https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/issue/feed
พุทธชินราชเวชสาร
2025-01-24T16:27:39+07:00
Nanthiya Tanthachun
tnanthiya@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>พุทธชินราชเวชสาร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแพทย์ แพทยศาสตรศึกษาและสาธารณสุข ได้แก่ รายงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความปริทัศน์ นวัตกรรมทางการแพทย์ ย่อวารสาร บทความจากการประชุมจดหมายถึงบรรณาธิการ ถามตอบปัญหาและบทความประเภทอื่นที่เหมาะสม</p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8074 (Print)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>ISSN 3027-8953 (Online)</strong></em></p> <p style="text-align: justify;"><em><strong>#การส่งบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ลงพุทธชินราขเวชสาร จะต้องส่งผ่านระบบ ThaiJO เท่านั้น#</strong></em></p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/265301
การพัฒนาแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินในโรงพยาบาลชุมชน
2024-11-25T16:26:21+07:00
ชุมพล เมืองพรวน
jeepdangerous@gmail.com
ฐิติณัฏฐ์ อัคคะเดชอนันต์
nomail@helplis.org
สมใจ ศิระกมล
nomail@helplis.org
<p>การส่งต่อผู้ป่วยเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยฉุกเฉิน การวิจัยและพัฒนา ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร โดยใช้แนวคิดการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องโฟกัสพีดีซีเอ ศึกษาในพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร ประกอบด้วยทีมพัฒนา 2 คนและทีมผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติงานส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน 11 คน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 โดยทีมผู้ปฏิบัติได้ส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินตามแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน และทีมผู้พัฒนาสังเกตการปฏิบัติ 119 ครั้งตามแบบสังเกตการปฏิบัติตามแนวทางการส่งต่อพร้อมบันทึกอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น เครื่องมือผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาแนวคำถามประชุมกลุ่มเท่ากับ 1, ของแบบสังเกตการปฏิบัติตามแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินเท่ากับ 1, ของแบบบันทึกจำนวนอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์เท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสังเกตการปฏิบัติตามแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินเท่ากับ 1 นำเสนอข้อมูลเป็นค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่าคะแนนเฉลี่ยของการปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ภายหลังการพัฒนาเท่ากับร้อยละ 99.7 พบอุบัติการณ์ผู้ป่วยอาการทรุดลงขณะส่งต่อ 1 ครั้งและไม่พบอุบัติการณ์อื่น การศึกษานี้น่าจะสร้างความตระหนักให้แก่พยาบาลผู้ปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินและสามารถนำแนวทางไปปฏิบัติ อีกทั้งผู้บริหารทางการพยาบาลสามารถสังเกตการปฏิบัติและนำจำนวนอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ไปใช้ในการติดตามและประเมินผลลัพธ์การส่งต่อผู้ป่วย </p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/273647
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียการมองเห็นจากอุบัติเหตุบริเวณตา
2024-09-18T10:17:46+07:00
นวพร พูลสุวรรณ
annindyleonple@gmail.com
<p>Ocular trauma is a common cause of visual loss. The visual outcome after ocular trauma can range from visual loss to blindness. Having an accurate prognostic model is crucial for management. This retrospective study aimed to evaluate the risk factors associated with poor visual outcomes after ocular trauma. The study was conducted at Phetchabun Hospital between January 1, 2013 and December 31, 2023. A total of 981 patients, 319 were identified as blind. The mean age of blind patients was significantly older than unblind group, 49.7 vs 40.4 (p < 0.001). Regarding the zone of injury, intraocular globe injuries were more common in the blind group (58.9% vs 20.5%, p < 0.001). Blunt and penetrating injuries were also significantly more frequent in the blind group (p = 0.007 and 0.013 respectively). The mean Ocular Trauma Score (OTS) in the blind group was significantly lower (58.6 vs 86.3, p < 0.001). The age, penetrating injury and OTS was increasing significantly related risk for blindness group, RR 1.01, 1.39, 0.12 respectively. In conclusion: age, mechanism of injury, and OTS and length of stay were significantly associated with vision loss after ocular trauma</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/270977
