https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/issue/feed
บูรพาเวชสาร
2025-06-26T16:10:11+07:00
Associate Professor Dr.Somjit Prueksaritanond
dr.somjit95@gmail.com
Open Journal Systems
<p>คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้จัดทำวารสารบูรพาเวชสาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางการแพทย์ ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้านสาธารณสุข การศึกษาทางคลินิก และการวิจัยที่ก้าวหน้าทันสมัย ซึ่งบทความที่ตีพิมพ์รับทั้งบทความภาษาไทยและอังกฤษ ออกเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม - มิถุนายน และ กรกฎาคม - ธันวาคม) <br /><br />กองบรรณาธิการไม่มีนโยบายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Processing fees and/or Article page) จากผู้นิพนธ์<br /><br /></p> <p>ISSN 2350-9996 (Print)</p> <p>ISSN 2822-0242 (Online)</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/277649
ภาวะอุดตันของหลอดเลือดแดงจอตาในผู้ป่วยหลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ: รายงานผู้ป่วย
2025-03-24T10:10:46+07:00
กัลยรัตน์ ธรรมคำภีร์
thkanyara@gmail.com
เกศกนิษฐ์ ธรรมคำภีร์
tkatkanit@gmail.com
<p><strong>บริบท</strong> ภาวะอุดตันของหลอดเลือดแดงจอตา ในผู้ป่วยหลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบเป็นภาวะที่สำคัญทางคลินิกแต่รายงานผู้ป่วยในประเทศไทยยังมีจำนวนจำกัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาลักษณะอาการทางคลินิก ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและตรวจทางพยาธิวิทยา และการรักษาของภาวะอุดตันของหลอดเลือดแดงจอตา ในผู้ป่วยหลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ</p> <p><strong>กรณีศึกษา</strong> รายงานผู้ป่วยฉบับนี้นำเสนอกรณีผู้ป่วยชายไทยสูงอายุที่มีอาการสูญเสียการมองเห็น ทั้งสองข้างอย่างเฉียบพลันร่วมกับอาการปวดศีรษะ 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ<br />รู้สึกอ่อนเพลีย และมีอาการเจ็บขณะเคี้ยวอาหาร วันก่อนมารับการรักษาได้มีการตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจวัดระดับสายตาและการตรวจจอประสาทตาโดยละเอียด ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า ค่าการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR) และระดับโปรตีน C-reactive protein (CRP) สูงผิดปกติ ทั้งนี้ได้ทำการตรวจชิ้นเนื้อจากหลอดเลือดแดงขมับ (temporal artery biopsy) เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดอักเสบ (giant cell arteritis, GCA) ซึ่งเป็นโรคอักเสบของหลอดเลือดขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ทำให้มีการสูญเสียการมองเห็นอย่างรุนแรงและถาวรได้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางจักษุวิทยาที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการเริ่มให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์โดยทันที มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ</p> <p><strong>สรุป</strong> การดูแลรักษา GCA อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยแนวทางสหสาขาวิชาชีพ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างจักษุแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรกและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วย</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/260254
การออกกำลังกายสำหรับนักศึกษาเพื่อป้องกันกระดูกสันหลังโก่ง
2023-02-15T10:40:55+07:00
พิมลพรรณ ทวีการ
kunavut@go.buu.ac.th
คุณาวุฒิ วรรณจักร
kvs_28@hotmail.com
<p><strong>บริบท</strong> การใช้คอมพิวเตอร์แบบจอสัมผัสร่วมกับปากกา (แทบเล็ต tablet) ในกลุ่มนิสิตนักศึกษาในท่าทางที่ผิดปกติ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ปวดศีรษะ คอ บ่า ไหล่ และกระดูกสันหลังโก่ง การออกกำลังกายที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อทบทวนการออกกำลังกายเพื่อป้องกัน รักษาผู้หลังโก่งหรือมีแนวโน้มที่จะมีหลังโก่ง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> ทบทวนวรรณกรรมจากบทความที่เกี่ยวข้องจาก Thai Journal Online, ScienceDirect, Pubmed คำสำคัญคือ kyphosis, respiratory function, Ruesi dudton ตีพิมพ์ในช่วงปี พ.ศ. 2550 - 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> การใช้ tablets ทำให้มีอาการไม่สบายของกล้ามเนื้อ หลังใช้งาน 2 ชั่วโมง ความถี่ของการเปลี่ยนท่าทางของรยางค์บนและคอลดลง ขณะใช้มีการก้มลำตัว ไหล่งุ้ม และยกไหล่เพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดการปวดกล้ามเนื้อมากถึงร้อยละ 50 มีรายงานว่าหากวางอุปกรณ์บนโต๊ะราบ จะเพิ่มการงอข้อไหล่และยกข้อไหล่ขึ้น จะนำไปสู่การเกิดการปวดคอ บ่า สมรรถภาพปอดลดลง ซึ่งการออกกำลังกายด้วยฤๅษีดัดตนสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของลำตัวได้</p> <p><strong>สรุป</strong> การใช้งานในท่าทางที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้หลังโก่ง สมรรถภาพปอดลดลง การออกกำลังกายด้วยฤๅษีดัดตนมีหลายงานวิจัยรายงานว่าสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของลำตัวได้ สามารถใช้ในการป้องกันและลดกระดูกสันหลังโก่งได้</p> <p> </p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/280573
