บูรพาเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed
<p>คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้จัดทำวารสารบูรพาเวชสาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางการแพทย์ ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้านสาธารณสุข การศึกษาทางคลินิก และการวิจัยที่ก้าวหน้าทันสมัย ซึ่งบทความที่ตีพิมพ์รับทั้งบทความภาษาไทยและอังกฤษ ออกเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม - มิถุนายน และ กรกฎาคม - ธันวาคม) </p> <p>ISSN 2350-9996 (Print)</p> <p>ISSN 2822-0242 (Online)</p>
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
th-TH
บูรพาเวชสาร
2350-9996
-
บรรณาธิการแถลง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/276183
<p>วารสารบูรพาเวชสาร คณะแพทยศสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ฉบับนี้เป็นปีที่ 11 ปีละ 2 ฉบับ เดือนมกราคม - มิถุนายน และกรกฎาคม - ธันวาคม ในปีหน้า พุทธศักราช 2568 จะมีการเผยแพร่วารสาร เป็นปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม -เมษายน, ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม และฉบับที่ 3<br>เดือนกันยายน - ธันวาคม ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการของผู้นิพนธ์จำนวนมาก และเพื่อให้บทความวิชาการ หรือบทความวิจัย ได้รับการเผยแพร่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยบทความต่างๆ จะได้รับการส่งไปยังผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) พิจารณากลั่นกรองให้บทความมีความสมบูรณ์และมีคุณภาพสูงสุดก่อนการเผยแพร่ เนื่องจากบทความวิชาการฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารมีข้อค้นพบ นวัตกรรม และข้อเสนอแนะที่สามารถส่งผลต่อความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ และการปฏิบัติในมิติต่างๆ และในวัยต่างๆ ของบุคคลครอบครัวและชุมชนโดยรวม รวมทั้งยังสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงและการนำไปศึกษาค้นคว้าต่อไปในอนาคต<br>วารสารบูรพาเวชสาร ฉบับนี้ เป็นฉบับปีที่ 11 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2567 กองบรรณาธิการได้พิจารณากลั่นกรองและนำเสนอเพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย จำนวน 8 บทความ</p>
สมจิต พฤกษะริตานนท์
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
-
ปัจจัยพฤติกรรมที่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/269139
<p><strong>บทนำ</strong> การป่วยและเสียชีวิตของโรคเบาหวานเป็นผลมาจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดี ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด เป็นดัชนีการควบคุมเบาหวานใน 3 เดือน ซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ การควบคุมปัจจัยด้านพฤติกรรมที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด จะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยด้านพฤติกรรมที่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษาภาคตัดขวางโดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมารับบริการที่โรงพยาบาล และคลินิกเครือข่ายของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรี ในอำเภอเมืองและพื้นที่ใกล้เคียง ไม่มี โรคประจำตัวร้ายแรง หรือโรคอื่น ๆ ในระยะท้ายที่ไม่สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติได้ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 140 ราย จากจำนวนประชากร 6,500 ราย ทำการสุ่มแบบเจาะจงแบ่งตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม สัดส่วน 2 ต่อ 1 คือ กลุ่มศึกษา 94 ราย มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดมากกว่า 7% และ กลุ่มเปรียบเทียบ 48 ราย ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 7% เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> จากการศึกษาพบว่า กลุ่มศึกษาที่มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด มากกว่า 7% มีการใช้ยาไม่ถูกต้องออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ ร่วมกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารหวานและน้ำหวาน ในขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ปัจจัยส่วนบุคคล ความเครียด การมีส่วนร่วมของผู้ดูแลในการรักษาและการเดินทางไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดทั้งนี้การงดอาหารหวานและน้ำหวานร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการเคร่งครัดในการรักษาสามารถทำนายระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด ที่เหมาะสมได้อย่างมีนัยสำคัญ (Nagelkerke R Square = 0.65) โดยเฉพาะการรับประทานอาหารหวานและการออกกำลังกายมีบทบาทสำคัญมากกว่าการดูแลรักษาด้วยยาอย่างถูกต้อง</p> <p><strong>สรุป</strong> ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดมากกว่า 7% ในกลุ่มศึกษาที่เป็นเบาหวาน ได้แก่ การใช้ยาไม่ถูกต้อง ร่วมกับการออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ และการรับประทานอาหารหวานและน้ำหวาน</p>
วิทยา บุญเลิศเกิดไกร
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
1
12
-
อุบัติการณ์ของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/270630
<p><strong>บริบท </strong>การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการใส่สายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลพบได้บ่อย ทำให้ผู้ป่วยต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานานขึ้น และมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาอุบัติการณ์การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการใส่สายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong>การศึกษาแบบไปข้างหน้า ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ถึง เดือนกันยายน พ.ศ. 2566 กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา อายุมากกว่า 18 ปี ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลเป็นเวลามากกว่า 2 วัน จำนวน 220 ราย รับการตรวจปัสสาวะและเพาะเชื้อปัสสาวะ ณ วันที่ 1, 5, 7, 10, 14 และทุก ๆ 7 วัน ไปจนผู้ป่วยได้รับการถอดสายสวนปัสสาวะแล้ว 48 ชั่วโมง ข้อมูลพื้นฐานวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา การเปรียบเทียบข้อมูลแบบต่อเนื่องใช้ Student’s t-test หรือ Mann-Whitney U test และใช้ Chi-square test หรือ Fisher’s exact test สำหรับข้อมูลกลุ่ม</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 63.06 ± 18.23 ปี มีเชื้อขึ้นในปัสสาวะโดยผู้ป่วยไม่มีอาการร้อยละ 20 พบอุบัติการณ์การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการใส่สายสวนร้อยละ 