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรังในชุมชน
2024-09-06T16:04:10+07:00
ภัสนันท์ กุลลา
airin2108@gmail.com
วิภาพร สิทธิสาตร์
ืnomail@helplis.org
สมศรี ปานพลอย
ploysangtong@gmail.com
<p>แผลเรื้อรังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรังในชุมชนระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565–เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนาเป็นรูปแบบการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรังในชุมชน 3) นำไปทดสอบและปรับปรุงและทดลองใช้ 4) นำไปใช้จริงและประเมินผล ศึกษาในผู้ดูแลและผู้ป่วยแผลเรื้อรังในชุมชนอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 62 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบบันทึกความก้าวหน้าของแผลด้วยเครื่องมือ PUSH Tool Version 3.0 และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ดูแล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิเคราะห์เนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความรู้และทักษะการดูแลแผลด้วยสถิติ paired t-test และ exact probability test ผลการวิจัยพบว่าความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรังในชุมชนของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลลัพธ์การหายของแผลของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการทดลองพบว่ากลุ่มทดลองมีผลลัพธ์การหายของแผลดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความพึงพอใจของผู้ดูแลอยู่ในระดับดีมาก งานการพยาบาลชุมชนควรนำรูปแบบการพัฒนานี้ไปประยุกต์ใช้สำหรับการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรังในชุมชนและการดูแลผู้ป่วยที่บ้านต่อไป</p> <p> </p>
2025-01-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/272043
ผลของการใช้โปรแกรมป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
2024-09-30T10:01:36+07:00
วัชราภรณ์ ไพโรจน์
watcharaporn.pairote@gmail.com
ธัญญลักษณ์ หวังเจริญเวทย์
nomail@helplis.org
มารศรี มีธูป
nomail@helplis.org
จิระเดช คชนิล
nomail@helplis.org
วราภรณ์ พรหมม
nomail@helplis.org
<p>ปอดอักเสบติดเชื้อในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มาก โดยสาเหตุหลักเกิดจากภาวะกลืนลำบากนำไปสู่การสำลักทำให้เกิดปอดอักเสบติดเชื้อได้ การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดหลังการทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระหว่างกลุ่มก่อนใช้โปรแกรมป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองซึ่งได้รับการดูแลแบบปกติ (100 ราย) และหลังใช้โปรแกรมฯ (100 ราย) เก็บข้อมูลในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง 2 และหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 1 โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลกระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 นำเสนอข้อมูลเป็นค่าความถี่และค่าร้อยละ เปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่มด้วยการทดสอบ<strong> </strong>exact probability test และวิเคราะห์ผลของโปรแกรมด้วย risk difference regression ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งสองกลุ่มเป็นเพศชายและอายุมากกว่า 60 ปีในสัดส่วนสูงกว่าไม่แตกต่างกัน, พบความรุนแรงระดับปานกลาง (9-12 คะแนน) ในกลุ่มที่ดูแลปกติมากกว่ากลุ่มที่ใช้โปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพบว่าการใช้โปรแกรมป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบที่จัดทำขึ้นลดอุบัติการณ์การติดเชื้อได้ร้อยละ 6.7, ลดการสำลักได้ร้อยละ 32 และเพิ่มสภาพช่องปากให้อยู่ระดับปกติได้ร้อยละ 35.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงควรใช้โปรแกรมนี้ในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในโรงพยาบาลอื่น ๆ ต่อไป</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/271123
สมรรถนะทางการวินิจฉัยโควิด-19 ระหว่างสมรรถนะทางคลินิก อัตราการละเลยลวง และขอบเขตความชุกของชุดตรวจวินิจฉัยโควิด-19 เเบบรวดเร็วโดยใช้ภาพโลจิสติกส์
2024-09-06T16:27:52+07:00
สุภาวดี ดีการกระทำ
n_nonglab@hotmail.com
วัชนันท์ วงศ์เสนา
nomail@helplis.org
นภาพร อภิรัฐเมธีกุล
nomail@helplis.org
วันวิสาข์ ตรีบุพชาติสกุล
wanvisab@nu.ac.th
