีชีวิตที่ปลายรากยังเติบโตไม่สมบูรณ์ : รายงานผู้ป่วย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277086
<p>การรักษาคลองรากฟันในฟันแท้ที่มีเนื้อเยื่อในตายและปลายรากฟันยังเติบโตไม่สมบูรณ์เป็นความท้าทายสำหรับทันตแพทย์ ฟันที่ปลายรากเปิด ปลายรากฟันจะกว้างและผนังคลองรากฟันบาง รูเปิดปลายรากใหญ่ ทำให้มีโอกาสเกิดฟันแตกหักได้ บทความนี้ได้รายงานผู้ป่วยชายอายุ 9 ปีที่ได้รับการรักษาคลองรากฟันด้วยวิธีรีเจเนอทีฟ เอ็นโดดอนติกส์ในฟันที่มีเนื่อเยื่อในโพรงประสาทฟันตายและมีเงาโปร่งรังสีรอบปลายรากฟันที่ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ การรักษาเริ่มจากทำให้คลองรากฟันปราศจากเชื้อด้วยส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ 3 ชนิด เมื่อฟันไม่มีอาการจึงสร้างสภาพแวดล้อมให้เกิดลิ่มเลือดและส่งเสริมการเจริญของเซลล์ จากนั้นอุดด้วยมิเนอรัลไตรออกไซด์แอกกริเกต (เอ็มทีเอ) ที่บริเวณรอยต่อเคลือบรากฟันกับเคลือบฟัน บูรณะฟันด้วยกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ และอุดฟันด้วยเรชินคอมโพสิต จากการติดตามผลการรักษาที่ 24 และ 36 เดือนพบว่าประสบความสำเร็จดี ไม่มีอาการทางคลินิก ฟันไม่โยก ใช้งานได้ตามปกติ จากภาพถ่ายรังสีพบรากฟันยาวขึ้น ผนังคลองรากฟันหนาขึ้น และปลายรากฟันเติบโตได้สมบูรณ์จนปลายรากปิด สรุปได้ว่าการรักษาคลองรากฟันในฟันแท้ไม่มีชีวิตที่ปลายรากฟันยังเจริญไม่สมบูรณ์สามารถทำได้สำเร็จด้วยวิธีรีเจเนอเรทีฟ เอ็นโดดอนติกส์และมีผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว</p>
คนึงนิตย์ ตั้งเสงี่ยมวิสัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
217
128
-
การผ่าตัดฟันคุดภายใต้การใช้ยาชาเฉพาะที่ในผู้ป่ วยออทิสติก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277674
<p>ผู้ป่วยชายไทยอายุ 21 ปีซึ่งมีภาวะออทิสติกระดับ 1 มาพบทันตแพทย์เนื่องจากมีฟันคุดขึ้นบางส่วนและได้รับการวินิจฉัยว่าฟันกรามล่างซี่ที่สามด้านซ้ายเป็นฟันคุดในแนวนอน คลาสทู ตำแหน่งบี ครอบครัวของผู้ป่วยไม่สะดวกในการรับการรักษาภายใต้การดมยาสลบและการรอคิวนาน ผลการรักษาพบว่าผู้ป่วยออทิสติกระดับ 1 สามารถให้ความร่วมมือในการผ่าฟันคุดภายใต้การใช้ยาชาเฉพาะที่ได้ อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาระดับความร่วมมือและตำแหน่งของฟันคุดเพื่อควบคุมระยะเวลาที่ใช้ในการทำหัตถการ รายงานผู้ป่วยรายนี้อาจใช้เป็นทางเลือกสำหรับการรักษาทางทันตกรรมในผู้ป่วยออทิสติกรายอื่น ๆ เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาและช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น</p>
สุพิชฌาย์ ตั้งพิบูลธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
229
236
-
การถ่ายโอนการเรียนรู้หลังการอบรมวางแผนสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277422
<p>การอบรมวางแผนสืบทอดตำแหน่งใช้เวลาและงบประมาณมากจึงคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติได้ การวิจัยแบบพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการถ่ายโอนการเรียนรู้ในการอบรมการวางแผนสืบทอดตำแหน่งและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษาในหัวหน้าหอผู้ป่วย 37 คนที่ผ่านการอบรมการวางแผนสืบทอดตำแหน่งและเป็นหัวหน้าหอผู้ป่วย 6 เดือนถึง 5 ปี เครื่องมือวิจัย คือแบบสอบถามการถ่ายโอนการเรียนรู้ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.80 และแนวคำถามปัจจัยที่ส่งเสริมให้ถ่ายโอนการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าความถี่และค่าร้อยละ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการจัดกลุ่มเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 45.9 ของหัวหน้าหอผู้ป่วยสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ได้ในระดับมาก ที่เหลืออยู่ในระดับค่อนข้างน้อย โดยปัจจัยที่ส่งเสริมให้พยาบาลวิชาชีพสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ได้ คือ รูปแบบการฝึกอบรม คุณลักษณะของผู้สืบทอดตำแหน่ง และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งผู้บริหารทางการพยาบาลสามารถนำผลการศึกษาไปออกแบบกิจกรรมที่สนับสนุนให้หัวหน้าหอผู้ป่วยสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติได้</p>