7.7 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ สูงอายุ โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งชนิดก้อนเนื้อเยื่อ ระยะเวลานอนโรงพยาบาล การนอนในหอผู้ป่วยวิกฤต การใส่ท่อช่วยหายใจ ≥ 96 ชม. จำนวนวันที่ใส่สายสวนปัสสาวะ ความถี่ในการเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะที่มากกว่า 14 วัน และการมีแผลบริเวณรอบทวารหนัก และที่สำคัญคือ จำนวนวันที่ใส่สายสวนปัสสาวะที่นานขึ้นส่งผลในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 1.23 เท่า (OR 1.23, 95% CI 1.01 to 1.49, <em>p</em>=0.036)</p> <p><strong>สรุป </strong>อุบัติการณ์การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจากการใส่สายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพาคิดเป็นร้อยละ 7.7 จำนวนวันที่ใส่สายสวนปัสสาวะที่นานขึ้นส่งผลในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการใส่สายสวน</p>
ระวีวรรณ วิฑูรย์
บุณยาพร เผือกพูลผล
อโนชา วนิชชานนท์
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
13
27
-
การประเมินและวัดขนาดกระดูกจะงอยบ่าจากภาพถ่ายเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อประเมิน ความเหมาะสมในการผ่าตัด Latarjet procedure ในคนไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/271781
<p><strong>บทนำ</strong> Latarjet procedure เป็นวิธีการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยข้อไหล่หลุดทางด้านหน้าที่เกิดซ้ำ ๆ โดยการนำส่วนของกระดูกจะงอยบ่ามายึดตรึงบริเวณกระดูกเบ้าหัวไหล่ ขนาดของกระดูกจะงอยบ่าจะส่งผลต่อความแข็งแรงและการเลือกวิธีการการยึดตรึงกระดูก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาขนาดกระดูกจะงอยบ่า จากภาพถ่ายบริเวณไหล่ด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เปรียบเทียบขนาดกระดูกจะงอยบ่า และประเมินความเหมาะสมของกระดูกจะงอยบ่า ในการผ่าตัด Latarjet procedure</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลัง ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไปทุกรายที่ได้รับการตรวจบริเวณไหล่ด้วย CT scan ที่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2556 ถึง 31 มกราคม 2566 วัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออร์โธปิดิกส์สาขาเวชศาสตร์การกีฬา 3 ท่าน จากภาพ CT Scan 2 มิติ<br />นำมาเปรียบเทียบขนาดและประเมินความเหมาะสมของกระดูกจะงอยบ่าเพื่อเตรียมการผ่าตัด<br />Latarjet procedure สถิติที่ใช้เป็นสถิติเชิงพรรณนาแปรผลเป็นค่าเฉลี่ยความถี่และร้อยละ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> จากกลุ่มตัวอย่าง 35 คน เป็นเพศชาย 18 คน เพศหญิง 17 คน ขนาดความยาวของกระดูกจะงอยบ่าโดยเฉลี่ยเท่ากับ 26.90±3.43 มม. โดยเพศชายมีค่าความยาวเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานของกระดูกจะงอยบ่าเท่ากับ 28.86±3.050 มม. และเพศหญิงมีขนาดความยาว 24.84±2.52 มม. ความกว้างของกระดูกจะงอยบ่า ด้านหน้า 9.34±1.66 มม. โดยเพศชายมีขนาด 10.36±1.31 มม. ส่วนเพศหญิงมีขนาด 8.26±1.26 มม. และความกว้าง ด้านหลังโดยเฉลี่ย 11.83±2.36 มม. เพศชายมีขนาด 13.03±1.91 มม. ส่วนเพศหญิงมีขนาด 10.55±2.14 มม. โดยขนาดของกระดูกจะงอยบ่าของคนไทยโดยเฉลี่ยเล็กกว่าต่างประเทศ และเมื่อพิจารณาความเหมาะสมต่อ<br />การผ่าตัด Latarjet procedure พบว่า ในเพศหญิงจะมี safe distance สำหรับสกรูขนาด 4.50 มม. เท่ากับ ร้อยละ 5.90 (1/17) สกรูขนาด 3.75 มม. ร้อยละ 52.90 (9/17) สกรูขนาด 3.50 มม. ร้อยละ 64.70 (11/17) และกระดุมขนาด 2.8 มม. เท่ากับร้อยละ 88 (15/17) ส่วนในเพศชาย จะพบว่ามี safe distance สำหรับสกรู ขนาด 4.50 มม. เท่ากับร้อยละ 44.40 (8/18) สกรูขนาด 3.75 มม. ร้อยละ88.9 (16/18) สกรูขนาด 3.50 มม. ร้อยละ 94.40 (17/18) และกระดุมขนาด 2.80 มม. เท่ากับร้อยละ 100 (18/18) </p> <p><strong>สรุป</strong> ขนาดของกระดูกจะงอยบ่าคนไทยมีขนาดเล็กโดยเฉพาะเพศหญิง safe distance สำหรับการผ่าตัด Latajet procedure อาจพบปัญหาระหว่างผ่าตัดได้เนื่องจากความเหมาะสมของกระดูกจะงอยบ่าและอุปกรณ์ยึดตรึงกระดูก</p>
นันทพล ชูเวสศิริพร
ณัฐฐพล สุรัชต์หนาแน่น
วทันยา ใจดี
ชลพรรษ ตั้งบุตราวงศ์
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
28
40
-
การสำรวจข้อบ่งชี้ อุปกรณ์ และเทคนิคการผ่าตัด Lartajet procedure ในแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/272962
<p><strong>บทนำ</strong> การผ่าตัด Latarjet เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้ในกรณีมีความผิดปกติของกระดูกเบ้าหัวไหล่ (Glenoid)<br />โดยยังมีข้อบ่งชี้การผ่าตัดและเทคนิคการผ่าตัดที่หลากหลาย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> ศึกษาข้อบ่งชี้ การเปิดแผล การจัดการกับกล้ามเนื้อ Sub-scapularis เทคนิคและอุปกรณ์ที่ใช้ในการยึดตรึงกระดูก และการเย็บซ่อมเยื่อหุ้มข้อไหล่ ในการผ่าตัด Latarjet procedure ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอนุสาขาเวชศาสตร์การกีฬาชาวไทย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นการสำรวจความคิดเห็น (Sample survey) โดยส่งแบบสอบถามไปยังสมาชิกปัจจุบัน<br />ของอนุสาขาเวชศาสตร์การกีฬา ทั้งหมด 475 คน ผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แบบสอบถาม จำนวน 11 ข้อ สร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน พิจารณาได้ค่าความเที่ยงตรง<br />ของแบบสอบถาม (IOC) แต่ละข้อ ≥ 0.5 เกณฑ์การคัดเลือกตัวอย่าง คือ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดข้อไหล่ที่เป็นสมาชิกของอนุสาขาเวชศาสตร์การกีฬา เกณฑ์การคัดออก คือ ไม่เคยทำการผ่าตัด Latarjet procedure วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> มีผู้ตอบแบบสอบถาม 90 คน เหลือตัวอย่าง จำนวน 80 คน ที่เคยทำการผ่าตัด Latarjet<br />procedure พบว่า ร้อยละ 80 ทำการผ่าตัด Lartajet procedure ในคนไข้ที่ไม่ใช่นักกีฬาโดยใช้เกณฑ์การสูญเสียกระดูกเบ้าหัวไหล่มากกว่าร้อยละ 20 ส่วนในคนไข้ที่เป็นนักกีฬา ร้อยละ 16.25 และ 35 ของตัวอย่าง ใช้เกณฑ์การสูญเสียกระดูกเบ้าหัวไหล่ มากกว่าร้อยละ 13.50 และ 15 ตามลำดับ จำนวนตัวอย่าง ร้อยละ 81.25 เปิดแผล แบบ Delto-pectoral approach และมีเพียงคนเดียวที่ใช้การผ่าตัดแบบส่องกล้อง จำนวนตัวอย่างร้อยละ 75<br />จัดการ Sub-scapularlist โดยวิธี Splitting การยึดตรึงกระดูกนิยมใช้วิธี Classical technique สูงถึงร้อยละ 61.25 ทั้งหมดใช้สกรูในการยึด ส่วนการจัดการกับเยื่อหุ้มข้อ ร้อยละ 40 ใช้วิธีการเย็บซ่อมกับกระดูกจะงอยบ่า ร้อยละ 32.50 เย็บซ่อมไปที่กระดูกเบ้าหัวไหล่ และร้อยละ 27.50 ไม่เย็บซ่อมเลย</p> <p><strong>สรุป</strong> การผ่าตัด