<p>ชุดตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วที่มีประสิทธิภาพทางคลินิกที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมโรคติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ประเมินสมรรถนะทางการวินิจฉัยโควิด-19 ระหว่างสมรรถนะทางคลินิกของชุดตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบรวดเร็วโดยใช้ภาพโลจิสติกส์ รวมถึงค่าความไวและความจำเพาะของชุดตรวจทั้งทางแอนติเจน (RAgTs) และทางโมเลกุล (RMoTs) จากข้อมูลเว็บไซต์ FIND และองค์การอาหารและยา ที่แจ้งโดยผู้ผลิตระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ถึง 30 มิถุนายน 2565 ซึ่งพบว่าชุดตรวจโควิด-19 มีสมรรถนะทางคลินิกแบ่งได้เป็น 6 กลุ่ม: เกณฑ์ WHO (9.0%) ระดับย่อย (7.0%) ระดับต่ำที่ Tier 1 (30.0%) เกณฑ์ อย. (26.3%) ระดับปานกลางที่ Tier 2 (24.4%) และระดับสูงที่ Tier 3 (3.3%) โดย RAgTs มีประสิทธิภาพทางคลินิกในระดับต่ำถึงกลาง (ความไว ≥ 94.2%, ความจำเพาะ ≥ 99.2%) ขณะที่ RMoTs ประสิทธิภาพในระดับปานกลางถึงสูง (ความไว ≥ 98.4%, ความจำเพาะ ≥ 99.1%) การวิเคราะห์โดยใช้ภาพโลจิสติกส์พบว่าขอบเขตความชุก (PB) อยู่ที่ 58.4%, 48.6%, 33.3%, 70.3%, 50.6% และไม่มีขอบเขตที่อัตราการละเลยลวง (R<sub>FO</sub>) 5% นอกจากนี้ RAgTs ที่มีประสิทธิภาพระดับกลางและสูงยังมีค่า PPV และ NPV ที่ยอมรับได้ในหลายระดับขอบเขตความชุก สรุปได้ว่าภาพโลจิสติกส์ช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ของประสิทธิภาพทางคลินิกของชุดตรวจได้ง่ายขึ้น และสามารถประยุกต์ใช้กับโรคติดเชื้ออื่น ๆ ในอนาคตได้</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/273829
ผลของการสอนงานด้วยรูปแบบการนิเทศทางคลินิก ต่อคุณภาพของบันทึกทางการพยาบาล
2024-09-13T19:22:38+07:00
อ้อมใจ พูลสวัสดิ์
aomjai.pul@gmail.com
ภัทรมนัส พงศ์รังสรรค์
nomail@helplis.org
<p>การบันทึกทางการพยาบาลเป็นอิสระแห่งวิชาชีพพยาบาลในการบันทึกกิจกรรมการพยาบาล การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อน-หลังทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของการสอนงานด้วยรูปแบบการนิเทศทางคลินิกต่อคุณภาพของบันทึกทางการพยาบาล ศึกษาในพยาบาลวิชาชีพ 32 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดย<em>กลุ่มทดลอง</em>ได้รับการนิเทศแบบสอนงาน และ<em>กลุ่มควบคุม</em>บันทึกทางการพยาบาลตามปกติ สุ่มแบบบันทึกทางการพยาบาลของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างละ 32 แฟ้มโดยจับฉลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือวิจัย คือ รูปแบบการนิเทศแบบสอนงานและแบบตรวจประเมินคุณภาพการบันทึกเวชระเบียนผู้ป่วยใน เปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ Mann-Whitney U test, เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังทดลองด้วยสถิติ Wilcoxon signed rank test พบว่าค่ามัธยฐานของคะแนนคุณภาพบันทึกทางการพยาบาลหลังทดลองในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ, ค่ามัธยฐานของคะแนนคุณภาพบันทึกทางการพยาบาลหลังทดลองในกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ, ค่ามัธยฐานของคะแนนคุณภาพบันทึกทางการพยาบาลก่อนและหลังทดลองในกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน </p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/274056
ประสิทธิผลในการลดอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจด้วยการใช้ออกซิเจนอัตราการไหลสูง แก่ผู้ป่วยหอบเหนื่อยและระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำก่อนนำส่งโรงพยาบาล
2024-11-07T15:10:05+07:00
เอนก สุภาพ
anake.md@gmail.com
<p>การบำบัดด้วยออกซิเจนที่มีอัตราการไหลสูงเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาผู้ป่วยหอบเหนื่อยและระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของการใช้ออกซิเจนอัตราการไหลสูงเพื่อลดการใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยหอบเหนื่อยและระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำที่มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระยะก่อนนำส่งโรงพยาบาล โดยศึกษาข้อมูลไปข้างหน้าในผู้ป่วยหอบเหนื่อยและระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำ คำนวณกลุ่มตัวอย่างภายใต้สมมุติฐานที่ว่าการใส่ท่อช่วยหายใจในกลุ่มที่ได้รับออกซิเจนทางหน้ากากและมีถุงออกซิเจนเท่ากับร้อยละ 20<strong> </strong>และในกลุ่มที่ได้รับออกซิเจนที่มีอัตราการไหลสูงจะลดเหลือร้อยละ 0 ได้กลุ่มตัวอย่าง 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูล นำเสนอเป็นค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่ามัธยฐาน เปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบด้วยการทดสอบ exact probability