กิตติยากร สร้อยนาค
เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล
อภิรดี นันท์ศุภวัฒน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
131
142
-
ผลกระทบต่อเด็กจากการตั้งครรภ์ในวัยที่ยังไม่พร้อมของมารดาวัยรุ่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/278543
<p>ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นปัญหาที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ สำหรับประเทศไทยถือเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญ การวิจัยแบบมีกลุ่มควบคุมครั้งนี้ประเมินผลกระทบที่เกิดในบุตรที่เกิดจากมารดาวัยรุ่นเปรียบเทียบกับมารดาที่อายุมากกว่า 20 ปี โดยศึกษาข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการแพทย์จากเวชระเบียนและแบบคัดกรองจากคลินิกวัยรุ่นของโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ได้แก่ อายุมารดา, อายุครรภ์เมื่อคลอด, โรคประจำตัว, วิธีคลอด, น้ำหนักของบุตร, ความเข้มข้นโลหิตของบุตร, น้ำหนักและส่วนสูงของบุตร และระดับพัฒนาการของบุตร วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเพื่อประเมินอุบัติการณ์และผลที่ตามมาในบุตรจากการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งพบว่าระหว่างวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 (18 เดือน) มีบุตรที่เกิดทั้งหมด 4,387 คน เป็นกลุ่มมารดาวัยรุ่น 1,132 คน (ร้อยละ 25.8) ทารกที่เกิดจากมารดาวัยรุ่นและมารดาที่อายุมากกว่า 20 ปีคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 17.2 และร้อยละ 13.6 ตามลำดับ มารดาวัยรุ่นและมารดาที่อายุมากกว่า 20 ปีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวร้อยละ 56.9 และร้อยละ 63.7 ตามลำดับ ทารกที่เกิดจากมารดาวัยรุ่นและมารดาที่อายุมากกว่า 20 ปีพบพัฒนาการด้านการใช้ภาษาล่าช้าร้อยละ 3.7 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ (p = 0.035) สรุปได้ว่าบุตรที่เกิดจากมารดาวัยรุ่นพบปัญหาทางสุขภาพมากกว่าบุตรที่เกิดจากมารดาที่อายุมากกว่า 20 ปี</p>
ณัฐธีร์ ธนะไชยพันธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
143
152
-
ประสิทธิภาพของการบดเคี้ยวหลังการฉีดโบทูลินัมท็อกซินในกล้ามเนื้อแมสซีเตอร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/278393
<p>การฉีดโบทูลินัมท็อกซินเข้าสู่กล้ามเนื้อแมสซีเตอร์เป็นวิธีการรักษาเพื่อปรับลดขนาดใบหน้าส่วนล่างที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยมีรายงานผลข้างเคียงที่สามารถพบได้ คือ กล้ามเนื้อบดเคี้ยวอ่อนแรงทำให้เคี้ยวอาหารยากลำบาก การศึกษาแบบการทดลองทางคลินิกครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพการบดเคี้ยวภายหลังการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเข้าสู่กล้ามเนื้อแมสซีเตอร์ โดยศึกษาที่โรงพยาบาลทันตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล มีผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวน 24 คนซึ่งได้รับการฉีดโบทูลินัมท็อกซินขนาด 50 หน่วยเข้าสู่กล้ามเนื้อแมสซีเตอร์ทั้งสองข้างและประเมินประสิทธิภาพการบดเคี้ยวผ่านแบบสอบถามการบดเคี้ยวอาหารประเภทต่างๆ ผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ก่อนการฉีดและที่ 4, 8 และ 12 สัปดาห์หลังการฉีด พบว่าประสิทธิภาพการบดเคี้ยวของอาสาสมัครทั้งหมดจากแบบสอบถามประเมินการเคี้ยวอาหารของตนเองมีค่าลดลงเล็กน้อย โดยมีค่ามัธยฐานของคะแนนรวมการประเมินการบดเคี้ยวก่อนการฉีดและที่ 4, 8, และ 12 สัปดาห์หลังการฉีดเท่ากับ 27.5, 30.0, 27.0 และ 24.0 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 30) ตามลำดับ ซึ่งไม่แตกต่างกัน สรุปได้ว่าการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเข้ากล้ามเนื้อแมสเซเตอร์ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของการบดเคี้ยวโดยผ่านการประเมินเชิงอัตวิสัยจากแบบสอบถามประเมินการเคี้ยวอาหารของตนเอง</p>
นภสร สวัสดิ์โสภานนท์
คณิน อรุณากูร
ชนิตา ตันติพจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
-
รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง : กรณีศึกษาอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/282097
<p><span class="fontstyle0">รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาวะสุขภาพ ผู้สูงอายุดีขึ้น การวิจัยกึ่งทดลองนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ที่มี ภาวะพึ่งพิง กรณีศึกษาอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยใช้ รูปแบบการวิจัยอนุกรมเวลาแบบกลุ่มเดียว ศึกษาในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่ง พิงในอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลกจำนวน 258 คน ผลการใช้รูป แบบการ สร้างเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงพบว่าความ สามารถในการทำกิจวัตรประจำวันหลังใช้รูปแบบ การสร้างเสริมสุขภาพ สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในเดือนที่ 1, 2 และ3 แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ทุกด้าน ยกเว้นด้านที่ 5 ซึ่ง p = 0.001 และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่าผู้มีส่วน ได้ส่วนเสีย 471 คนมีความพึงพอใจในระดับดี (คะแนนเฉลี่ย = 4.14) ซึ่งแสดงว่ารูปแบบการสร้างเสริม สุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</span> </p>
มนัสศักต์ มากบุญ
พงศ์พิษณุ บุญดา
ปิยวรรณ จันทร์สุข
เสกสิทธิ์ รอดเมือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
167
174
-
สัดส่วนและความแตกต่างของลักษณะทางคลินิกระหว่างผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับแอนติบอดีต่อไซโตพลาสมิกแอนตินิวโทรฟิล (ANCA) จากการใช้ยาไฮดราลาซีนกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับ ANCA ปฐมภูมิ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/279143
<p>ยาไฮดราลาซีนนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเหนี่ยวนําให้เกิดนิวโทรฟิลิกไซโตพลาสซึมแอนติบอดี (ANCA) ที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดอักเสบ (AAV) ได้ เป็นยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงปานกลางถึงรุนแรงและภาวะหัวใจล้มเหลวที่หัวใจบีบตัวลดลง โรค AAV เป็นโรคที่หายากซึ่งทำให้เกิดกลุ่มอาการปอดและไตอักเสบอย่างรุนแรง การศึกษาแบบย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับ ANCA ที่เกิดจากยาไฮดราลาซีนกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับ ANCA ปฐมภูมิ โดยพบ AAV 75 คนซึ่ง 38 คนเกี่ยวข้องกับยาไฮดราลาซีน (ร้อยละ 50.7 ของ AAV ทั้งหมด) การพบเซลล์เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ เลือดออกถุงลมแบบกระจาย การอักเสบของปอด และระบบทางเดินหายใจล้มเหลวไม่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองกลุ่ม การรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา การฉีด methylprednisolone และ cyclophosphamide ทางหลอดเลือดดำ การฟอกไตตั้งแต่เริ่มต้นและความจําเป็นในการฟอกไตในระยะยาวมากกว่าร้อยละ 30 ในทั้งสองกลุ่ม ทั้งสองกลุ่มมีอัตราตายสูงมาก สรุปได้ว่ายาไฮดราลาซีนทำให้เกิดโรคหลอดเลือดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับ ANCA ถึงกว่าครึ่งของโรคหลอดเลือดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับ ANCA ทั้งหมด ลักษณะทางคลินิก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษา การล้างไตระยะยาว และอัตราการเสียชีวิตในทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน</p>
มาโนช อู่วุฒิพงษ์
อังคณา นรเศรษฐ์ธาดา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
175
186
-
ระยะเวลาตั้งแต่ถอดท่อช่วยหายใจถึงเสียชีวิตในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เลือกการรักษาแบบประคับประคองที่บ้านกับผู้ที่อยู่โรงพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277378
<p>หลังจากผู้ป่วยระยะท้ายถอดท่อช่วยหายใจ ครอบครัวของผู้ป่วยส่วนใหญ่เลือกให้ผู้ป่วยเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เนื่องจากไม่มั่นใจพยากรณ์ของผู้ป่วยหากเลือกกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน การวิจัยแบบปัจจัยพยากรณ์ในรูปแบบสังเกตย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระยะเวลาหลังถอดท่อช่วยหายใจถึงเสียชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เลือกกลับไปรักษาแบบประคับประคองที่บ้านกับผู้ที่อยู่โรงพยาบาล โดยศึกษาข้อมูล 5 ปีของโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก เก็บข้อมูลระยะเวลาตั้งแต่ถอดท่อช่วยหายใจถึงเสียชีวิต พบว่าผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลังถอดท่อช่วยหายใจ 171 คน เป็นผู้ป่วยที่เลือกเสียชีวิตที่บ้าน 89 คนมีค่ามัธยฐานของระยะเวลาหลังถอดท่อช่วยหายใจถึงเสียชีวิต 4 ชั่วโมง (Q1, Q3 = 2, 19 ชั่วโมง) ส่วนผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เลือกเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 82 คนมีค่ามัธยฐานของระยะเวลาหลังถอดท่อช่วยหายใจจนถึงเสียชีวิต 3 ชั่วโมง (Q1, Q3 = 2, 20 ชั่วโมง) เมื่อปรับลักษณะที่แตกต่างกันในผู้ป่วยสองกลุ่มแล้ว ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เลือกเสียชีวิตที่บ้านมีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่า 0.3 ชั่วโมง (ประมาณ 18 นาที) (ความเชื่อมั่น 95%CI เร็วกว่า 10.8 ชั่วโมงถึงช้ากว่า 10.2 ชั่วโมง) ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.955) ข้อมูลนี้สามารถนำไปประกอบการให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวของผู้ป่วยระยะสุดท้ายในการเลือกสถานที่ดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ป่วยแต่ละราย</p>
วริศรา ตั้งตระกูล
พัชรณัฏฐ์ อินทรพิทักษ์
นิตยา มณีท่าโพธิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
187
196
-
อัตราการนอนโรงพยาบาลและสาเหตุของการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่ วยโรคไตเรื้อรัง ระยะสุดท้ายระหว่างกลุ่มที่ได้รับการรักษาโดยการฟอกเลือด, การล้างไตทางช่องท้องและแบบประคับประคอง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/277483