Latajet ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีข้อบ่งชี้โดยพิจารณาความจำเป็นในการใช้ข้อหัวไหล่หลังผ่าตัดในคนไข้ที่ไม่ใช่นักกีฬาใช้การขาดหายไปของกระดูกเบ้าหัวไหล่มากกว่าร้อยละ 20 และลดลงเมื่อเป็นนักกีฬาเหลือร้อยละ 13.5 และร้อยละ 15 ด้านเทคนิคการเปิดแผลพบว่านิยมใช้ Delto-pectoral approach มากที่สุด ที่ร้อยละ 81 การจัดการกล้ามเนื้อนิยมใช้วิธี Splitting การยึดตรึงกระดูกใช้ Classical technique และมีการเย็บซ่อมเยื่อหุ้มข้อไหล่มากกว่าไม่เย็บซ่อมที่สัดส่วนร้อยละ 72.5 ต่อร้อยละ 27.5</p>
นันทพล ชูเวสศิริพร
ณัฐฐพล สุรัชต์หนาแน่น
ณัฏฐา กุลกำม์ธร
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
41
54
-
การเปลี่ยนแปลงความยาวและมุมของเส้นกล้ามเนื้อยืดข้อเข่า หลังการออกกำลังกายแบบแรงต้านสองชนิด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/272675
<p><strong>บทนำ</strong> การปรับตัวของกล้ามเนื้อทางกายวิภาคและสรีรวิทยามีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานประจำวันของเราอย่างมาก การเข้าใจถึงวิธีการฝึกออกกำลังกายที่มีผลต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาความสามารถและเพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมออกกำลังกายของกล้ามเนื้อยืดข้อเข่า (knee extensor training) สองแบบในกล้ามเนื้อ Vastus Lateralis ทั้งทางกายวิภาคและสรีรวิทยา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษานี้รวมผู้เข้าร่วม 20 คน ที่มีสุขภาพแข็งแรง (อายุ = 21.10±0.40 ปี, ส่วนสูง = 1.74±0.50 เมตร, น้ำหนัก = 69.10±11.00 กิโลกรัม) คัดเลือกมาจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา และ แบ่งกลุ่มโดยสุ่มให้เข้าร่วมโปรแกรมฝึกออกกำลังกาย 2 แบบ ภายใน 6 สัปดาห์: โปรแกรมฝึกดั้งเดิมความหนักสูง (HI) หรือโปรแกรมฝึกในรูปแบบผสมความหนักสูงและความหนักน้อยร่วมกับเทคนิคการจำกัดการไหลเวียนโลหิต (MIX) ทดสอบก่อนและหลังโปรแกรมฝึกออกกำลังกาย 1 สัปดาห์ก่อนและหลังจากสิ้นสุดโปรแกรม ประเมินโดย<br />วัดมุมของเส้นกล้ามเนื้อ (Pennation angle) และความยาวของเส้นกล้ามเนื้อ Vastus lateralis โดยรังสีแพทย์ที่ไม่ทราบโปรแกรมการออกกำลังกายของผู้ถูกศึกษา โดยใช้อัลตราซาวนด์ B-mode และประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้น (maximum strength) การวิเคราะห์ทางสถิติใช้ IBM SPSS Statistics เวอร์ชั่น 20</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> หลังจากการฝึกออกกำลังกายเป็นเวลา 6 สัปดาห์ โปรแกรมฝึก HI และ MIX ทั้งสองโปรแกรมมีผลลัพธ์ในการเพิ่มความยาวของเส้นกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญ โดยมีขนาดเท่ากับ 12.13 มม. และ 11.81 มม. ตามลำดับ (<em>p</em><0.05) อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสถิติที่มีนัยสำคัญในมุมของเส้นกล้ามเนื้อของทั้งสองกลุ่ม (<em>p</em>>0.05) และพบว่า มีการปรับตัวทางสรีรวิทยาโดยมีการเพิ่มขึ้นของ 1 repetition maximum strength ในทั้งสองกลุ่ม คือ 12.60 กก และ 18.63 กก ตามลำดับ (<em>p</em><0.01)</p> <p><strong>สรุป</strong> ทั้งสองโปรแกรมฝึกมีประสิทธิภาพในการ กระตุ้นการปรับตัวของกล้ามเนื้อทั้งทางกายวิภาคและสรีรวิทยา</p>
วทันยา ใจดี
รตัญญู หลงรัก
ศรสุภา ลิ้มเจริญ
สุธาสินี คงพร้อมสุข
ชาญธรรม สุ่นมหาคุณ