test,<strong> </strong>Wilcoxon rank sum test, independent t-test และ multiple mixed effects model for repeated measures กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<strong> </strong>พบว่าอัตราการหายใจของกลุ่มทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแรกรับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ที่ 30 นาทีไม่แตกต่างกัน กลุ่มเปรียบเทียบมี 3<strong> </strong>คนที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ในกลุ่มทดลองไม่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ ดังนั้นควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยหอบเหนื่อยและระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำต่อไป</p>
2025-01-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/266265
Case report การผ่าตัดเนื้องอกเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังด้วยเทคโนโลยีระบบเครื่องนำวิถีสาม มิติทางประสาทและการตรวจติดตามสัญญาณระบบประสาทระหว่างผ่าตัด
2024-12-26T15:16:41+07:00
อดิศักดิ์ แทนปั้น
totae1987@cpird.in.th
จริยา รักมิตร
ืnomail@helplis.org
กมลชนก ธรรมเกษร
nomail@helplis.org
สมเกียรติ สนั่นเกียรติเจริญ
nomail@helplis.org
กิตติศักดิ์ วังสถาพร
nomail@helplis.org
<p>การผ่าตัดศัลยกรรมประสาทส่วนกลางทั้งเนื้องอกสมองและเส้นประสาทไขสันหลังเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนและท้าทายในการผ่าตัดรักษาเป็นอย่างมาก อีกทั้งสิ่งที่กังวลคือความปลอดภัย ภาวะแทรกซ้อน และผลลัพธ์ของการผ่าตัด ซึ่งความแม่นยำและการลดภาวะแทรกซ้อนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นในปัจจุบันจึงได้ใช้เทคโนโลยีการมอนิเตอร์สัญญาณประสาทขณะผ่าตัดและใช้เครื่องนำวิถีสามมิติมาช่วยในการผ่าตัดเนื้องอกในสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง ซึ่งมีผลต่อความแม่นยำ ความปลอดภัย ลดภาวะแทรกซ้อน และได้ผลลัพธ์การผ่าตัดที่ดีขึ้น รายงานผู้ป่วยนี้ได้นำเสนอผู้ป่วยรายแรกซึ่งผ่าตัดเนื้องอกระบบประสาทส่วนกลางในสมองโดยใช้เครื่องนำวิถีสามมิติช่วยในการผ่าตัดและรายงานผู้ป่วยรายที่สองได้ผ่าตัดเนื้องอกเส้นประสาทไขสันหลังด้วยการใช้เทคโนโลยีการมอนิเตอร์สัญญาณประสาทขณะผ่าตัด ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ที่สำคัญเป็นผู้ป่วยรายแรกของโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยผ่าตัดดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลที่ภายในปี ค.ศ. 2030 จะเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญและทันสมัยในภาคตะวันออกของประเทศไทย ผู้รับบริการมีความเชื่อมั่นในบริการและมีความสุขจากการดูแลรักษา</p>
2025-01-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/272805
การใช้เทคโนโลยีแคด/แคมผสมผสานกับเทคนิคดั้งเดิมในการทำฟันเทียมทั้งปาก สำหรับผู้สูงอายุ: รายงานผู้ป่วย
2024-09-24T14:17:33+07:00
อารีย์ ภูมิประเสริฐโชค
jeabaree1581@gmail.com
<p>การฟื้นฟูสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุด้วยการทำฟันเทียมทั้งปากแบบดั้งเดิมจะถูกเลือกใช้เป็นอันดับแรก แต่ในปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีแคด/แคมมาใช้ในการออกแบบและผลิตฟันเทียม สามารถช่วยลดระยะเวลาในการรักษา รวมถึงสามารถผลิตซ้ำได้ในกรณีฟันเทียมแตกหักหรือสูญหาย โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นกระบวนการรักษาใหม่ทั้งหมด บทความนี้ได้รายงานการรักษาผู้ป่วยชายอายุ 66 ปีด้วยฟันเทียมทั้งปากที่ออกแบบและผลิตโดยเทคโนโลยีแคด/แคม หลังจากผู้ป่วยทำฟันเทียมทั้งปากด้วยเทคนิคดั้งเดิมในขั้นตอนการพิมพ์ปาก ต่อมาพิมพ์ปากครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นลองแท่นกัดสบฟันในปาก บันทึกการสบฟัน และนำกระบวนการทำงานแบบดิจิทัลมาใช้ในห้องปฏิบัติการทางทันตกรรมด้วยเครื่องสแกนเนอร์ 3 มิติ ขั้นตอนต่อมาพิมพ์ฟันเทียมทั้งปากด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพื่อให้ผู้ป่วยลองฟันในคลินิก ซึ่งผู้ป่วยพึงพอใจ จากนั้นส่งห้องปฏิบัติการเพื่อพิมพ์ฟันเทียมชุดจริงแล้วจึงใส่ฟันเทียมทั้งปากให้ผู้ป่วย ผลการรักษาผู้ป่วยพึงพอใจต่อฟันเทียมทั้งปากที่ใช้การผลิตแบบผสมผสานด้วยเทคโนโลยีแคด/แคมทั้งในด้านการใช้งานและความสวยงาม ดังนั้นควรนำเทคโนโลยีแคด/แคมมาใช้ผสมผสานหรือทดแทนเทคนิคดั้งเดิมในการทำฟันเทียมทั้งปากในผู้สูงอายุ</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ``โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BMJ/article/view/276809
บรรณาธิการแถลง
2025-01-24T16:16:32+07:00
นันทิยา ตัณฑชุณห์
tnanthiya@gmail.com
<p>no abstract</p>
2025-01-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025