<p>โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและภาระทางระบบสาธารณสุข การศึกษาย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตราการนอนโรงพยาบาลและสาเหตุการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการรักษาด้วยการฟอกเลือด, การล้างไตทางช่องท้อง และการดูแลแบบประคับประคอง โดยศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย 227 รายที่โรงพยาบาลหล่มสักระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 แบ่งเป็นกลุ่มฟอกเลือด 68 ราย, ล้างไตทางช่องท้อง 84 ราย และดูแลแบบประคับประคอง 75 ราย พบว่ากลุ่มดูแลแบบประคับประคองมีอายุเฉลี่ยสูงที่สุด (65.97 ± 8.45 ปี, p < 0.001) อัตราการนอนโรงพยาบาลของทั้งสามกลุ่มไม่แตกต่างกัน (p = 0.5122) แต่กลุ่มล้างไตทางช่องท้องมีจำนวนวันนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยใน 1 ปีสูงที่สุด (18.74 ± 12.69 วัน/ปี) รองลงมาคือกลุ่มดูแลแบบประคับประคอง (18.33 ± 14.61 วัน/ปี) และกลุ่มฟอกเลือด (13.44 ± 12.77 วัน/ปี) ตามลำดับ (p = 0.0373) สาเหตุหลักของการเข้ารับการรักษา ได้แก่ ภาวะน้ำเกิน ภาวะซีด และความผิดปกติของเมแทบอลิซึม โดยกลุ่มล้างไตทางช่องท้องมีอัตราการติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้องสูงสุด (ร้อยละ 26.2) ขณะที่กลุ่มฟอกเลือดมีภาวะติดเชื้อจากการเข้าถึงหลอดเลือดสูงกว่า (ร้อยละ 16.8) การดูแลแบบประคับประคองไม่ช่วยลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบดูแลแบบประคับประคองในชุมชนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย</p>
สุพรรษา สีหนู
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
197
205
-
การพัฒนาระบบการตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/274514
<p>ภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็กในเด็กปฐมวัยเป็นปัญหาทาง สาธารณสุขที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ส่งผลต่อพัฒนาการด้าน ร่างกาย สติปัญญา และคุณภาพชีวิตในระยะยาว แม้จะมีแนวทางปฏิบัติ ในการคัดกรองและให้ธาตุเหล็กเสริมเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว แต่การดำเนินงานในระดับปฐมภูมิมักประสบอุปสรรค เช่น ขาดระบบที่เป็นรูปธรรม เครื่องมือขาดมาตรฐาน และบุคลากรขาดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษา ผลลัพธ์ของระบบการตรวจคัดกรองเพื่อการป้องกันภาวะโลหิตจางใน เด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี ดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 ศึกษาในบุคลากรที่รับผิดชอบงานอนามัย แม่และเด็ก 20 คนและผู้ปกครองเด็ก 300 คน ระบบที่พัฒนาขึ้นประกอบ ด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ด้านมาตรฐานของเครื่องมือ ด้านบุคลากร และด้านระบบบริการ ผลการวิจัยพบว่าเด็กได้รับการคัดกรอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.9 ได้รับยาเสริมธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 81เป็น ร้อยละ 92.9 และอัตราการเกิดภาวะโลหิตจางลดลงจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 25 ความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับมาก (mean = 4.49, SD = 0.45) และของผู้ปกครองในระดับมาก (mean = 4.60, SD = 0.44) สรุปได้ว่าระบบที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดภาวะโลหิตจางและสร้างความพึงพอใจแก่ผู้เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน</p>
อุบลรัตน์ จันทนะโพธิ
สิริพรรณ ธีระกาญจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
206
216
-
บรรณาธิการแถลง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/282523
<p>no abstract</p>
นันทิยา ตัณฑชุณห์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
129
129
-
จดหมายถึงบรรณาธิการ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/282524
<p>no abstract</p>
อาภา ศรีนุติโสภาคย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-16
2025-09-16
42 2
130
130