ธีร์ธวัช เจียรศิริกุล
อริญชย์ พิษณุวงษ์
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
55
71
-
การเรียนระยะไกลและผลกระทบต่อการเรียนแพทย์จากการระบาดไวรัสโควิด-19 ของนิสิตแพทย์ ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยบูรพา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/254132
<p><strong>บริบท</strong> การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการบุคลากรทางการแพทย์อย่างมาก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาผลกระทบต่อนิสิตแพทย์ในด้านการเรียนการสอน ความรู้ ความสามารถ สิ่งแวดล้อมและทัศนคติที่มีต่อการระบาดของโควิด-19</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษาเชิงสำรวจโดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยบูรพา ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เครื่องมือวิจัยใช้แบบสอบถามด้านการเรียนการสอน ความรู้ ความสามารถ สิ่งแวดล้อม และทัศนคติ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณา และไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม 94 คน คิดเป็นร้อยละ 100 พบว่า ร้อยละ 85.11 ของกลุ่มตัวอย่าง เห็นด้วยกับการเรียนระยะไกล แต่ร้อยละ 36.17 เห็นด้วยว่าได้รับความรู้เหมือนการเรียนแบบปกติ ทั้งนี้ร้อยละ 57.45 มีความกังวลต่อโรค แต่ร้อยละ 63.83 ของกลุ่มตัวอย่างยังสมัครใจที่จะดูแลผู้ป่วยต่อไป</p> <p><strong>สรุป</strong> กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยกับการเรียนระยะไกล แต่มีความเห็นว่ามีประสิทธิภาพไม่มากนัก เมื่อเทียบกับการเรียนแบบปกติ โดยเฉพาะการทำหัตถการ แม้ว่าจะมีความกังวลและมีความเสี่ยงต่อการติดต่อโรค จากการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังต้องการเรียนให้มีการเรียนการสอนภายใต้มาตรการการป้องกันการติดเชื้อที่ปลอดภัย และเหมาะสม</p>
ยุทธนา คณาสุข
กานน ลิ้มอุดมพร
ณัฐวัฒน์ วิโรจน์วัธน์
ณัฐวุธ ศาสตรวาหา
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
72
84
-
ความพึงพอใจต่อข้าวเกรียบโปรตีนจิ้งหรีดเสริมแคลเซียมเพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/266615
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของว่างเพื่อสุขภาพที่เป็นแหล่งของแคลเซียมที่สามารถปรุงประกอบในครัวเรือนและพกพาได้สะดวก โดยอาศัยแหล่งโปรตีนทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong>อาสาสมัครที่อาศัยอยู่โดยรอบเทศบาลตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 30 คนทำการทดสอบทางประสาทสัมผัสที่มีต่อข้าวเกรียบโปรตีนจิ้งหรีดเสริมแคลเซียมที่พัฒนาขึ้นจำนวนทั้งสิ้น 4 สูตร ได้แก่ สูตรควบคุมที่ไม่มีการเสริมแคลเซียม สูตรเสริมแคลเซียมร้อยละ 15 25 และ 50 ของปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับวัยผู้ใหญ่ที่ 100 กรัม</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> </strong>ข้าวเกรียบโปรตีนจิ้งหรีดเสริมแคลเซียมสูตรที่เสริมแคลเซียมคิดเป็นร้อยละ 50 ของความต้องการต่อวันมีคะแนนประเมินความพึงพอใจด้านลักษณะที่ปรากฏ รสชาติ และเนื้อสัมผัสที่สูงกว่าสูตรเสริมแคลเซียมสูตรอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><0.05) นอกจากนี้สูตรดังกล่าวยังมีคะแนนความพึงพอใจโดยภาพรวมเทียบเท่าสูตรควบคุมและสูงกว่าสูตรเสริมแคลเซียมอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน (<em>p</em><0.05) รวมถึงอยู่ในเกณฑ์ที่พิจารณาได้ว่าได้รับการยอมรับจากอาสาสมัคร</p> <p><strong>สรุป </strong>ข้าวเกรียบโปรตีนจิ้งหรีดเสริมแคลเซียมสูตรที่เสริมแคลเซียมคิดเป็นร้อยละ 50 ของความต้องการต่อวันเป็นสูตรที่ได้รับการยอมรับจากอาสาสมัครและสามารถนำไปต่อยอดในงานวิจัยเชิงคลินิกได้ในอนาคต</p>