บทบรรณาธิการ
2025-06-26T16:10:11+07:00
สมจิต พฤกษะริตานนท์
somjit95@gmail.com
<p>บูรพาเวชสาร ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2568 (BURAPHA JOURNAL OF MEDICINE: Bu J Med Vol.12 No.1 January – June 2025) ผู้นิพนธ์นาเสนอบทความวิจัยและบทความวิชาการที่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ได้พิจารณากลั่นกรองบทความเพื่อความสมบูรณ์ และคุณภาพ สุงสุดก่อนการเผยแพร่สู่สาธารณะ บทความที่อยู่ในวารสารจึงมีความรู้ใหม่ นวัตกรรม ที่เกิดจากงานวิจัย ด้วยการดำเนินงานวิจัย วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และมีแนวทางการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ฉบับนี้ประกอบด้วยบทความวิจัย 6 บท และบทความวิชาการ 1 บท</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/270900
ความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและปัจจัยความหนักเบาของงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
2024-08-15T10:19:24+07:00
อโณทัย จัตุพร
anothaij@go.buu.ac.th
ดาริกา วอทอง
darikarika@gmail.com
ธนู ลอบันดิส
dhanoo@gmail.com
จักรพันธ์ วิเศษสัมมาพันธ์
jakrapanw@hotmail.com
ไพบูลย์ เอกแสงศรี
pbeks@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong> โรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงาน สภาพแวดล้อมการทำงานอาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รวมทั้งปัจจัยความหนักเบาของงานที่มีผลต่อโรค</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังโดยเก็บข้อมูลจากระบบเวชสถิติของโรงพยาบาล ในแรงงานของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครที่มาตรวจสุขภาพประจำปี กับโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร ในปี 2562<br />จำนวนทั้งสิ้น 1,618 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอความชุกของโรค จากนั้นคัดเลือกจากแรงงานที่มีข้อมูลลักษณะการทำงานครบถ้วน 1,212 คน มาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานเบา จำนวน 1,034 คน และ<br />กลุ่มงานปานกลาง จำนวน 178 คน แล้วใช้สถิติถดถอยพหุลอจิสติกเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยความหนักเบาของงานที่มีผลต่อโรคโดยปรับลดผลกระทบจากเพศและอายุ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ ภาวะอ้วน ร้อยละ 28.67 ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 13.91 สงสัยมีโรคเบาหวาน ร้อยละ 3.50 ภาวะ ไขมัน triglyceride ในเลือดผิดปกติ ร้อยละ 27.69 total cholesterol ผิดปกติ ร้อยละ 53.74 HDL ต่ำ ร้อยละ 10.38 และ LDL ผิดปกติ ร้อยละ 72.32 คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ร้อยละ 11.50 การทำงานของไตผิดปกติ ร้อยละ 8.05 การทำงานของตับผิดปกติ ร้อยละ 1.58 พบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 3.45 สมรรภาพการได้ยินผิดปกติ ร้อยละ 48.62 สมรรถภาพปอดผิดปกติ ร้อยละ 17.59 และสายตา อาชีวอนามัยผิดปกติ ร้อยละ 72.92 โดยกลุ่มงานเบามีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนมากกว่ากลุ่มงานปานกลาง 1.5 เท่า (AOR: 1.50, 95CI: 1.07-2.10) และมีความเสี่ยงต่อการพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติมากกว่ากลุ่มงานปานกลาง 15 เท่า (AOR: 15.22, 95CI: 6.71-34.51)</p> <p><strong>สรุป</strong> แรงงานมีปัจจัยเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด จากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พบความชุกของไขมันในเลือดผิดปกติสูงที่สุด ตามด้วยภาวะอ้วน และความดันโลหิตสูง ปัจจัยความหนักเบาของงานมีผลต่อภาวะอ้วน และคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ แรงงานที่ทำงานเบาจะมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติดังกล่าวมากขึ้น เสนอแนะให้มีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่ทำงานเบา</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/274201
ผลของโปรแกรมการสอนต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว
2025-01-07T11:24:34+07:00
กรรณิการ์ ศิริโต
krongkaew@pnc.ac.th
ดวงใจ พิชัยบัณฑิตกุล
krongkaew@pnc.ac.th
กรองแก้ว ทรัพย์ประเสริฐ
krongkaew@pnc.ac.th
ยศพล เหลืองโสมนภา
krongkaew@pnc.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong> โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติทางเลือดชนิดหนึ่งที่พบมากในประเทศไทยและเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ และเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการให้เลือด ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเหล็กเกิน ดังนั้น การดูแลของผู้ดูแล จึงมีความสำคัญในการดูแลเด็ก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อเปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียก่อนและหลังที่ได้รับโปรแกรมการสอน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การวิจัยกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียทุกรายที่มารับการรักษาโดยให้เลือดอย่างสม่ำเสมอในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จำนวน 14 ราย จากวิธีการเข้ารับโปรแกรมการสอนผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียเรื่อง โรคธาลัสซีเมียและการให้คำแนะนำผู้ดูแลก่อนจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและ Wilcoxon signed - rank test มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ <em>p</em> ≤ 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> หลังได้รับโปรแกรมการสอนฯ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียมีคะแนนความรู้ และพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติที่ <em>p</em> = 0.001 และ <em>p</em> = 0.020 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป </strong>โปรแกรมการสอนผู้ดูแลเด็กป่วยโรคธาลัสซีเมียเรื่องโรคธาลัสซีเมียและการให้คำแนะนำผู้ดูแลก่อนจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน ทำให้ผู้ดูแลเด็กมีความรู้และพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยดีขึ้น ดังนั้น ควรนำโปรแกรมการให้ความรู้และคำแนะนำในการพยาบาลเรื่องโรคธาลัสซีเมียอย่างมีแบบแผน</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/266347
ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของนักศึกษาที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพาในปี พ.ศ. 2562
2024-04-01T15:30:51+07:00
ธเนศ ธนสารวิมล
thanate@go.buu.ac.th
จุฬาลักษณ์ นุพอ
julaluk@buu.ac.th
สุชานันท์ โอสธีรกุล
thanate@go.buu.ac.th
<p><strong>บริบท</strong> การเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของนักศึกษาพบได้บ่อยในบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาหาความชุก ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของนักศึกษาที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางย้อนหลัง (retrospective cross-sectional analytic study) จากเวชระเบียนของนักศึกษาที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 รวมทั้งสิ้น 581 ราย โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์มี 467 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> พบว่ามีผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์รวม 581 ราย คิดเป็นความชุกที่สูงในกลุ่มผู้ป่วยอุบัติเหตุ และจากกลุ่มตัวอย่าง 467 ราย พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการบาดเจ็บที่ศีรษะและลำคอ<br />อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ การดื่มแอลกอฮอล์ (OR 4.798, <em>p</em> < 0.001) ค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ย 3,951.15 บาท</p> <p><strong>สรุป</strong> การไม่สวมหมวกนิรภัยและการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สัมพันธ์กับการบาดเจ็บรุนแรงในนักศึกษา จึงควรมีมาตรการรณรงค์ความปลอดภัย เช่น การส่งเสริมให้สวมหมวกนิรภัยและงดดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/277054
ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัสซูอิส ในกลุ่มผู้ป่วย ในโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช: การศึกษาจากเหตุไปหาผลแบบย้อนหลัง
2025-03-26T10:13:08+07:00
กัญญามาส เนาว์แสง
research.taksin@hotmail.com
ชุติมา ปัญญาแก้ว
research.taksin@hotmail.com
พชรพล ศรีไชย
research.taksin@hotmail.com
วุฒิพงศ์ โยกาส
research.taksin@hotmail.com
ศศิวรณันท์ หิรัญธีรารมย์
research.taksin@hotmail.com
ปอแก้ว เพ็ชร์คำ