นริศา เรืองศรี
รังสิมา ดรุณพันธ์
พุทธิดา คงธิติเลิศ
ณัฐภาณินี ถนอมศรีเดชชัย
กานต์สุดา วันจันทึก
จงจิตร อังคทะวานิช
อลงกต สิงห์โต
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
85
97
-
การผลิตและทดสอบการยอมรับทางรสชาติของซาลาเปาไส้ผักโขมในอาสาสมัครสุขภาพดี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/271246
<p><strong>บทนำ </strong>ผักโขมจัดเป็นผักที่มีสารอาหารสูง แต่การศึกษาเกี่ยวกับผักโขมในด้านโภชนบำบัดยังมีจำกัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อผลิตซาลาเปาไส้ผักโขมที่มีคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพ และเพื่อศึกษาระดับการยอมรับทางประสาทสัมผัสของซาลาเปาไส้ผักโขมเทียบกับซาลาเปาสูตรควบคุมในอาสาสมัครสุขภาพดี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> อาสาสมัครที่เข้าร่วมการวิจัยเป็นเพศชายและหญิง อายุ 18-30 ปี จำนวน 30 คน ผู้วิจัยทำการผลิตและให้อาสาสมัครชิมซาลาเปาทั้ง 2 สูตร แบบสุ่ม แล้วทำแบบประเมินการยอมรับทางประสาทสัมผัส โดยใช้แบบประเมิน 9-point hedonic scale ร่วมกับแบบบรรยายลักษณะและแบบระบุสเกล</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> ผลการประเมินด้วย 9-point hedonic scale พบว่าซาลาเปาไส้ผักโขมมีคะแนนเฉลี่ยด้านลักษณะปรากฏ กลิ่น รสชาติ และความชอบรวมไม่แตกต่างจากสูตรควบคุม และมีคะแนนเฉลี่ยด้านเนื้อสัมผัสสูงกว่าสูตรควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> = 0.030) ผลการประเมินแบบบรรยายลักษณะพบว่าซาลาเปาไส้ผักโขมมีคะแนนเฉลี่ยด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ และเนื้อสัมผัสไม่แตกต่างจากสูตรควบคุม และผลการประเมินแบบระบุสเกลพบว่าซาลาเปาไส้ผักโขมมีคะแนนเฉลี่ยด้านความหวาน ความเค็ม ความหอม ความเข้มข้น และความกลมกล่อมไม่แตกต่างจากสูตรควบคุม และมีคะแนนเฉลี่ยด้านความขม (p = 0.003) และความหนึบ (<em>p</em> = 0.032) สูงกว่าสูตรควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป </strong>เมื่อผลิตซาลาเปาไส้ผักโขมและประเมินความชอบของอาสาสมัครโดยใช้ 9-point hedonic scale พบว่ามีความชอบด้านเนื้อสัมผัสของซาลาเปาไส้ผักโขมสูงกว่าซาลาเปาสูตรควบคุม แต่ความชอบด้านอื่นไม่แตกต่างกัน เมื่อใช้วิธีบรรยายลักษณะ พบว่ามีความชอบทุกด้านไม่แตกต่างจากซาลาเปาสูตรควบคุม และเมื่อใช้วิธีระบุสเกล พบว่ามีความชอบด้านความขมและความหนึบของซาลาเปาไส้ผักโขมสูงกว่าซาลาเปาสูตรควบคุม ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า หากต้องการผลิตและพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพ ควรใช้แบบประเมินการยอมรับทางรสชาติทั้ง 3 แบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุม</p>
ชนานันท์ ถิระประภากร
ชัญญาพร สิทธิชัย
สิรภัทร เอมคล้า
จิตติมา มุ่งรายกลาง
ปิยะพงษ์ ประเสริฐศรี
Copyright (c) 2024 Burapha University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
11 2
98
111