research.taksin@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong> <em>Streptococcus suis </em>(สเตร็พโตค็อกคัสซูอิส) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในทางเดินหายใจส่วนบนและระบบทางเดินอาหารของสุกร จัดเป็นเชื้อก่อโรคที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนจากการสัมผัสโดยตรง โดยเชื้อเข้าทางบาดแผลและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเสียชีวิต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตข้อมูลลักษณะทั่วไป และข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วยติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัสซูอิส ในกลุ่มผู้ป่วยในโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> ศึกษาแบบ retrospective cohort study ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ปี พ.ศ. 2556 ถึง 30 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2567 ผู้ป่วยโรคติดเชื้อ สเตร็พโตค็อกคัสซูอิส ในโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br />จำนวน 51 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Mann-Whitney U test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ (p = 0.05)</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>ผู้ป่วยกลุ่มตัวอย่าง 51 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 80.39) อายุเฉลี่ย 33.3±57.12 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป (ร้อยละ 52.94) อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองตาก (ร้อยละ 68.62) มีประวัติสูบบุหรี่ดื่มสุรา (ร้อยละ 78.43, 41.18) บริโภคเนื้อสุกรหรือผลิตภัณฑ์สุกรปรุงดิบ แต่ไม่มีพฤติกรรมการสัมผัสสุกรหรือเนื้อสุกรดิบ (ร้อยละ 45.10, 86.27) ผลตรวจห้องปฏิบัติการผู้ป่วยมีภาวะเม็ดเลือดขาวสูงภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (ร้อยละ 81.60, 18.40) การรักษาตัวในโรงพยาบาล ≤15 วัน อาการดีขึ้น (ร้อยละ 92.16) และเสียชีวิต (ร้อยละ 7.84) ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุสงฆ์ (ร้อยละ 50.00) อาชีพผู้ป่วย โรคตับจากแอลกอฮอล์ และผู้ป่วยติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ มีความสัมพันธ์นัยสำคัญทางสถิติที่<em> p</em> =0.01, 0.01, 0.02 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป</strong> ปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัสซูอิส มีปัจจัยด้านอาชีพ โรคตับจากแอลกอฮอล์ และภาวะติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/view/272651
การศึกษาความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาของหน่วยบริการจ่ายยาผู้ป่วยในของโรงพยาบาลทั่วไป
2025-01-06T16:10:33+07:00
ขนิษฐา พจนบรรพต
nittanid@yahoo.com
อวัศยา โตพัฒนกุล
Awatsaya.top@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong> ความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา เป็นเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสมหรืออันตรายแก่ผู้ป่วย นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดคุณภาพที่สำคัญของโรงพยาบาลอีกด้วย การวิเคราะห์อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทราบปริมาณความถี่และสาเหตุที่ควรแก้ไขเพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยจากการใช้ยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาชนิดและความถี่ของการเกิดความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา และวิเคราะห์หาสาเหตุของความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา โดยการนำข้อมูลจากคำสั่งแพทย์ที่มีการบันทึกคำสั่งใช้ยาในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยในในเวลาราชการ ช่วงวันที่ 1 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 และเก็บข้อมูลในแบบรายงานความคลาดเคลื่อนทางยา นำมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> ความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาทั้งหมด 549 ครั้ง ความคลาดเคลื่อนที่พบมากที่สุด 5 อันดับ คือ การสั่งขนาดยาสูงเกินไป จำนวน 186 ครั้ง (ร้อยละ 33.88) การสั่งขนาดยาต่ำเกินไป จำนวน 118 ครั้ง (ร้อยละ 21.49) การสั่งยาผิดรายการ จำนวน 114 ครั้ง (ร้อยละ 20.77) การไม่สั่งยาที่ผู้ป่วยควรจะได้รับ จำนวน 45 ครั้ง (ร้อยละ 8.20) และการสั่งยาซ้ำซ้อน จำนวน 22 ครั้ง (ร้อยละ 4.01)</p> <p><strong>สรุป</strong> จากการศึกษาความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาที่พบมากที่สุด คือ การสั่งขนาดยาสูงเกินไป ดังนั้นจึงควรหาแนวทางในการพัฒนาระบบให้มีการป้องกันการเกิดความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อติดตามประสิทธิภาพหลังจากการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Burapha University